ณ ตลาดกลางเมือง
หลินเข่อซิงเดินทอดน่องไปตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าและผู้คนมากมาย โดยมีอวิ๋นเฟยหลงเดินอยู่ข้าง ๆ "...!!!" เธอหันไปมองชายหนุ่มข้างตัว ที่แม้จะใส่ชุดเรียบ ๆ แต่ก็ยังดูเด่นสะดุดตาเหมือนแม่ทัพมาเดินตรวจการ! แถมบรรยากาศรอบข้างยังแปลกไปหมด ผู้คนในตลาดพากันมองมาทางพวกเขา ด้วยสายตาทั้งตกใจ ทั้งสงสัย ก็แน่ล่ะ! แม่ทัพอวิ๋นที่ปกติไม่สนใจใคร แต่วันนี้ดันเดินข้างคุณหนูหลินแบบตัวติดกัน! ใครเห็นก็ต้องช็อกสิ! หลินเข่อซิงเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จับจ้อง ‘โอ๊ย! ฉันเหมือนเป็นจุดสนใจไปแล้ว! นายจะเดินห่าง ๆ หน่อยก็ได้นะ!’ แต่ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยอะไร… "เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่?" เสียงทุ้มของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้นข้างตัว เธอสะดุ้ง ก่อนจะรีบโบกมือ "ข้าไม่ได้อยากได้อะไรหรอกเจ้าค่ะ! แค่เดินเล่นเฉย ๆ!" แม้ปากจะบอกเช่นนั้น แต่ภายในใจของเธอก็บ่นไปตลอดทาง ‘ใครจะมามีอารมณ์เดินตลาดกัน มีแต่คนจ้องมองจนตาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วขนาดนี้' "...?" ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ "เช่นนั้นข้าจะเลือกให้เจ้าเอง" "...!!!" ‘หา!? อะไรนะ!? นายจะเลือกของให้ฉันเรอะ!?’ ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธ อวิ๋นเฟยหลงก็เดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับ แล้วหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาดูเงียบ ๆ หลินเข่อซิงได้แต่เดินตามไปยืนอยู่ข้าง ๆ อวิ๋นเฟยหลง เพราะถ้าจะให้เธอยืนรอเขาอยู่ตรงนั้นคนเดียว มันจะน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม่ค้าร้านเครื่องประดับที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบส่งยิ้มประจบ "คุณชายมีรสนิยมดีมากเจ้าค่ะ ปิ่นอันนี้ทำจากหยกแท้ เจียระไนโดยช่างฝีมือดีที่สุดของเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ" "ไม่ดี" พรึ่บ! อวิ๋นเฟยหลงวางปิ่นในมือลง ก่อนจะหยิบอันใหม่ขึ้นมาแทน "อันนี้ล่ะเจ้าคะ?" แม่ค้าถามเสียงสั่น ๆ ชายหนุ่มพิจารณาปิ่นในมือ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "อันนี้ใช้ได้" จากนั้นเขาก็หันมาทางหลินเข่อซิง แล้ว... "เอ่อ... ท่านอวิ๋น ข้าเกรงว่ามันจะ..." ‘แพงเกินไปสำหรับฉัน!’ แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ มือหนาก็จับศีรษะเล็กของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะสอดปิ่นเข้ามาระหว่างมวยผมของเธอ ความรู้สึกที่โดนสัมผัสจากฝ่ามือร้อนนั้น ทำเอาหลินเข่อซิงยืนนิ่ง ปล่อยให้เขาปักปิ่นให้จนเสร็จ "คิดเงิน" อวิ๋นเฟยหลงกล่าวเสียงเรียบ พลางหยิบถุงเงินออกมาวางตรงหน้าแม่ค้า แม่ค้ารับเงินไปด้วยมือสั่น ๆ "ขอให้นายท่านและฮูหยินมีความสุขมาก ๆ นะเจ้าคะ!" "...!?" ‘เดี๋ยวนะ! ทำไมอยู่ดี ๆ แม่ค้าถึงอวยพรเหมือนฉันเป็น ‘ภรรยา’ ของเฟยหลงไปแล้วล่ะ!?’ หลินเข่อซิงหันไปมองอวิ๋นเฟยหลงแต่กลับพบว่าชายหนุ่มเดินห่างไปไกลแล้ว "นี่ ! รอข้าด้วยสิ" หลังจากที่พวกเขาออกจากร้านขายเครื่องประดับ ข่าวลือก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วตลาด! "ตายจริง! ท่านแม่ทัพอวิ๋นซื้อปิ่นให้คุณหนูหลินหรือ!?" "แล้วปักให้เองด้วยนะ! ข้าว่าพวกเขาต้องมีอะไรแน่ ๆ!" "...!!!" หลินเข่อซิงที่ได้ยินข่าวลือพวกนี้รีบกระซิบกระซาบกับพระเอก "ท่านอวิ๋น! ท่านได้ยินที่พวกเขาพูดหรือไม่!?" "ได้ยิน" "...แล้วท่านไม่คิดจะอธิบายอะไรหรือเจ้าคะ!?" อวิ๋นเฟยหลงหยุดเดิน ก่อนจะหันกลับมามองเธอ "อธิบาย?" ‘โอ๊ย! นายอย่ามองฉันแบบนี้! ฉันใจไม่ดี!’ ชายหนุ่มยังคงจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "หรือเจ้าไม่พอใจที่ข้าทำเช่นนี้?" ‘โอ๊ย! นี่มันคำถามอะไร! นายอยากให้ฉันตอบว่ายังไงเล่า!’ …….. “ว่าอย่างไรนะ!?” เสียงหวานที่ปกติฟังดูนุ่มนวลและอ่อนหวาน บัดนี้แฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด หยางเฟยฮุ่ยกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง นัยน์ตาคู่งามฉายแววคุกกรุ่น ขณะที่สาวใช้ของนางรีบก้มหน้าก้มตาอย่างหวาดกลัว “ค...คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมากับหู ว่าท่านแม่ทัพอวิ๋นพาคุณหนูหลินไปเดินเล่นที่ตลาดเจ้าค่ะ!” “ไม่เพียงเท่านั้น!” สาวใช้อีกคนเสริมขึ้น ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านแม่ทัพยัง ‘ซื้อปิ่น’ ให้นาง! แล้ว... แล้วก็ปักให้เองต่อหน้าผู้คนทั้งตลาดเลยล่ะเจ้าค่ะ” เพล้ง! ถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะแตกเป็นเสี่ยง ๆ! สาวใช้ทั้งสองสะดุ้งเฮือก รีบก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม! หยางเฟยฮุ่ยกำมือแน่น “เฟยหลงไม่เคยทำแบบนี้กับข้ามาก่อน! นางมีเล่ห์กลอะไร ที่เข้าจวนไปเพียงไม่กี่วันกลับทำให้เฟยหลงเปลี่ยนไปเช่นนี้” หยางเฟยฮุ่ยกัดริมฝีปากจนห้อเลือด นางและอวิ๋นเฟยหลงรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก นางเข้าออกจวนอวิ๋นเสมือนเป็นจวนของตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนใคร ๆ ต่างก็พูดกันว่าหยางเฟยฮุ่ยนี่แหละคือนายหญิงจวนสกุลอวิ๋นในอนาคต แล้วนี่อะไร หลังนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าเสีย กลับพบจดหมายที่ฝากฝังให้ดูแลหญิงสกุลหลินนั่น! อย่างไรนางก็ไม่มีวันยอม ไม่มีวัน!“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา