ซ่งเจียซินทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เจ็ดวันแล้วที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน เรื่องราวในตอนนี้แม้ว่ายากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เธอได้กลายมาเป็นเสวี่ยชิงหยวน ภรรยาของหลี่โจวอี้นายแพทย์ทหารชั้นพันเอก และยังเป็นมารดาเลี้ยงของลูกแฝดอีกสามคน
เมื่อคิดถึงเด็กแฝดทั้งสามคนซ่งเจียซินก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับลูกเลี้ยงนั้นช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้ว่าเจ็ดวันมานี้พวกเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ซ่งเจียซินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คลื่นลมที่สงบชั่วคราวเท่านั้น
“ขออนุญาตค่ะคุณหนู”
เสียงขออนุญาตของหูหลินอิงดังขึ้นที่หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น
“นมอุ่นก่อนนอนค่ะ”
“ขอบใจมาก ทางเด็ก ๆ ก็ได้แล้วใช่ไหม”
“ได้แล้วค่ะ ดื่มหมดแล้วด้วย”
ซ่งเจียซินพยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน ก็ให้หูหลินอิงนำนมอุ่นไปให้เด็กชายทั้งสาม อีกทั้งยังบอกไม้เด็ดหากพวกเขาไม่ยอมดื่มให้บอกว่า ถ้าคุณชายทั้งสามไม่ดื่ม คุณเสวี่ยจะเข้ามาป้อนด้วยตนเองค่ะ
เด็กชายทั้งสามเว้นหลี่จื่อรั่ว ล้วนไม่มีใครต้องการยุ่งวุ่นวายกับเธอ ดังนั้นเพียงแค่ได้ยินว่าเธอจะไปหาพวกเขาถึงในห้อง นมในแก้วก็ถูกยกดื่มจนหมดในรวดเดียว
“อืม... เช่นนั้นก็ดี วันนี้หมอโจวบอกว่าแผลของจื่อรั่วหายดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้เขาไปโรงเรียนพร้อมกันกับจื่อหมิง จื่อชิง”
ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ ซ่งเจียซินก็ตระหนักได้ถึงการจัดการเหตุฉุกเฉิน เพราะหากวันนั้นคนที่บาดเจ็บคือเธอ การจะให้คนอื่นขับรถไปโรงพยาบาลคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ดังนั้นในวันถัดมาซ่งเจียซินจึงให้หูหลินอิงหาคนขับรถและสาวใช้มาเพิ่ม ดังนั้นในบ้านตอนนี้นอกจากเธอและเด็กชายฝาแฝดทั้งสาม ก็มีหูหลินอิงคนใช้เก่าแก่ที่ติดตามเสวี่ยชิงหยวนมาจากบ้านเสวี่ย เหอเถาที่มาเป็นคนขับรถ และ อู๋จินอ้ายสาวใช้คนใหม่ รวมแล้วจึงมีด้วยกันถึงเจ็ดชีวิต
“คุณหนูคะ นี่เป็นจดหมายจากทางโรงเรียนที่คุณชายจื่อรั่วแอบฝากฉันมาให้คุณค่ะ”
ซ่งเจียซินรับจดหมายจากมือของหูหลินอิงมาเปิดดู หนังสือเชิญประชุมผู้ปกครอง
“มีฉบับเดียวหรือ”
“ค่ะ”
แน่นอนว่าจดหมายนี้เด็กชายทั้งสามล้วนต้องได้รับมาทุกคน ดังนั้นจึงควรมีสามฉบับ แต่คาดว่าที่หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงไม่นำมาให้เธอก็เพราะไม่ต้องการให้เธอไปร่วมงานในครั้งนี้นั่นเอง
“คุณหนูจะไปร่วมงานไหมคะ ฉันจะได้เตรียมชุดให้”
“ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วเธอไปนอนเถอะ”
ยึดตามความต้องการของพวกเขาทั้งสามด้วยคะแนนเสียงสองต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การประชุมผู้ปกครองของพวกเขาในครั้งนี้เธอไม่ควรไป
ในยามเช้าวันต่อมาขณะที่เด็กชายทั้งสามกำลังกินมื้อเช้า หลี่จื่อรั่วก็มักจะแอบมองไปที่บันไดอยู่บ่อย ๆ ในใจคาดหวังว่ามารดาเลี้ยงของตนจะเดินลงมาพร้อมกับบอกว่า จะไปร่วมงานประชุมผู้ปกครองของพวกเขา เพียงแต่จนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถออกจากบ้านมาแล้ว แม้แต่เงาของมารดาเลี้ยงก็ไม่ได้เห็น
