-SOLO PART-
‘เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น’
‘ออก...ไป...!!’
หลังจากที่ยัยตัวเเสบนั่นเดินออกจากห้องทำงานของผมไป ผมก็เดินเข้ามาอีกห้องนึงซึ่งเป็นห้องลับที่มีเพียงผมกับไอ้ทิมมือขาวของผมเท่านั้นที่รู้ ซึ่งประตูทางเข้าก็คือชั้นวางหนังสือใหญ่ตรงมุมห้องทางด้านขวามือ ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบหรูเป็นโทนสีดำทั้งหมด มีกระจบบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานเพียงด้านเดียวของห้อง
“ผู้หญิงอะไรวะหน้าหงุดหงิดชะมัด” ผมยิ่งนึกก็ยิ่งโมโหว่ะ เป็นผู้หญิงซะป่าวแต่ไม่มีความเรียบร้อยเลยสักนิด
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะคว้าเอาเสื้อเชิ้ตตัวใหม่จากในตู้เสื้อผ้าออกมาสวมแทนเสื้อตัวเก่าที่ยัยตัวแสบนั่นทำเปียก
อื้ออออออ อื้ออออออ
โทรศัพท์ผมสั่นรั่วขนาดนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้พวกนรกส่งมาเกิดเพื่อนของผมเอง โทรศัพท์สั่นรั่วขนาดไม่ใช่เรื่องงานแน่ๆ มีอยู่เรื่องเดียวที่ทำให้พวกมันพิมพ์คุยกันได้ยาวขนาดนี้เป็นอะไรนอกจาเรื่องเหล้า
Line
NakRob : พวกมึงคับ
NakRob : วันนี้เจอกันที่เดิมนะคับ ใครไม่มากูตัดเพื่อนนะคับ
Marcus : เออ ดีงั้นกูไม่ไป
Marcus : กูรอโอกาสนี้มานานล่ะ
NakRob : สัส!!
NakRob : คุณหมอเจซีกับท่านประธานโซโล่คับ ไปมุดหัวอยู่ไหนกันคับ?
JC : กูไม่ไป
JC : เข้าเวร
Marcus : มึงเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนะคับคุณหมอ
Marcus : มึงแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้างเถอะคับ
NakRob : เออจริง รวยจะตายห่าละไอ้สัส!!
NakRob : แล้วแต่มึงนะคับ แต่ถ้าคุณหมอไม่มา ‘เรื่อง สมภารกินไก่วัด’ มึงแตกแน่
JC : พวกเชี้ย!!
NakRob : ไอ้โซ ไอ้ตัวดีมึงเงียบเลยวะ
SOLO : เออกูไป
นี่แหละพวกเพื่อนผมเราคบกันมาตั้งแต่เรียนผมจำความได้ พ่อกับแม่ของพวกเรารู้จักกัน พวกผมเลยสนิทกันจนเลิกคบกันไม่ได้ เรื่องจริงก็ไม่ใช่เพราะครอบครัวหรอก คงเพราะพวกผมรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วล่ะมั้ง…เลิกคบกันไปมีหวังความแตกหมด
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนล่ะกัน ผมชื่อ ‘เตชัส เดชพิพัฒนพงศ์’ หรือจะเรียกผมว่า ‘โซโล่’ ก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าคุณสนิทกับผม ผมเป็นประธานกรรมการ บริษัท ทรี ทรู ทรานสปอร์ต เป็นบริษัทขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ ซึ่งเป็นบริษัทที่ผมรับช่วงต่อจากป๊าของผมเอง จริงๆผมมีธุรกิจสีเทาด้วย แต่ผมขี้เกลียดพูดตอนนี้
NakRob : เออดี พูดง่ายอย่างงี้ค่อยน่าคบหน่อย
SOLO : สัส!!
ผมตอบมันไปแค่นั้นแหละ แล้วก็โยนโทรศัพท์ไปไว้บนเตียงขนาดคิงไซต์ ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ก่อนที่ตัวเองจะทิ้งตัวลงไปยังเตียงตัวเดิม พร้อมกับหลับตาอย่างใช้ความคิด
22.00 น.
“ไม่ต้องไป เดี๋ยวกูขับเองไปจัดการงานที่ฉันสั่ง” ผมเอ่ยบอกกับไอ้ทิมที่กำลังเดินตามผมมาเสียงเรียบ
“...อย่าให้มีอะไรผิดพลาด” ผมเอ่ยย้ำกับมันเสียงเข้ม ไอ้ทิมไม่เคยทำงานพลาดเรื่องนั้นผมรู้ดี แต่ที่ย้ำมันก็เพราะต้องกันไว้ก่อนยังดีกว่าต้องมาตามแก้ไขทีหลัง เรื่องบางเรื่องถ้ามันผิดพลาดไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก
“ครับนาย” ผมพูดกับไอ้ทิม ก่อนที่ผมจะเดินไปยังรถสปอร์ตคันหรูประจำตำแหน่งคนขับก่อนจะขับมันออกไปทันที
@N_ROB PUB
ผมขับรถเข้าไปจอดยังลานจอดรถ VIP ซึ่งมีที่จอดไว้สำหรับรถเพียงแค่ 4 คัน นั่นเพราะมันมีไว้สำหรับพวกผมเท่านั้น ที่พวกผมได้รับสิทธิพิเศษขนาดนี้ ก็เพราะที่นี่เป็นผับของ ‘ไอ้นักรบ’ เพื่อนสุดที่รักของผมเอง นอกจากมันจะมีผับแล้ว มันยังมีโรงแรม 5 ดาวอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านมัน
ผมเดินไปตามทางเพื่อขึ้นไปยังที่ประจำของพวกผม ก็คือโซน VVIP อยู่ชั้นบนสุดของผับแห่งนี้ ซึ่งทั้งโซนถูกแบ่งเป็นทั้งห้องสังสรรค์ ห้องทำงานของไอ้นักรบ และยังเป็นห้องนอนของมันด้วย จึงทำให้โซนนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเพราะมันถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว นอกจากพวกผมก็มีแต่ลูกน้องคนสนิทของไอ้นักรบเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้
“ไงท่านประธาน...กว่าจะมาได้นะมึง” ไอ้นักรบทักผมขึ้นเป็นคนแรกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงกวนบาทาตามสไตล์มัน
“เสือก!!” ผมตอบมันไปพร้อมกับเดินไปนั่งข้างไอ้เจซี
“ไอ้มาร์คัสยังไม่มาหรอวะ” ผมเอ่ยถามพวกมันออกไป
“ไปห้องน้ำ” ไอ้เจซีตอบผมนิ่งๆ
“ของคุณโซโล่คับ” ไอ้เจคยื่นแก้วเหล้ามาให้ผม มันเป็นลูกน้องมือขวาของไอ้นักรบ และตอนนี้มันก็ต้องเปลี่ยนหน้าที่มาชงเหล้าให้พวกผมแทน ก็อย่างที่ผมบอกโซนนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใครเข้ามาเลย แม้แต่เด็กเสริฟ หรือเด็กชงเหล้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา
“…” ผมรับแก้วมันมาอย่างเงียบๆ
“สมภารนั่งเงียบเลยนะมึง...คิดถึงไก่วัด อ่อวะ 555” ไอ้นักรบพูดกับไอ้เจซี
“เสือก!!” ไอ้เจซีก็ตอบกลับ
‘ไอ้เจซี’ มันเป็นหมอสืบทอดโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ต่อจากปู่ของมัน โรงพยาบาลที่มีคุณภาพส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ หรือแม้แต่การบริการก็จัดได้ว่าดีระดับต้นๆ ของประเทศเลย แต่จริงๆ ที่บ้านมันก็ทำหลายธุรกิจแหละ แต่มันก็คงชอบเป็นหมอมากกว่า มันเลยยึดอาชีพนี้เป็นหลัก ส่วนงานอื่นๆ มันก็ช่วยที่บ้านของมันดูแลอยู่ด้วย ไอ้นี่มันเป็นอัจฉริยะหยิบจับอะไรก็ได้ก็ดีไปหมด...
