ในเช้าวันหนึ่ง หลินเข่อซิงและหลิงเฉินออกจากจวนตระกูลหลินเพื่อไปเดินตลาด แม้จะอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่หลินเข่อซิงก็เริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว และเธอก็อยากใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้
"คุณหนู ท่านอยากได้อะไรจากตลาดหรือเจ้าคะ?" หลิงเฉินถามขณะมองไปรอบๆ "ข้าแค่อยากสำรวจดูของที่ยังไม่เคยเห็น และ...หาบางอย่างที่ข้าอาจนำไปใช้ได้" หลินเข่อซิงยิ้มให้สาวใช้ของตน ทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานตลาดขนาดใหญ่ ที่นั่นกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมวงกันอยู่รอบๆ บางคนทำหน้าตื่นตกใจ บางคนมีสีหน้าเครียด เหตุการณ์ในลานตลาดดึงดูดความสนใจของหลินเข่อซิงทันที "เกิดอะไรขึ้นหรือ?" หลินเข่อซิงถามหลิงเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น" หลิงเฉินตอบพลางมองไปยังกลุ่มชาวบ้าน หลินเข่อซิงเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน และได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนรอบข้างเกี่ยวกับปัญหาการทำเกลือ ชาวบ้านหลายคนกำลังคุยกันเรื่องวิธีการต้มเกลือที่ไม่ได้ผลดีนัก เกลือที่ได้มามีปัญหามาก เช่น เป็นก้อนแข็งเกินไปหรือมีสีหม่นหมอง "เกลือทั้งหมดที่ได้มานั้นเสียหายไปเกือบครึ่ง ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร" ชาวบ้านคนหนึ่งพูดด้วยความกังวล หลินเข่อซิงฟังอยู่เงียบๆ แต่ในหัวกลับแล่นคิดไปถึงสิ่งที่เธอเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตเกลือในโลกปัจจุบัน และทันใดนั้น ไอเดียหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจเธอ เธอเดินเข้าไปใกล้ชาวบ้านกลุ่มนั้น ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนและพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ "ขอโทษนะเจ้าคะ ข้าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่? ข้าอาจจะมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้" ชาวบ้านหันมามองด้วยความสงสัย "ท่านเป็นใครหรือ? และท่านรู้เรื่องเกลือได้อย่างไร?" หลินเข่อซิงยังคงยิ้ม "ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตเกลือมาเล็กน้อย ข้าเชื่อว่าปัญหาของท่านอาจจะแก้ไขได้หากใช้วิธีการที่ถูกต้อง" ชาวบ้านหลายคนยังคงลังเล แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร หลินเข่อซิงจึงเริ่มอธิบาย "การผลิตเกลือที่ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การต้มให้เกลือแข็งตัว แต่ต้องควบคุมความร้อนและปริมาณน้ำที่ใช้ต้มอย่างแม่นยำ หากใช้ความร้อนสูงเกินไป เกลือจะจับตัวเป็นก้อนแข็ง แต่หากใช้ความร้อนต่ำเกินไป เกลือจะไม่สามารถตกผลึกได้ดี" ชาวบ้านเริ่มมองหน้ากันอย่างสงสัย "แล้วเราควรทำอย่างไรเจ้าคะ?" "ท่านควรใช้ความร้อนในระดับที่พอดี ซึ่งข้าคิดว่าน่าจะเป็นไฟที่ค่อนข้างอ่อนแต่เสถียร เอ่ออ…สม่ำเสมอน่ะ จากนั้นท่านควรปล่อยให้น้ำระเหยช้าๆ โดยไม่ต้องเร่งรัด เพื่อให้ผลึกเกลือที่ได้มีขนาดเล็กและบริสุทธิ์" หลินเข่อซิงอธิบายอย่างเป็นธรรมชาติและชัดเจน "นอกจากนี้ ท่านอาจจะใช้การกรองน้ำทะเลก่อนต้ม ซึ่งจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและทำให้เกลือที่ได้มีสีขาวสะอาดมากขึ้น" เธอเสริมด้วยความมั่นใจ ชาวบ้านบางคนเริ่มพยักหน้า และบางคนเริ่มซักถามต่อ "แล้วท่านคิดว่าเราควรใช้ภาชนะใดในการต้มล่ะ?" "ภาชนะที่ใช้ต้มเกลือควรเป็นโลหะหรือวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับเกลือ เพื่อป้องกันไม่ให้สีของเกลือหม่นหมองและลดการสูญเสียแร่ธาตุสำคัญ" หลินเข่อซิงตอบ เสียงซุบซิบของชาวบ้านเริ่มดังขึ้น มีคนเริ่มลองทำตามที่หลินเข่อซิงแนะนำและผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นที่พอใจ เมื่อเกลือที่ต้มออกมานั้นสะอาดและบริสุทธิ์กว่าที่เคยได้ ชาวบ้านต่างหันมาขอบคุณเธอ "ท่านช่างมีความรู้ลึกซึ้งนัก ข้าต้องขอบคุณจริงๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเรา" ชาวบ้านพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง หลินเข่อซิงยิ้มสดใส "ข้าเพียงแค่แบ่งปันความรู้เล็กน้อย ข้าก็หวังว่าจะได้เห็นทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น" หลิงเฉินที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็อดยิ้มกว้างตามไม่ได้ "ท่านช่างเฉลียวฉลาดนักเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าไม่เคยรู้ว่าท่านมีความรู้เช่นนี้" "มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ข้ารู้มาจากตำราเท่านั้น" หลินเข่อซิงตอบด้วยความถ่อมตน แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจที่ความรู้จากยุคปัจจุบันของเธอสามารถช่วยเหลือผู้คนในโลกนี้ได้ บรรยากาศในตลาดกลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากที่ปัญหาถูกแก้ไข ผู้คนเริ่มพูดคุยกันอย่างร่าเริง หลินเข่อซิงรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของชาวบ้านรอบๆ เธอคิดในใจว่า แม้ว่าเธอจะหลุดเข้ามาในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ แต่เธอก็ยังสามารถทำให้ชีวิตของคนรอบข้างดีขึ้นได้ด้วยความรู้ของเธอ“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา