Home / รักโบราณ / ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80 / บทที่  8 พวกเขาแค่ต้องการถูกปกป้อง

Share

บทที่  8 พวกเขาแค่ต้องการถูกปกป้อง

last update Huling Na-update: 2025-02-20 14:36:32

ซ่งเจียซินทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เจ็ดวันแล้วที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน เรื่องราวในตอนนี้แม้ว่ายากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เธอได้กลายมาเป็นเสวี่ยชิงหยวน ภรรยาของหลี่โจวอี้นายแพทย์ทหารชั้นพันเอก และยังเป็นมารดาเลี้ยงของลูกแฝดอีกสามคน

เมื่อคิดถึงเด็กแฝดทั้งสามคนซ่งเจียซินก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับลูกเลี้ยงนั้นช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้ว่าเจ็ดวันมานี้พวกเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ซ่งเจียซินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คลื่นลมที่สงบชั่วคราวเท่านั้น

“ขออนุญาตค่ะคุณหนู”

เสียงขออนุญาตของหูหลินอิงดังขึ้นที่หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น

“นมอุ่นก่อนนอนค่ะ”

“ขอบใจมาก ทางเด็ก ๆ ก็ได้แล้วใช่ไหม”

“ได้แล้วค่ะ ดื่มหมดแล้วด้วย”

ซ่งเจียซินพยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน ก็ให้หูหลินอิงนำนมอุ่นไปให้เด็กชายทั้งสาม อีกทั้งยังบอกไม้เด็ดหากพวกเขาไม่ยอมดื่มให้บอกว่า ถ้าคุณชายทั้งสามไม่ดื่ม คุณเสวี่ยจะเข้ามาป้อนด้วยตนเองค่ะ

เด็กชายทั้งสามเว้นหลี่จื่อรั่ว ล้วนไม่มีใครต้องการยุ่งวุ่นวายกับเธอ ดังนั้นเพียงแค่ได้ยินว่าเธอจะไปหาพวกเขาถึงในห้อง นมในแก้วก็ถูกยกดื่มจนหมดในรวดเดียว

“อืม... เช่นนั้นก็ดี วันนี้หมอโจวบอกว่าแผลของจื่อรั่วหายดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้เขาไปโรงเรียนพร้อมกันกับจื่อหมิง จื่อชิง”

ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ ซ่งเจียซินก็ตระหนักได้ถึงการจัดการเหตุฉุกเฉิน เพราะหากวันนั้นคนที่บาดเจ็บคือเธอ การจะให้คนอื่นขับรถไปโรงพยาบาลคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ดังนั้นในวันถัดมาซ่งเจียซินจึงให้หูหลินอิงหาคนขับรถและสาวใช้มาเพิ่ม ดังนั้นในบ้านตอนนี้นอกจากเธอและเด็กชายฝาแฝดทั้งสาม ก็มีหูหลินอิงคนใช้เก่าแก่ที่ติดตามเสวี่ยชิงหยวนมาจากบ้านเสวี่ย เหอเถาที่มาเป็นคนขับรถ และ อู๋จินอ้ายสาวใช้คนใหม่ รวมแล้วจึงมีด้วยกันถึงเจ็ดชีวิต 

“คุณหนูคะ นี่เป็นจดหมายจากทางโรงเรียนที่คุณชายจื่อรั่วแอบฝากฉันมาให้คุณค่ะ”

ซ่งเจียซินรับจดหมายจากมือของหูหลินอิงมาเปิดดู หนังสือเชิญประชุมผู้ปกครอง 

“มีฉบับเดียวหรือ”

“ค่ะ”

แน่นอนว่าจดหมายนี้เด็กชายทั้งสามล้วนต้องได้รับมาทุกคน ดังนั้นจึงควรมีสามฉบับ แต่คาดว่าที่หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงไม่นำมาให้เธอก็เพราะไม่ต้องการให้เธอไปร่วมงานในครั้งนี้นั่นเอง