“จื่อรั่ว นายไม่ต้องเสียใจ ฉันแอบส่งจดหมายเชิญนี้ไปให้คุณแม่ของพวกเราแล้ว เธอจะต้องมาร่วมงานแน่ ๆ”
หลี่จื่อชิงบอกด้วยน้ำเสียงสดใส งานประชุมผู้ปกครองก็สมควรให้ผู้ปกครองตัวจริงของพวกเขาไปร่วมงาน หญิงสาวร้ายกาจคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาเสียหน่อยจะให้เธอไปทำไมกัน
“ปีที่แล้วนายก็ส่งไป แต่แม่ก็ไม่มาไม่ใช่หรือ”
“นั่น... นั่นเพราะเธอติดธุระ หากไม่ติดธุระเธอต้องมาแน่ ๆ”
หลี่จื่อชิงบอกก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็ก เพราะความจริงแล้วไม่ใช่แค่ปีที่แล้วที่มารดาผู้ให้กำเนิดไม่มาร่วมงาน ในช่วงที่เขาเรียนระดับปฐมวัย มารดาของเขาก็ไม่เคยมาแสดงตัวที่โรงเรียนเลยสักครั้งเช่นกัน คิดดูแล้วทุกครั้งที่เขาได้พบหน้าเธอก็จะเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องการเงินจากพ่อของพวกเขาเท่านั้น
“ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องมา พวกเราสามคนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเธอ”
เป็นหลี่จื่อหมิงที่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พวกเขาสามพี่น้องไม่จำเป็นต้องพึ่งพามารดา ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด หรือมารดาเลี้ยงก็ล้วนไม่จำเป็น
ในปีนี้โรงเรียนประถมซีซวน จัดการประชุมผู้ปกครองโดยแบ่งแยกตามระดับชั้น ในขั้นตอนแรกจะให้เด็ก ๆ นั่งรอที่หน้าห้องเรียน หากผู้ปกครองของใครมาแล้วก็ให้พาเข้าไปนั่งภายในห้องเรียนได้ รอจนทุกคนมาครบก็จะเริ่มประชุมโดยพร้อมกัน
แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วว่าวันนี้พวกเขาสามคนจะต้องถูกทิ้งไว้ที่หน้าห้อง แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นต่างพากันจับจูงมือของพ่อบ้าง ของแม่บ้าง หรือบางคนก็มีทั้งพ่อและแม่ เดินเข้าไปในห้องเรียนทีละคนในใจของเด็กชายฝาแฝดทั้งสามก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในที
“จื่อหมิง จื่อชิง จื่อรั่ว พ่อกับแม่ของพวกนายล่ะ ทำไมยังไม่มา”
ชางยุน เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเดินออกมาถามเด็กชายทั้งสามที่หน้าประตูห้อง เพราะในตอนนี้ผู้ปกครองของทุกคนมากันครบหมดแล้ว รอแค่ผู้ปกครองของเด็กแฝดทั้งสามเท่านั้นก็จะเริ่มการประชุมได้
“นั่นสิ พวกเรารอตั้งนานแล้วทำไมไม่รู้จักเวลาเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเด็กแฝดทั้งสามคนนี้หย่ากับพ่อของเขาแล้ว ที่บ้านมีแค่แม่เลี้ยงใหม่ ดูแล้วคงไม่มีใครมา”
“ปีที่แล้วก็ไม่มีใครมา อย่างนั้นพวกเราก็เริ่มประชุมกันเลยดีไหมคะครูหยาง”
เมื่อได้ยินผู้ปกครองคนอื่นเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ภายในครอบครัวพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดูแคลน หลี่จื่อหมิงก็กำหมัดแน่นตวัดสายตาดุดันจ้องมอง ในขณะที่หลี่จื่อรั่วน้ำตาคลอดวงตาแดงก่ำกอดแขนพี่ชายฝาแฝดคนโตเอาไว้แน่น หลี่จื่อชิงที่เชื่อมั่นว่า กวงเหยียนฟาง มารดาผู้ให้กำเนิดต้องมาแน่ ๆ คล้ายหัวใจแตกสลาย มองดูภาพความอบอุ่นของครอบครัวคนอื่นแล้วพลันเกิดคำถามในใจ ทำไมแม่ถึงไม่มา มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เม้มริมฝีปากข่มอารมณ์แล้วก้าวเท้าเล็กตรงไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เดินยังไม่ทันถึงบันไดร่างสูงเพรียวอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
“ฉันมาช้าไปหรือไม่”
“แม่!”
หลี่จื่อรั่วเห็นซ่งเจียซินปรากฏตัวในใจก็ยินดี ปล่อยมือจากพี่ชายของตนเองวิ่งกางแขนไปหามารดาเลี้ยงในทันที ซ่งเจียซินย่อตัวโอบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอกด้วยรอยยิ้ม
“คุณมาทำไม”
หลี่จื่อชิงถามเสียงแข็งกร้าว เขาไม่ได้ขอร้องให้หญิงใจร้ายคนนี้มาสักหน่อย จะมาทำไมก็ไม่รู้ เพียงแต่ทั้งที่ควรจะโมโหการกระทำโดยพลการของเธอเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้หลี่จื่อชิงกลับมีความรู้สึกยินดีกับการมาของเธออย่างที่ไม่เคยเป็น
“เป็นฉันที่บอกให้คุณแม่มาเอง ขอบคุณแม่มากนะครับที่มางานของพวกเรา”
หลี่จื่อรั่วพูดพลางโอบกอดลำคอและซบหน้าลงบนอกของมารดาอย่างออดอ้อน ซ่งเจียซินยิ้มกว้างกดจมูกลงบนเส้นผมของเด็กชายด้วยความเอ็นดู
“จื่อรั่วนี่นาย...”
หลี่จื่อชิงโมโหน้องชายตัวน้อย หากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะดุก็ยังทำไม่ลง สุดท้ายที่ทำได้จึงมีเพียงกอดอกเดินไปหาพี่ชายฝาแฝด
“จื่อรั่วอย่าเอาแต่คุยเล่น ทุกคนกำลังรอพวกเราอยู่”
แม้คำพูดของหลี่จื่อหมิงจะดูคล้ายเป็นการบอกกล่าวหลี่จื่อรั่ว แต่แท้จริงกลับเป็นการเตือนมารดาเลี้ยงให้รู้จักเวลา ซ่งเจียซินไม่ได้ตำหนิการกระทำของเขาอีกทั้งยังวางหลี่จื่อรั่วลงแล้วพาพวกเขาเดินเข้าไปในห้องเพื่อเริ่มประชุม
“ไม่รู้จักเวลาจริง ๆ ปล่อยให้คนอื่นรอแบบนี้ไม่มีมารยาท”
“นั่นน่ะสิ อย่างว่าแหละก็แค่งานของลูกเลี้ยง จะให้ใส่ใจอะไรมากมาย”
เสียงของผู้ปกครองหญิงด้านหลังดังขึ้น หลี่จื่อชิงหมุนตัวหันกลับไปคิดจะโต้ตอบ แต่ข้อมือเล็กกลับถูกจับห้ามปรามเอาไว้โดยคนตัวโตข้าง ๆ
“จื่อชิง ลูกเรียนเรื่องการดูเวลาหรือยัง”
“เรียนแล้ว”
“เช่นนั้นมองไปที่นาฬิกาหน้าห้องหน่อยว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“แปดโมงสี่สิบห้า”
“เก่งมาก”
ชมจบซ่งเจียซินก็หันไปทางด้านหลัง มองป้ายชื่อที่อกของเด็กชายแล้วพูดเสียงอ่อนโยน
“ลู่อันเฉิง สุ่ยหรันเอิน พวกนายเองก็เรียนเรื่องการดูเวลาแล้วใช่หรือไม่”
“ครับ” / “ครับ”
“เช่นนั้นกลับบ้านไปนายสองคนคงต้องสอนเรื่องนี้กับแม่ของนายสักหน่อย”
พูดจบซ่งเจียซินก็ตวัดสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคนมองไปที่หญิงสาวที่ร่วมกันสนทนาตำหนิตนก่อนหน้า แล้วส่งรอยยิ้มโดยไม่ถึงดวงตาให้หนึ่งหน
“หรือบางทีพวกนายอาจต้องสอนพวกเธออ่านหนังสือเพิ่มด้วย จะได้รู้ว่ากำหนดการวันนี้เขาเริ่มประชุมตอนกี่โมง”
กล่าวจบซ่งเจียซินก็ไม่สนใจสีหน้าที่เขียวคล้ำของหญิงสาวด้านหลัง และก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายมากไปกว่านี้คุณครูหยางก็ประกาศเริ่มการประชุม หลี่จื่อรั่วส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยงอย่างชื่นชมพร้อมกับโอบกอดเอวบางแล้วซบหน้าลงบนต้นแขนนุ่ม
“แม่ คุณเก่งที่สุด”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นแม่ของพวกนายได้อย่างไร”
เสียงสนทนากระซิบแผ่วเบา หลี่จื่อรั่วยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี ซ่งเจียซินมองดูท่าทางชวนเอ็นดูนี้แล้วก็อดที่จะบีบจมูกเล็กของเขาไม่ได้
ส่วนหลี่จื่อชิงเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของน้องชายกับหญิงใจร้ายก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“ผู้หญิงขี้อวด! เมื่อครู่หากไม่มีฉันช่วยเธอจะจัดการคนปากร้ายพวกนั้นได้อย่างไร จื่อหมิงนายคิดเหมือนฉันไหม”
“คิด! ว่าเหมือนกัน ทั้งนายและเธอล้วนขี้อวด”
“จื่อหมิงนี่นาย!!!...”
หลี่จื่อชิงถูกพี่ชายยอกย้อนกลับมาก็โมโหจนหน้างอง้ำ หากแต่เมื่อเห็นมือหนายื่นลูกกวาดสามเม็ดมาตรงหน้า อาการหงุดหงิดก็หายไปในทันที รีบหยิบลูกอมหวานขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้วแกะใส่ปาก เช่นเดียวกับหลี่จื่อรั่วที่หยิบมาแกะกินด้วยอีกหนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอสองซี่หน้าของเขา
ที่แท้เพราะถูกหลอกล่อด้วยขนมหวานเช่นนี้ เจ้าแฝดน้อยจื่อรั่วถึงได้ฟันผุไปถึงสองซี่
“กินสิ!”
ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อลูกกวาดเม็ดสุดท้ายถูกส่งมาที่เบื้องหน้า ปกติแล้วเธอไม่ชอบกินของหวานแต่เพราะคนส่งมาคือหลี่จื่อหมิง ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรับมาแกะกิน
ทั้งที่ลูกกวาดนี้มีเพียงสามเม็ด หลี่จื่อหมิงกลับยอมเสียสละมอบมันให้เธอหนึ่งเม็ด
ดูแล้วการตัดสินใจมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้นับว่าได้กำไรไม่น้อยการประชุมผู้ปกครองครั้งนี้เสร็จสิ้นในช่วงบ่าย หลังรับคำขอบคุณจากครูประจำชั้นแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกมา
“นี่คือลู่อันเฉิงใช่หรือไม่ ได้ยินว่าเทอมที่แล้วนายสอบได้อันดับหนึ่งของระดับชั้นประถมหนึ่ง ถิงหรานของเราต่อไปคงต้องฝากคนเก่ง ๆ อย่างนายช่วยดูแลแล้ว”
เสียงของผู้ปกครองหญิงอีกคนเข้ามาทักทายเด็กชายที่นั่งด้านหลัง เดิมทีซ่งเจียซินไม่ได้สนใจอะไรมากมายแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“เพื่อนในวัยเด็กไม่ใช่ใครก็ควรคบหา จะต้องเลือกที่ภูมิหลังดี และมีปัญญาฉลาดเฉลียว พวกที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไร้การอบรม ย่อมไม่สมควรคบหา”
“คุณ!...”