“คุยเชี้ยไรกันวะ...ไม่รอกูเลย” ไอ้มาร์คัสเดินเข้ามารวมวง มันเดินนั่งข้างๆไอ้นักรบ
และอีกคน ‘ไอ้มาร์คัส’ มันเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้ารถหรู รวมถึงเปิดอู่ซ่อมรถซุปเปอร์คาร์ และมันก็ยังมีสนามแข่งรถอีกด้วย ไอ้มาร์คัสมันเป็นพวกบ้าพลัง มันชอบความเร็วของรถเป็นชีวิตจิตใจ เพราะงั้นชีวิตส่วนใหญ่ของมันจึงขลุกตัวอยู่แต่สนามแข่งรถ
“เสือก!!” ผมบอกกับไอ้มาร์คัสอย่างมั่นไส้
“ไอ้สัสโซ กูเบื่อขี้หน้ามึงว่ะ ไอ้เจคกูขอเหล้าเอาเข้มๆ นะเว้ย” ไอ้มาร์คัสตะคอกใส่ผมก่อนจะหันไปบอกกับไอ้เจคให้ชงเหล้าให้กับมัน
“มึงจะรีบเมาไปไหนวะ” ไอ้นักรบถามไอ้มาร์คัส
“กกเด็ก...?” ไอ้เจซีเอ่ยถามคนที่มาใหม่ด้วยไปหน้าเอือมมันสุดๆ
“เสือกเรื่องของกู เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะมึง” ไอ้มาร์คัสเอ่ยพร้อมกับกระดกเหล้าหมดแก้ว
“…หึ”
“นั่งเงียบเลยวะไอ้โซ” ไอ้นักรบพูดกับผม
“…” ผมไม่ได้ตอบแต่ปลายตามองมันเล็กน้อย
“มันก็คงคิดถึงน้องข้าวตู...” ไอ้มาคัสพูด
“...จำเลยสาวแสนสวยอยู่อะดิ”
“หุบปาก! กูไม่อยากได้ยินชื่อ” ผมพูดพร้อมกับจ้องหน้าไอ้มาร์คัส ใครจะไปคิดถึงว่ะเห็นหน้าแล้วมีแต่จะทำให้หงุดหงิด
สงสัยไหมว่าพวกเพื่อนผมรู้จักยัยข้าวตูน้องของไอ้ปั้นได้ยังไง มันไม่แปลกที่พวกมันจะรู้เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผมพวกมันก็รู้หมด เหมือนกับที่เรื่องของพวกมันที่ผมก็รู้หมดเช่นกัน
“ระวังเถอะมึง…” อยู่ๆ ไอ้เจซีก็เอ่ยขึ้นมา
“ระวังเชี้ยไรมึง...” ผมถามกลับ
“ระวังจะหลงรักน้องข้าวตูไงวะ” ไอ้นักรบพูด
“จนโงหัวไม่ขึ้น” ตามด้วยไอ้มาร์คัส
“กูเตือนมึงแล้วนะ...” และก็จบที่ไอ้เจซี
“มึงกับพวกกูเป็นเพื่อนกันมากี่ปี มึงไม่พูดไม่ได้หมายความว่าพวกกูดูมึงไม่ออกไอ้โซ” และเป็นไอ้นักรบที่พูดขึ้นอีกครั้งก็จะยกแก้วเหล้าในมือมันกระดกรวดเดียวหมด “พวกกูหวังดีกับมึงไอ้โซ กูไม่อยากให้มึงต้องเสียใจทีหลัง”
“คนอย่างกู ไม่เคยแพ้ใคร และกูจะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่กูทำ”
‘กูจะไม่มีวันหลงรักยัยเด็กนั่นอีกแน่นอน และยิ่งเป็นน้องไอ้ปั้นด้วยยิ่งไม่มีทาง’ ผมได้แต่ย้ำกับตัวเองอยู่ภายในใจ
“พวกกูจะคอยดู...” ไอ้มาร์คัสกล่าว