“คุณหนูจะไปร่วมงานไหมคะ ฉันจะได้เตรียมชุดให้”

“ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วเธอไปนอนเถอะ”

ยึดตามความต้องการของพวกเขาทั้งสามด้วยคะแนนเสียงสองต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การประชุมผู้ปกครองของพวกเขาในครั้งนี้เธอไม่ควรไป

ในยามเช้าวันต่อมาขณะที่เด็กชายทั้งสามกำลังกินมื้อเช้า หลี่จื่อรั่วก็มักจะแอบมองไปที่บันไดอยู่บ่อย ๆ ในใจคาดหวังว่ามารดาเลี้ยงของตนจะเดินลงมาพร้อมกับบอกว่า จะไปร่วมงานประชุมผู้ปกครองของพวกเขา เพียงแต่จนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถออกจากบ้านมาแล้ว แม้แต่เงาของมารดาเลี้ยงก็ไม่ได้เห็น

“จื่อรั่ว นายไม่ต้องเสียใจ ฉันแอบส่งจดหมายเชิญนี้ไปให้คุณแม่ของพวกเราแล้ว เธอจะต้องมาร่วมงานแน่ ๆ”

หลี่จื่อชิงบอกด้วยน้ำเสียงสดใส งานประชุมผู้ปกครองก็สมควรให้ผู้ปกครองตัวจริงของพวกเขาไปร่วมงาน หญิงสาวร้ายกาจคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาเสียหน่อยจะให้เธอไปทำไมกัน

“ปีที่แล้วนายก็ส่งไป แต่แม่ก็ไม่มาไม่ใช่หรือ”

“นั่น... นั่นเพราะเธอติดธุระ หากไม่ติดธุระเธอต้องมาแน่ ๆ”

หลี่จื่อชิงบอกก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็ก เพราะความจริงแล้วไม่ใช่แค่ปีที่แล้วที่มารดาผู้ให้กำเนิดไม่มาร่วมงาน ในช่วงที่เขาเรียนระดับปฐมวัย มารดาของเขาก็ไม่เคยมาแสดงตัวที่โรงเรียนเลยสักครั้งเช่นกัน คิดดูแล้วทุกครั้งที่เขาได้พบหน้าเธอก็จะเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องการเงินจากพ่อของพวกเขาเท่านั้น

“ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องมา พวกเราสามคนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเธอ”

เป็นหลี่จื่อหมิงที่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พวกเขาสามพี่น้องไม่จำเป็นต้องพึ่งพามารดา ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด หรือมารดาเลี้ยงก็ล้วนไม่จำเป็น

ในปีนี้โรงเรียนประถมซีซวน จัดการประชุมผู้ปกครองโดยแบ่งแยกตามระดับชั้น ในขั้นตอนแรกจะให้เด็ก ๆ นั่งรอที่หน้าห้องเรียน หากผู้ปกครองของใครมาแล้วก็ให้พาเข้าไปนั่งภายในห้องเรียนได้ รอจนทุกคนมาครบก็จะเริ่มประชุมโดยพร้อมกัน

แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วว่าวันนี้พวกเขาสามคนจะต้องถูกทิ้งไว้ที่หน้าห้อง แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นต่างพากันจับจูงมือของพ่อบ้าง ของแม่บ้าง หรือบางคนก็มีทั้งพ่อและแม่ เดินเข้าไปในห้องเรียนทีละคนในใจของเด็กชายฝาแฝดทั้งสามก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในที

“จื่อหมิง จื่อชิง จื่อรั่ว พ่อกับแม่ของพวกนายล่ะ ทำไมยังไม่มา”

ชางยุน เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเดินออกมาถามเด็กชายทั้งสามที่หน้าประตูห้อง เพราะในตอนนี้ผู้ปกครองของทุกคนมากันครบหมดแล้ว รอแค่ผู้ปกครองของเด็กแฝดทั้งสามเท่านั้นก็จะเริ่มการประชุมได้

“นั่นสิ พวกเรารอตั้งนานแล้วทำไมไม่รู้จักเวลาเลย”

“ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเด็กแฝดทั้งสามคนนี้หย่ากับพ่อของเขาแล้ว ที่บ้านมีแค่แม่เลี้ยงใหม่ ดูแล้วคงไม่มีใครมา”

“ปีที่แล้วก็ไม่มีใครมา อย่างนั้นพวกเราก็เริ่มประชุมกันเลยดีไหมคะครูหยาง”

เมื่อได้ยินผู้ปกครองคนอื่นเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ภายในครอบครัวพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดูแคลน หลี่จื่อหมิงก็กำหมัดแน่นตวัดสายตาดุดันจ้องมอง ในขณะที่หลี่จื่อรั่วน้ำตาคลอดวงตาแดงก่ำกอดแขนพี่ชายฝาแฝดคนโตเอาไว้แน่น หลี่จื่อชิงที่เชื่อมั่นว่า กวงเหยียนฟาง มารดาผู้ให้กำเนิดต้องมาแน่ ๆ คล้ายหัวใจแตกสลาย มองดูภาพความอบอุ่นของครอบครัวคนอื่นแล้วพลันเกิดคำถามในใจ ทำไมแม่ถึงไม่มา  มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เม้มริมฝีปากข่มอารมณ์แล้วก้าวเท้าเล็กตรงไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เดินยังไม่ทันถึงบันไดร่างสูงเพรียวอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

“ฉันมาช้าไปหรือไม่”

“แม่!”

หลี่จื่อรั่วเห็นซ่งเจียซินปรากฏตัวในใจก็ยินดี ปล่อยมือจากพี่ชายของตนเองวิ่งกางแขนไปหามารดาเลี้ยงในทันที ซ่งเจียซินย่อตัวโอบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอกด้วยรอยยิ้ม

“คุณมาทำไม”

หลี่จื่อชิงถามเสียงแข็งกร้าว เขาไม่ได้ขอร้องให้หญิงใจร้ายคนนี้มาสักหน่อย จะมาทำไมก็ไม่รู้ เพียงแต่ทั้งที่ควรจะโมโหการกระทำโดยพลการของเธอเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้หลี่จื่อชิงกลับมีความรู้สึกยินดีกับการมาของเธออย่างที่ไม่เคยเป็น

“เป็นฉันที่บอกให้คุณแม่มาเอง ขอบคุณแม่มากนะครับที่มางานของพวกเรา”

หลี่จื่อรั่วพูดพลางโอบกอดลำคอและซบหน้าลงบนอกของมารดาอย่างออดอ้อน ซ่งเจียซินยิ้มกว้างกดจมูกลงบนเส้นผมของเด็กชายด้วยความเอ็นดู

“จื่อรั่วนี่นาย...”

หลี่จื่อชิงโมโหน้องชายตัวน้อย หากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะดุก็ยังทำไม่ลง สุดท้ายที่ทำได้จึงมีเพียงกอดอกเดินไปหาพี่ชายฝาแฝด

“จื่อรั่วอย่าเอาแต่คุยเล่น ทุกคนกำลังรอพวกเราอยู่”

แม้คำพูดของหลี่จื่อหมิงจะดูคล้ายเป็นการบอกกล่าวหลี่จื่อรั่ว แต่แท้จริงกลับเป็นการเตือนมารดาเลี้ยงให้รู้จักเวลา ซ่งเจียซินไม่ได้ตำหนิการกระทำของเขาอีกทั้งยังวางหลี่จื่อรั่วลงแล้วพาพวกเขาเดินเข้าไปในห้องเพื่อเริ่มประชุม

“ไม่รู้จักเวลาจริง ๆ ปล่อยให้คนอื่นรอแบบนี้ไม่มีมารยาท”

“นั่นน่ะสิ อย่างว่าแหละก็แค่งานของลูกเลี้ยง จะให้ใส่ใจอะไรมากมาย”