เป็นอีกครั้งที่ซ่งเจียซินจับแขนเล็กของหลี่จื่อชิงมาหลบที่ด้านหลัง จากนั้นก็ขยับเท้ามาเผชิญหน้ากับคนปากหาเรื่อง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่งยิ้มกว้าง
“ดูเหมือนคุณนายลู่จะลืมคุณสมบัติสำคัญอีกข้อในการคบเพื่อนไปนะคะ”
“คุณสมบัติสำคัญอะไรหรือคุณนายหลี่”
คุณนายถิงนั้นเป็นคนในชนบทที่บังเอิญได้ตบแต่งเข้าตระกูลถิง มีนิสัยซื่อตรง หัวอ่อน เป้าหมายในชีวิตมีเพียงส่งเสริมลูกชายและสามี เมื่อได้ยินซ่งเจียซินพูดถึงคุณสมบัติสำคัญในการเลือกคบเพื่อนก็แสดงท่าทีสนใจอย่างชัดเจน
“นิสัยของผู้ปกครอง เพราะนิสัยของผู้เลี้ยงดูในวันนี้ก็คือนิสัยของเด็กในวันหน้า ให้ดีพร้อมแค่ไหนถ้ามีนิสัยชอบระราน ดูแคลนคนอื่น ภายหน้าก็คงยากจะคบหา”
ซ่งเจียซินเดิมทีไม่อยากพูดจาเช่นนี้ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบในภายหน้าจากการโต้แย้งนี้ก็คือเด็กชายที่ไร้เดียงสาผู้หนึ่ง เพียงแต่หากนางมีคุณธรรม สงสารผู้อื่นแล้วไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้ เช่นนั้นก็ให้นางเป็นหญิงไร้คุณธรรมไปเถิด
“เอ่อ... ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ คุณนายลู่เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยทักทายกันนะคะ”
คนถูกหักหน้ารู้สึกร้อนผ่าวจนหน้าเขียวคล้ำหันมาชี้หน้าของซ่งเจียซินด้วยความขุ่นเคืองใจ
“คุณกล้าตำหนิ ด่าทอฉันหรือ”
“ฉันปกป้องลูก ๆ ของฉันจากคำพูดของคุณจะเรียกว่ารังแกคุณได้ยังไง”
“คุณ!”
“คุณนายลู่ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อน นิสัยของฉันไม่ใช่คนดีนัก ชื่อเสียงก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ดังนั้นหากคุณกล้าแตะต้องลูก ๆ ของฉันไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ฉันสาบานว่าจะทำทุกทางเพื่อเอาคืนคุณเป็นสองเท่า”
เมื่อถูกข่มขู่ซึ่งหน้า คุณนายลู่ก็รู้สึกใจสั่นหวาดหวั่นขึ้นมา สองขาสั่นเทาถอยหนีก่อนจะหมุนตัวพาลูกชายเดินจากไปพร้อมกับคุณนายสุ่ย ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวหันกลับมาทางคุณครูหยางและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก่อนจะโค้งศีรษะขออภัยกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง
หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วแน่น เรื่องทั้งหมดมารดาเลี้ยงของเขาไม่ได้เป็นคนเริ่ม เหตุใดต้องเป็นคนรับผิดชอบเอ่ยขอโทษแทนผู้อื่นแบบนี้ จนกระทั่งกลับขึ้นมาบนรถซ่งเจียซินจึงเอ่ยอธิบายและสอนเด็กชายทั้งสามไปในตัว
“การขอโทษ ไม่เพียงเป็นการยอมรับผิด แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และการโต้ตอบที่น่ากลัวที่สุด”