@โรงพยาบาล SE"พี่มาร์คัส พี่นักรบคะ เขาเป็นยังไงบ้าง?" ฉันถามพี่มาร์คัสกับพี่นักรบออกไปทันทีที่ฉันเดินมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน"ทำใจดีๆไว้นะข้าว" พี่นักรับเอ่ยบอกกับฉันพร้อมสีหน้าที่ไม่สู้ดีเอาสะเลย"ฮึก ฮืออออ ไม่จริงเขาต้องไม่เป็นอะไร" ฉันเอ่ยบอกกับพี่นักรบพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย"ข้าวตู..." พี่มาร์คัสเอ่ยเรียกฉันเสียงอ่อน ก่อนที่มือหนาจะลูบลงที่บ่าของฉันอย่างปลอบประโลม"ฮึก มะ ไม่จริงใช่ไหมค่ะ" ฉันเอ่ยถามพวกเขาออกไปอีกครั้ง หัวใจสั่นระรัวเหมือนกับว่ามันกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว"ถ้าข้าวเป็นห่วงมันขนาดนี้ทำไมไม่ให้อภัยมันสักที?" พี่มาร์คัสเอ่ยถามฉันขึ้นมาพร้อมกับมองหน้าฉันอย่างรอคำตอบ"คะ ใครบอกว่าหนูไม่ให้โอกาสเขาล่ะคะ" ฉันเอ่ยบอกกับพี่มาร์คัสออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหนออกมา"...""หนูให้โอกาสเขาตั้งนานแล..." ฉันยังไม่ทันพูดจบพี่นักรบก็เอ่ยแทรกขึ้นมา"ได้ยินชัดแล้วนะมึง" พี่นักเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองเลยไปที่ด้านหลังของฉัน อย่าบอกนะว่าเขายืนอยู่ข้างหลังฉันควับ!!! ฉันรีบหันกลับไปมองเขาทันทีที่พี่นักรบพูดจบ"ฮืออออ พี่โซโล่..." ฉันเอ่ยเรียกเขาก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดเขาไว้ทันทีราว
3 ปีก่อน...ติ๊งงงงง!!! ติ๊งงงงง!!! ติ๊งงงงง!!! ติ๊งงงงง!!!'ใครอะ?' ข้อความในมือถือของจีน่าดังเขามารัวๆ ข้อความถูกส่งมาโดยคนที่เธอไม่รู้จัดเธอจึงกดเข้าไปดูแล้วกูพบว่ามันเป็นรูปข้าวปั้นแฟนหนุ่มของเธอกับนุ่นเพื่อนสาวคนสนิทกำลังนอนกอดกำลังนอนกอดกันอยู่ในสภาพที่ทั้งคู่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น รวมถึงสภาพห้องที่ดูแล้วราวกับว่าพึ่งจะผ่านศึกสงครามมา จีน่าเธอยืนดูภาพตรงหน้านิ่งเพราะเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริง แต่ต่อให้พยายามหาเหตุผมที่จะมาลบล้างภาพตรงหน้าสักเท่าไรมันก็ไม่หายไปสักทีจนกระทั่งกรี๊ดดดดดดดด ฮือออออออจีน่ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ตอนนี้มันไม่สามารถระบายเป็นความเจ็บปวดได้ทั้งแฟนที่เธอรักและเพื่อนที่เธอสนิทด้วยทั้งคู่กำลังสวมเขาให้เธอจริงๆนะหรอ?ฮึกกกก ฮืออออออจีน่าพยายามโทรหาข้าวปั้นแต่โทรเท่าไรก็โทรไม่ติดสักที เธอจึงเลือกส่งข้อความไปแทน'มันเป็นเรื่องจริงหรอปั้น?' จีน่าส่งรูปที่มีบุคคลที่สามส่งมาให้เธอให้กับข้าวปั้นพร้อมกับพิมพ์ถามเขาออกไป'ปั้น''อ่านแล้วก็ตอบเล่าสิอย่าเงียบได้ไหม'ฮืออออออออ'ปั้นทำมันลงไปจริงหรอ' ยิ่งข้าวปั้นอ่านแล้วไม่ตอบมัน