เสียงของผู้ปกครองหญิงด้านหลังดังขึ้น หลี่จื่อชิงหมุนตัวหันกลับไปคิดจะโต้ตอบ แต่ข้อมือเล็กกลับถูกจับห้ามปรามเอาไว้โดยคนตัวโตข้าง ๆ

“จื่อชิง ลูกเรียนเรื่องการดูเวลาหรือยัง”

“เรียนแล้ว”

“เช่นนั้นมองไปที่นาฬิกาหน้าห้องหน่อยว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”

“แปดโมงสี่สิบห้า”

“เก่งมาก”

ชมจบซ่งเจียซินก็หันไปทางด้านหลัง มองป้ายชื่อที่อกของเด็กชายแล้วพูดเสียงอ่อนโยน

“ลู่อันเฉิง สุ่ยหรันเอิน พวกนายเองก็เรียนเรื่องการดูเวลาแล้วใช่หรือไม่”

“ครับ” / “ครับ”

“เช่นนั้นกลับบ้านไปนายสองคนคงต้องสอนเรื่องนี้กับแม่ของนายสักหน่อย”

พูดจบซ่งเจียซินก็ตวัดสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคนมองไปที่หญิงสาวที่ร่วมกันสนทนาตำหนิตนก่อนหน้า แล้วส่งรอยยิ้มโดยไม่ถึงดวงตาให้หนึ่งหน

“หรือบางทีพวกนายอาจต้องสอนพวกเธออ่านหนังสือเพิ่มด้วย จะได้รู้ว่ากำหนดการวันนี้เขาเริ่มประชุมตอนกี่โมง”

กล่าวจบซ่งเจียซินก็ไม่สนใจสีหน้าที่เขียวคล้ำของหญิงสาวด้านหลัง และก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายมากไปกว่านี้คุณครูหยางก็ประกาศเริ่มการประชุม หลี่จื่อรั่วส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยงอย่างชื่นชมพร้อมกับโอบกอดเอวบางแล้วซบหน้าลงบนต้นแขนนุ่ม

“แม่ คุณเก่งที่สุด”

“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นแม่ของพวกนายได้อย่างไร”

เสียงสนทนากระซิบแผ่วเบา หลี่จื่อรั่วยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี ซ่งเจียซินมองดูท่าทางชวนเอ็นดูนี้แล้วก็อดที่จะบีบจมูกเล็กของเขาไม่ได้

ส่วนหลี่จื่อชิงเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของน้องชายกับหญิงใจร้ายก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ 

“ผู้หญิงขี้อวด! เมื่อครู่หากไม่มีฉันช่วยเธอจะจัดการคนปากร้ายพวกนั้นได้อย่างไร จื่อหมิงนายคิดเหมือนฉันไหม”

“คิด! ว่าเหมือนกัน ทั้งนายและเธอล้วนขี้อวด”

“จื่อหมิงนี่นาย!!!...”

หลี่จื่อชิงถูกพี่ชายยอกย้อนกลับมาก็โมโหจนหน้างอง้ำ หากแต่เมื่อเห็นมือหนายื่นลูกกวาดสามเม็ดมาตรงหน้า อาการหงุดหงิดก็หายไปในทันที รีบหยิบลูกอมหวานขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้วแกะใส่ปาก เช่นเดียวกับหลี่จื่อรั่วที่หยิบมาแกะกินด้วยอีกหนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอสองซี่หน้าของเขา

ที่แท้เพราะถูกหลอกล่อด้วยขนมหวานเช่นนี้ เจ้าแฝดน้อยจื่อรั่วถึงได้ฟันผุไปถึงสองซี่

“กินสิ!”

ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อลูกกวาดเม็ดสุดท้ายถูกส่งมาที่เบื้องหน้า ปกติแล้วเธอไม่ชอบกินของหวานแต่เพราะคนส่งมาคือหลี่จื่อหมิง ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรับมาแกะกิน

ทั้งที่ลูกกวาดนี้มีเพียงสามเม็ด หลี่จื่อหมิงกลับยอมเสียสละมอบมันให้เธอหนึ่งเม็ด

ดูแล้วการตัดสินใจมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้นับว่าได้กำไรไม่น้อย

การประชุมผู้ปกครองครั้งนี้เสร็จสิ้นในช่วงบ่าย หลังรับคำขอบคุณจากครูประจำชั้นแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกมา

“นี่คือลู่อันเฉิงใช่หรือไม่ ได้ยินว่าเทอมที่แล้วนายสอบได้อันดับหนึ่งของระดับชั้นประถมหนึ่ง ถิงหรานของเราต่อไปคงต้องฝากคนเก่ง ๆ อย่างนายช่วยดูแลแล้ว”

เสียงของผู้ปกครองหญิงอีกคนเข้ามาทักทายเด็กชายที่นั่งด้านหลัง เดิมทีซ่งเจียซินไม่ได้สนใจอะไรมากมายแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้

“เพื่อนในวัยเด็กไม่ใช่ใครก็ควรคบหา จะต้องเลือกที่ภูมิหลังดี และมีปัญญาฉลาดเฉลียว พวกที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไร้การอบรม ย่อมไม่สมควรคบหา”

“คุณ!...”

เป็นอีกครั้งที่ซ่งเจียซินจับแขนเล็กของหลี่จื่อชิงมาหลบที่ด้านหลัง จากนั้นก็ขยับเท้ามาเผชิญหน้ากับคนปากหาเรื่อง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่งยิ้มกว้าง

“ดูเหมือนคุณนายลู่จะลืมคุณสมบัติสำคัญอีกข้อในการคบเพื่อนไปนะคะ”

“คุณสมบัติสำคัญอะไรหรือคุณนายหลี่”

คุณนายถิงนั้นเป็นคนในชนบทที่บังเอิญได้ตบแต่งเข้าตระกูลถิง มีนิสัยซื่อตรง หัวอ่อน เป้าหมายในชีวิตมีเพียงส่งเสริมลูกชายและสามี เมื่อได้ยินซ่งเจียซินพูดถึงคุณสมบัติสำคัญในการเลือกคบเพื่อนก็แสดงท่าทีสนใจอย่างชัดเจน

“นิสัยของผู้ปกครอง เพราะนิสัยของผู้เลี้ยงดูในวันนี้ก็คือนิสัยของเด็กในวันหน้า ให้ดีพร้อมแค่ไหนถ้ามีนิสัยชอบระราน ดูแคลนคนอื่น ภายหน้าก็คงยากจะคบหา”

 ซ่งเจียซินเดิมทีไม่อยากพูดจาเช่นนี้ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบในภายหน้าจากการโต้แย้งนี้ก็คือเด็กชายที่ไร้เดียงสาผู้หนึ่ง เพียงแต่หากนางมีคุณธรรม สงสารผู้อื่นแล้วไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้ เช่นนั้นก็ให้นางเป็นหญิงไร้คุณธรรมไปเถิด

“เอ่อ... ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ คุณนายลู่เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยทักทายกันนะคะ”

คนถูกหักหน้ารู้สึกร้อนผ่าวจนหน้าเขียวคล้ำหันมาชี้หน้าของซ่งเจียซินด้วยความขุ่นเคืองใจ

“คุณกล้าตำหนิ ด่าทอฉันหรือ”

“ฉันปกป้องลูก ๆ ของฉันจากคำพูดของคุณจะเรียกว่ารังแกคุณได้ยังไง”

“คุณ!”

“คุณนายลู่ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อน นิสัยของฉันไม่ใช่คนดีนัก ชื่อเสียงก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ดังนั้นหากคุณกล้าแตะต้องลูก ๆ ของฉันไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ฉันสาบานว่าจะทำทุกทางเพื่อเอาคืนคุณเป็นสองเท่า”

เมื่อถูกข่มขู่ซึ่งหน้า คุณนายลู่ก็รู้สึกใจสั่นหวาดหวั่นขึ้นมา สองขาสั่นเทาถอยหนีก่อนจะหมุนตัวพาลูกชายเดินจากไปพร้อมกับคุณนายสุ่ย ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวหันกลับมาทางคุณครูหยางและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก่อนจะโค้งศีรษะขออภัยกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง

หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วแน่น เรื่องทั้งหมดมารดาเลี้ยงของเขาไม่ได้เป็นคนเริ่ม เหตุใดต้องเป็นคนรับผิดชอบเอ่ยขอโทษแทนผู้อื่นแบบนี้ จนกระทั่งกลับขึ้นมาบนรถซ่งเจียซินจึงเอ่ยอธิบายและสอนเด็กชายทั้งสามไปในตัว

“การขอโทษ ไม่เพียงเป็นการยอมรับผิด แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และการโต้ตอบที่น่ากลัวที่สุด”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 60 งานเลี้ยงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

    ซ่งเจียซินมองดูบัตรเชิญที่ตงซางยื่นให้แล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย“สมาคมฟู่หลันอย่างนั้นหรือ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”“เป็นสมาคมที่ตระกูลฟู่ก่อตั้งขึ้นครับ เห็นว่าก่อตั้งมาเพียงสามปีก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก มีทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวนเลยทีเดียว”ทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่จะมีคนบริจาคเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณที่สูงถึงเพียงนั้น เว้นแต่ว่ากิจการสมาคมนี้เบื้องหลังจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการกุศลเพียงอย่างเดียว ทว่าตระกูลฟู่นี้ทำไมจึงรู้สึกคุ้นหูนัก“ตระกูลฟู่... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหูจัง”“อาจเป็นเพราะนายท่านตระกูลฟู่ ก็คือบิดาบุญธรรมของคุณเจียงครับ”“บิดาบุญธรรมของเจียงชิงชุน?”“ครับ ตระกูล เป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ของประเทศ ผลิตอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ครับ”“กิจการของตระกูลเสวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ดังนั้นงานเลี้ยงนี้คงไม่เหมาะสมที่จะไป”ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ และไม่มีความจำเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวซ่งเจียซินก็คิดว่าเธอไม่ควรสอดมือเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ มือเรียวจึงวางบัตรเชิญ

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 59 ผู้หญิงของเจียงชิงชุน

    ซ่งเจียซินแทบจะสำลักข้าวต้มเมื่อหลี่โจวอี้แจ้งข่าวว่าตนเองทำเรื่องย้ายกลับเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว และนับจากวันนี้ไปเขาจะอยู่ที่บ้านทุกวัน“คุณหลี่ เมื่อครู่คุณบอกว่ายังไงนะคะ”“ผมบอกว่าตอนนี้ผมทำเรื่องย้ายมาสังกัดในเมืองได้แล้ว ต่อไปก็สามารถอยู่กับลูกและคุณได้ทุกวัน”อยู่ได้ทุกวัน เพียงแค่คิดซ่งเจียซินก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา สบดวงตาคมที่จ้องมองแล้วยิ้มแห้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเสียงรถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว“คุณไป๋ชิงหลันมาพบคุณหลี่ค่ะ”หูหลันอิงเข้ามารายงานด้วยท่าทางสงบนิ่งหากแต่หางตาลอบมองผู้เป็นนายสาวด้วยความห่วงใย ซ่งเจียซินตวัดสายตามองชายหนุ่มหัวโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นบุรุษมากเสน่ห์จริงๆ“อย่างนั้นคุณก็คุยกับเพื่อนสนิทไปก่อนก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันจะไปส่งเด็กๆ เอง”พูดจบซ่งเจียซินก็ลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสามก็ลุกขึ้นลงจากเก้าอี้ตามมารดาเลี้ยงในทันที“พ่อใจร้าย”หลี่จื่อรั่วพูดเสียงน้อยใจก่อนเดินออกไป ตามด้วยพี่ชายทั้งสองสีหน้าและแววตาชัดเจนว่าไม่พอใจคนเป็นพ่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้...”“โจวอี้...”หลี่โจวอี้พูดไม่ทันจบประโย