"ผมไม่ให้ไป!""คุณเฉิน นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวแบบนี้""สิทธิ์ในการเป็นสามีของคุณยังไงล่ะ"ได้ยินคำพูดที่เอาแต่ใจของชายหนุ่มตรงหน้าสิงฉู่หรันก็ได้แต่ขบกรามแน่น เดินเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วพูดเสียงหนักแน่นลอดไรฟัน"อย่างนั้นฉันก็จะหย่า ต่อจากนี้ระหว่างคุณกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก"เฉิงเซียวขบกรามแน่น สิงฉู่หรันเธอกล้าดีอย่างไรมาพูดเรื่องหย่ากับเขาเช่นนี้ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำอธิบายอะไรคนโตก็ตวัดอุ้มหญิงสาวขึ้นแนบอก"ว้าย! ท่านประธานเฉิน คุณจะทำอะไร ปล่อยตัวฉู่หรันนะคะ""เธอเป็นภรรยาของผม ผมจะจับจะปล่อยคุณเกี่ยวอะไรด้วย""แต่ฉันเป็นผู้จัดการส้วนตัวของน้องฉู่หรันนะคะ""อย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่ต้องเป็นอีก ผม! ไล่! คุณ! ออก!""คุณเฉิน คุณถือดีอะไรมาไล่คนของฉันออก""คนของเธออย่างนั้นหรอ ฉู่หรันชีวิตนี้คนที่สามารถใช้คำว่าคนของเธอมีแค่ฉัน เฉินเซียว! คนเดียวเท่านั้น"และนับจากเหตุการณ์นี้ดาราสาวดาวรุ่งสิงฉู่หรันก็หายไปจากวงการบันเทิง ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าเป็นเพราะสามีของเธอหึงหวงภรรยาคนสวยมาก ถึงขั้นมอบหุ้นกิจการของตระกูลเฉินครึ่งหนึ่งให้เธอเป็นข้อแลกเปล
หลังจากที่หลี่จื่อหมิงหายดีแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เว้นเพียงเรื่องของซ่งเจียซินและหลี่โจวอี้ ที่ทุกคืนจะต้องวุ่นวายจนกลับเช้า เขาจึงยอมปล่อยให้เธอได้นอนพัก"เด็กๆ อยากได้น้องสาวมาก ช่วงนี้แม้ผมจะเหนื่อยกับคนไข้ไปหน่อยแต่ก็ยินดีทำเพื่อพวกเขา"ซ่งเจียซินถอนหายใจอย่างระอา เธอใช้ชีวิตมาสองชาติสองภพเพิ่งเคยเจอคนที่หลงและมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้ "คุณเสวี่ยครับ ทางร้านเหม่ยลี่ส่งชุดมาให้แล้วครับ"ตงซานรายงานพร้อมกับส่งกล่องกระดาษห้า ใบให้กับหญิงสาวผู้เป็นนาย ซ่งเจียซินพยักหน้ารับ อาทิตย์ก่อนหลังจากที่ได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมงานหมั้นของอันลู่ซือและประธานฮั่ว ซ่งเจียซินก็สั่งตัดชุดให้กับตัวเองและพ่อลูกบ้านหลี่ทั้งสี่คน"คุณเสวี่ย คุณจะพานายพลหลี่ แล้วก็เด็กๆ ไปร่วมงานด้วยจริงๆ หรือครับ"ถึงแม้ว่าหลี่โจวอี้จะเป็นนายพลที่ผู้คนนับหน้าถือตา แต่งานสังคมแบบนี้มีแต่นักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ หลี่โจวอี้เป็นทหารเข้าไปร่วมงานอาจจะรู้สึกอึดอัดไม่สะดวกในการวางตัว"พวกเขาเป็นคนของฉัน หากเกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง"เมื่อเจ้านายสาวกล่าวออกมาเช่นนี้ ตงซานก็ไม่คิดเซ้าซี้ให้มากความ หมุนตัวเดินออกไปทำหน