-SOLO PART-@บ้านข้าวตูผมขับรถสปอร์ตหรูของตัวเองเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของข้าวตู ผมไม่รู้ว่าแม่ของข้าวตูเธอรู้เรื่องของผมมากน้อยแค่ไหนแต่สิ่งที่ตอนนี้ผมควรจะทำมากที่สุดคือเล่าความเลวของตัวเองที่ได้กระทำไว้กับข้าวตู ให้แม่ของเธอได้รับรู้จากปากของผมเอง ผมไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะให้อภัยผม เพราะถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกของผม ผมก็คงไม่ให้อภัยใครง่ายๆ เหมือนกัน แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะขอโอกาสอีกครั้งเพื่อปรับปรุงตัวเองกริ๊ง!!! กริ๊ง!!!ผมเดินลงจากรถและไปกดกริ๊งหน้าบ้านของข้าวตู รอไม่นานแม่ของข้าวตูเธอก็เดินตรงมาหาผม"คุณมาทำไมคะ" เธอเอ่ยถามทันทีที่เธอเห็นว่าคนที่มาเป็นผม ท่าทีเธอดูนิ่งจนผมเริ่มจะแปลกใจ"สวัสดีคับ ผมขอเข้าไปข้างไนได้ไหม?" ผมกล่าวทักทายแม่ข้าวตูด้วยถ่อยคำที่สุภาพ"เชิญค่ะ""ขอบคุณครับ" พูดจบผมจึงเดินตามแม่ข้าวตูเข้าไปในบ้านของเธอ"นั่งก่อนค่ะเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้""ไม่เป็นไรครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณแม่""ค่ะ!!!" เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ ทำให้ผมไปไม่เป็นเลยทีนี้ผมว่าผมเรียกเธอว่าแม่ก็ถูกแล้วก็เธอเป็นแม่ของเมียผมนิ"เอ่อ...ผมขอโทษนะครับเรื่องที่ผมทำร้ายข้าวตู" ผมเอ่ยขอโทษแม่ขอ
"ปั้น" เสียงของจีน่าเอ่ยเรียกแฟนหนุ่มของเธอที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ"ครับ" ข้าวปั้นหยุดเดิน ก่อนจะขานรับคำจีน่าพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ"ปั้นไม่โกรธโซเลยหรอ?" จีน่าเอ่ยถามข้าวปั้นออกไปด้วยความสงสัย เพราะนอกจากวันนั้นที่พวกเขาทะเลาะกันที่บ้านของข้าวปั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าโกรธเคืองโซโล่ออกมาอีก"โกรธสิ! เราอยากจะบีบคอมันให้ตายคามือ" ข้าวปั้นเอ่ยตอบจีน่าออกมาเสียงเรียบ"...""แต่เราไม่ทำหรอ เดี๋ยวเวณกรรมก็ตามมันเองเรารู้จักน้องเราดีถึงภายนอกข้าวตูจะดูเป็นคนอ่อนแอก็เถอะ""หมายความว่า...ปั้นรู้?" จีน่าเอ่ยถามข้าวปั้นออกไปทั้งๆที่เธอก็พอจะรู้คำตอบอยู่บ้างแล้วจากคำพูดของเขาเมื่อกี้"เรารู้มานานแล้วว่าไอ้โซชอบข้าว" ข้าวปั้นตอบจีน่ากลับไป"ปั้นผิดแล้ว..." จีน่าตอบข้าวปั้นออกไปด้วยรอยยิ้ม"หืม แต่เราเห็นว่ามันสั่งให้ลูกน้องของมันเอาตุ๊กตามาให้ข้าวเมื่อหลายปีก่อนนะ" ข้าวปั้นตอบจีน่ากลับไปด้วยความงุนงง มันจะผิดไปได้ไงในเมื่อวันเกินข้าวตูเมื่อ 8 ปีก่อนหลังเลิกเรียนเขาเดินกลับมาบ้านก็เห็นว่ามันยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้วางแผลกับลูกน้องของมันเพื่อที่จะนำตุ๊กตามาให้ข้าวตู ทุกอยากอยู่ในสายตาของเขาหมด รวม