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 58 ความลุ่มหลงของภรรยา

    ข่าวเรื่องลูกค้าระดับแบล๊กโกล์ดคลาสของร้านเพชรเสวี่ยจะได้เลือกชมตัวอย่างแบบร่างเครื่องเพชรของนักออกแบบอันลู่ซือก่อนผู้อื่นทำให้บรรดาสมาชิกผู้ถือบัตรต่างพากันเข้าซื้อสินค้าในร้านเพชรเสวี่ยเพื่อเพิ่มระดับบัตรสมาชิกของตัวเอง เพียงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สร้างรายได้ให้กับร้านเสวี่ยมากกว่าสามล้านหยวน ทำลายยอดสถิติหลายปีที่ผ่านมาของเสวี่ยกรุ๊ปจนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างพากันตกใจและเมื่อถึงกำหนดส่งบัตรเชิญจำนวนลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิกระดับแบล๊กโกล์ดคลาสจากสิบกว่าคนก็เพิ่มยอดเป็นสามสิบคน คิดคำนวณดูแล้วเพียงแค่กลุ่มลูกค้านี้ก็สร้างรายได้ให้ร้านเสวี่ยถึงสามล้านหยวนแล้ว“ไฉ่หงทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีค่ะ”ซ่งเจียซินที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของการจัดงานสอบถามกวนไฉ่หง โดยวันนี้เธอได้มอบหมายให้ตงซางเข้าไปต้อนรับสมาชิกและดูแลความเรียบร้อยด้านใน แต่หากมีเรื่องผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตัวเธอก็จะรอจัดการอยู่ที่ด้านนอก“ยอดการสั่งจองเป็นอย่างไรบ้าง”“แบบร่างทั้งหกสิบแบบที่จะผลิตในปีนี้ถูกสั่งจองไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ”“ดี!”และเพราะแบบร่างทั้งหกสิบแบบที่อันลู่ซือออกแบบไว้ก็ถูกสั่งจองไปจนหมด ทำให้ที

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 57 สถานะที่ไม่อาจครอบครอง

    หลังจากงานเลิก ซ่งเจียซินก็พาเด็กชายทั้งสามแยกตัวออกจากงาน อาจเพราะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วดังนั้นขึ้นรถมาได้ไม่นานทั้งสามคนก็เอนหลับ ดวงตากลมมองศีรษะเล็กของหลี่จื่อรั่ว และ หลี่จื่อชิงที่นอนซบอยู่บนตักนุ่ม ขณะที่หลี่จื่อหมิงนั่งนิ่งแผ่นหลังตรงราวกับยังมีสติครบ เพียงแต่ดวงตาที่ปิดสนิทกับลมหายใจที่สม่ำเสมอก็ทำให้ซ่งเจียซินรับรู้ได้ว่าเขาเองก็หลับแล้วเช่นกัน“คุณชายทั้งสามยังเด็ก ออกงานครั้งแรกมีปัญหาอะไรไหมคะ”“ไม่มี”เมื่อตอบจูหลินอิงไปแล้วซ่งเจียซินก็อดคิดถึงภาพสามคุณหนูที่ถูกเด็กชายทั้งสามลงมือไม่ได้“ถึงมีฉันก็จะปกป้องพวกเขาเอง”“คุณหนูดีกับคุณชายน้อยทั้งสามคนขนาดนี้ คุณหลี่ก็ยังคิดมอบใบหย่าคุณอีก ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายจริงๆ”ในรถพลันเงียบลงในทันทีจูหลินอิงที่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาก็รีบกล่าวขอโทษแล้วหันกลับไปนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีกซ่งเจียซินปวดหนึบในใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เธอรู้สึกรักและผูกพันจนไม่อยากจากเด็กชายทั้งสามไปเลย ดวงตากลมเสมองไปนอกหน้าต่างเพื่อขับไล่ความรู้สึกในอก จึงไม่เห็นมือเล็กของหลี่จื่อหมิงที่กำแน่นเข้าหากันบิดาของเขาคิดจะมอบใบหย่าให้มารดาเลี้ยงอย่า