ทางด้านซ่งเจียซินหลังจากที่หลี่โจวอี้ลงไปส่งเฟิ่งเฉิงเยว่ เธอก็ตักข้าวต้มปลาใส่ชามส่งให้เด็กๆ อย่างใส่ใจ จนพวกเขาอดที่จะคิดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่พ่อออกจากประตูไป เธอไม่เพียงไม่ใส่ใจพวกเขา ทุกคำพูดหากไม่ตำหนิพ่อ ก็ด่าทอมารดาเลี้ยง ยุยงให้พวกเขาเกียจชังอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา และที่ร้ายแรงเกินกว่าจะยอมรับก็คือการกระทำที่มารดาผู้นั้นกระทำกับลุงเฟิ่งของพวกเขา"ฝีมือของพี่อิงอิงนับว่าไม่เลว แต่ก็ยังเทียบกับมือของแม่ไม่ได้"“จริงครับ แม่ครับพรุ่งนี้คุณหมอก็จะให้จื่อหมิงกลับบ้านได้แล้ว แม่ทำข้าวต้มปลาให้พวกเรากินได้ไหมครับ”“ถ้าลูกๆ อยากกิน แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”ซ่งเจียซินเห็นเด็กๆ มีความสุขเช่นนี้ในใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่นไปด้วย เพียงแต่เมื่อมองไปยังหลี่จื่อหมิงที่นั่งอยู่บนเตียงโดยไม่ตักอาหารกินสักคำ อีกทั้งสีหน้าและแววตาของเขายังเต็มไปด้วยความกังวลบางอย่าง ก็คาดเดาไปว่าเด็กชายคงคิดถึงกวงเหยียนฟางให้เธอดีแค่ไหน ก็เป็นได้แค่มารดาเลี้ยง ไม่อาจเทียบเท่ากับมารดาที่แท้จริงในใจของเธอรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่ซ่งเจียซินไม่ใช่คนไร้เหตุผล จิตใจคับแคบ จึงเข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ
ซ่งเจียซินลุกจากเตียงด้วยความยากลำบากก่อนจะตวัดสายตามองไปทางชายหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียงด้วยความไม่พอใจ"คุณหลี่ ทำไมคุณยังไม่รีบลุกมาแต่งตัวอีกไม่ใช่คุณบอกว่าเด็กๆ กำลังรอกินข้าวต้มปลาของฉันอยู่หรือคะ""มีเฉิงเย่วดูแลพวกเขาอยู่ จะต้องกังวลไปทำไมกัน""คุณไม่กังวล แต่ฉันกังวลค่ะ ฉันจะไปดูลูกค่ะคุณอยากจะนอนพักต่อก็ตามสบายค่ะ"พูดจบซ่งเจียซินที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินเปิดประตูออกไป โดยไม่สนใจคนบนเตียงอีกหลี่โจวอี้เห็นหญิงสาวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองตนเองก็อ้าปากค้างรีบลุกจากเตียง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งตามเธอลงมาด้านล่าง"ชิงหยวน คุณกำลังจะทิ้งผมอีกแล้ว"ซ่งเจียซินถอนหายใจพลางอย่างระอาใจกับความแง่งอนไร้เหตุผลของคนตรงหน้า ทว่าเวลานี้เด็กๆ กำลังรอเธออยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเธอจึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว "ฉันจะทิ้งคุณได้ยังไงกันคะ เรารีบไปกันเถอะค่ะ เด็กๆ รอพวกเรานานแล้ว"ซ่งเจียซินบอกพร้อมกับเดินเข้ามาจับแขนของคนตัวโต เมื่อเห็นว่าเสวี่ยชิงหยวนงอนง้อตนเองด้วยท่าทางน่ารัก ใบหน้าคมเข้มของหลี่โจวอี้ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เปิดประตูรถเข้าไปประจำที่นั่งคนขับทำหน้าที่เป็นคนข