-KAOTU PART-"จอดรถเถอะนุ่นปล่อยข้าวตูไป น้องไม่เกี่ยวอะไรด้วย" เสียงของผู้หญิงที่ชื่อจีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนคนข้างๆ"เป็นห่วงกันจริงๆเลยน้องผัวเนี่ย อ้อไม่สิหรือต้องเรียกว่าพี่สะใภ้กันนะถึงจะถูก" ฉันอึ้งไปกับคำพูดของผู้หญิงตรงหน้า 'หมายความว่าเธอคนนี้ที่ชื่อจีน่า เธอเป็นน้องสาวของผู้ชายใจร้ายคนนั้น และเธอก็เป็นแฟนเก่าของพี่ปั้นพี่ชายของฉันงั้นหรอ' ฉันพูดกับตัวเองอยู่ภายในใจพร้อมกับมองไปที่คุณจีน่าไปด้วยความงุนงง ทำไมความสัมพันธ์มันซับซ้อนจัง"หยุดเถอะนุ่น" คุณจีน่าพูดเสียงเเข็ง ตอนนี้สีหน้า ท่าทางของเธอดูเหมือนกับพี่ชายของเธอไม่มีผิดทั้งท่าทีที่ดูน่าเกรงขามและน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นฉันว่า 'บรรยากาศบนรถมันเริ่มจะไม่ปลอดภัยแล้วสิ' คิดได้ดังนั้นฉันจึงขยับตัวเองไปนั่งติดกับที่พิงด้านหลัง แล้วมือทั้งสองข้างฉันจับเบาะรถไว้เเน่น ฉันไม่ได้ห่วงตัวเองเลยสักนิดแต่ฉันเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กในท้องฉันต่างหาก"กูไม่หยุด มึงจะสนมันทำไมมึงไม่เกลียดพี่มันแล้วหรอ" เธอตวาดคุณจีเสียงดัง"ฉันไม่มีทางเกลียดปั้น" คุณจีก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน"..." ฉันนั่งฟังที่เขาคุยกันอย่างเงียบๆ เพราะเรื่อง
17.00 น."ข้าวตู ข้าว" ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงพี่ปั้นที่เรียกฉันดังมาจากหน้าห้องนอนของฉัน"ค่า..." ฉันขานรับพี่ปั้นกลับไปก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างช้าๆ"ลงไปกินข้าวกัน""โอเครค่ะ เดี๋ยวหนูตามลงไปนะ" ฉันตอบพี่ปั้นกลับไปก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แล้วจึงเดินลงไปด้านล่าง"ฮืมมม หอมจังเลยค่ะแม่" ฉันเอ่ยบอกกับออกไป"งั้นหนูต้องกินเยอะๆนะลูก" แม่เอ่ยบอกกับฉันก่อนจะเดินเข้ามาลูบหัวของฉันอย่างทะนุถนอม"กำไลใครหรอข้าว?" เรานั่งกินอาหารกันไปได้สักพักพี่ปั้นก็เอ่ยถามฉันพร้อมกับมองดูกำไลที่ข้อมือของฉันอย่างสงสัย"ข้าวก็ไม่รู้ค่ะ มีคนมาส่งตุ๊กตามาให้ข้าวอีกแล้วค่ะ และในนั้นก็มีกำไลนี้มาด้วยข้าวพยายามแกะออกแล้วนะ แต่ทำยังไงมันก็ไม่ออกสักที" ฉันอธิบายให้แม่กับพี่ปั้นฟัง"งั้นเดี๋ยวเราไปดูที่กล่องว่าเขาซื้อมาจากที่ไหน แล้วถ้าวันไหนว่างพี่จะพาไปเอาออก" พี่ปั้นเอ่ยบอกกับฉัน ก่อนที่ลงมือทานอาหารตรงหน้าต่ออย่างเอร็ดอร่อย นานแล้วที่เราสามคนแม่ลูกไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ทำให้อาหารมื้อนี้ยาวนานกว่าที่เคย แถมฉันก็ยังเจริญอาหารมากกว่าทุกครั้งอีกด้วย3 วันต่อมา...