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 56 ลูกที่ดีย่อมต้องเชื่อฟังพ่อแม่

    “ชิงหยวน เป็นอย่างไรบ้าง”อวี้ซูซินเห็นลูกสาวของตนเองเดินกลับออกมาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เช่นเดียวกับเสวี่ยตงฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะสนับสนุนลูกเอง”“ขอบคุณค่ะ”เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิงฉู่หรันจะช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ซ่งเจียซินจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปทางเวทีด้านหน้า พลันแสงไฟในงานก็ดับลง เหลือเพียงแสงที่สาดขึ้นบนเวทีซ่งเจียซินจดจ้องบนลานเดินที่บรรดานางแบบกำลังทยอยเดินออกมา บนตัวของพวกเธอแต่ละคนต่างสวมเครื่องเพชรหรูหรา โดยมีพิธีการชายหญิงคอยอธิบายถึงคุณสมบัติต่างๆ ของผลงานแต่ละชิ้น“และในลำดับต่อไปเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ยครับ”สิ้นเสียงของพิธีกรสิงฉู่หรันในชุดสีดำวาวก็เดินออกมายังเบื้องหน้าเวที ด้วยรูปลักษณ์และใบหน้าที่โดดเด่น อีกทั้งท่วงท่าสง่างาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันทีที่ปรากฏตัว“นั้นคุณสิงฉู่หรัน ดาราดังไม่ใช่หรือ”“ได้ยินว่าเธอไม่รับงานเดินแบบนี่นา ไม่คิดเลยว่าร้านเสวี่ยจะสามารถเชิญเธอมาเดินแบบให้ได้”เสียงผู้คนดังขึ้น เสวี่ยชิงหยวนจ้องมองไปบนเวทีด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สองมือข้างลำตัวกำแน่นด้วยความกังวล ก่อนจะสัมผัสได้ถึง

  • ทะลุมิติมาเป็น มารดาเลี้ยงแฝด3 ในยุค80   บทที่ 55 ชดใช้คืนให้

    “คุณหนูเสวี่ยครับเกิดเรื่องแล้ว”“เรื่องอะไร”“นางแบบที่จะสวมชุดเครื่องเพชรของร้านเราขึ้นเวทีเป็นลมหมดสติไปกะทันหันครับ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวแน่น ในแววตามีความกังวลและสงสัยเกิดขึ้นทันทีที่ฟังคำรายงานของตงซางจบ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาสาเหตุการเกิดปัญหา แต่คือการหาวิธีแก้ไขปัญหา“คุณแม่คะ ฉันฝากเด็กๆ ไว้สักครู่นะคะ”“ได้!แม่จะดูแลพวกเขาเอง ลูกไปจัดการธุระเถอะ”“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องๆ เอง”หลังจากได้รับคำตกลงจากมารดา และคำมั่นจากหลี่จื่อหมิงซ่งเจียซินก็วางใจเร่งเดินไปที่ห้องด้านหลังเวทีในทันที“คุณเสวี่ย พวกเราจะทำยังไงดี”อันลู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุสุดวิสัย และทางสมาคมหมิงหลันไม่ได้ตำหนิพวกเธอร้านเสวี่ย แต่สำหรับซ่งเจียซินแล้วนี่กลับเป็นการขาดทุนมหาศาลหากไม่ได้ขึ้นเวทีเครื่องเพชรของเธอก็จะไม่ได้ถูกนำเสนอ ชื่อร้านเสวี่ยก็จะไม่มีการประกาศ เช่นนี้แล้วทุกอย่างที่ลงแรงไปก็เท่ากับศูนย์เปล่า“นางแบบเป็นยังไงบ้าง พาไปโรงพยาบาลหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วครับ”ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งเจียซินไม่ไ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status