“ผมไม่กวนคุณแล้ว แค่อยากให้พวกเราไปนอนพักกันสักหน่อยจะได้มีแรงดูแลเด็กๆ แต่ถ้าคุณต้องการผมก็ไม่ขัด”ซ่งเจียซินตวัดสายตามองคนตัวโตอีกครั้ง สองแก้มร้อนผ่าวคิดถึงเรื่องที่ร้านเสวี่ยก่อนหน้านี้ด้วยความรู้สึกอับอาย“โต๊ะทำงานของคุณแข็งมาก คุณปวดหลังไหม”เสียงทุ้มอ่อนโยนถามด้วยความห่วงใยหลังจากวางคนลงบนเตียงกว้าง ซ่งเจียซินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนหน้านี้เขาลงมือแบบไม่มีออมแรง ตอนนี้มาถามไถ่ไม่รู้สึกว่าช้าไปหรืออย่างไร“ถ้าคุณไม่ปวดอย่างนั้นเรามา...”“คุณหลี่ หยุดนะ!เมื่อครู่คุณบอกว่าจะพักไม่ใช่หรือไง”หลี่โจวอี้มองท่าทางดึงผ้าห่มมาบังตัวของเสวี่ยชิงหยวนแล้วยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของเสวี่ยชิงหยวน“โอ๊ย!คุณทำอะไรน่ะ ฉันเจ็บนะ”ร้องพลางยกมือขึ้นจับหน้าผากที่ถูกนิ้วยาวของเขาดีดใส่เมื่อครู่ ทว่ายังไม่ทันตำหนิอีกฝ่ายต่อ ริมฝีปากร้อนของเขาก็กดลงบนรอยแดงเล็กที่หน้าผากเนียน“แบบนี้หายหรือยัง”“คุณหลี่!”ซ่งเจียซินเบิกตากว้างรีบขยับตัวถอยห่างจากชายหนุ่ม แต่กลับถูกวงแขนแกร่งของเขาตวัดเอวเล็กมาแนบชิดแล้วดึงนอนตะแคงบนเตียงด้วยกัน“หยวนหย
"คุณหลี่... คุณจะทำอะไร นี่มันห้องทำงานของฉันนะคะ""ผมก็แค่จะพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายของผมให้คุณดูก็เท่านั้น""ไม่... อื้ม..."เสียงของซ่งเจียซินเงียบลงในทันที เมื่อริมฝีปากบางถูกนายพลหนุ่มจู่โจมยึดครองด้วยจุมพิตที่เร่าร้อนรุนแรง"คุณหลี่อย่าค่ะ... ที่นี่ไม่ได้... อ่ะ..."ทันทีที่ริมฝีปากบางได้รับอิสระซ่งเจียซินก็รีบเอ่ยปากร้องห้ามเขาอีกครั้ง พร้อมกับใช้สองมือออกแรงดันอกแกร่งเพื่อให้เขาถอยห่าง แต่กลับถูกเขาจับยึดเอาไว้ด้วยมือเดียว แล้วกดตัวเธอลงบนโต๊ะทำงาน"คุณหลี่ ปล่อยฉันนะ...""หยวนหยวนคุณไม่ต้องการผมจริงๆ เหรอ"หลี่โจวอี้กระซิบถามเสียงแหบพร่าพร้อมกับกดริมฝีปากไล้ไปตามลำคอระหง มืออีกข้างก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อด้านหน้าของเธอออก เผยเนินเนื้ออกอิ่มขาวเนียนตัดกับชุดชั้นในราคาแพงสีดำ ที่กำลังถูกเขาถอดออกไปให้พ้นทาง"อ่ะ... โจวอี้"ซ่งเจียซินร้องครวญเสียงกระเซ่า เมื่อยอดอกถูกริมฝีปากร้อนยึดครองดูดดึง จนเป็นรอยแดงก่ำ ความเร่าร้อน ปรารถนาในกายถูกปลุกเร้าให้ตื่นตัว จนเธอเผลอแอ่นอกอวบอิ่มเข้าหา ตอบรับสัมผัสเขาอย่างไม่รู้ตัว"อื้ม... หยวนหยวน"หลี่โจวอี้สัมผัสได้ถึงความพร้อมของเธอก็ขยับรุกเข้าห