ณ จวนสกุลเมิ่ง
"ท่านแม่ตกลงแล้ว นังเด็กบ้ามันหายไปไหนกันแน่ หรือมันตายไปแล้วจริง ๆ เจ้าคะ"
"แม่เองก็ไม่รู้ ส่งคนไปดูที่วัดเจาเจินหลายครั้งก็ไม่เห็นนาง นางอาจตายไปแล้วจริง ๆ ก็ได้"
"แต่หากท่านพ่อส่งคนของทางการไปตามหานางเล่าเจ้าคะ"
"น่าเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งโฉ่งฉ่างได้หรือไม่ ต่อให้นางตายหรืออยู่ นางก็ไม่มีทางเป็นคู่หมายของท่านกั๋วกงไปได้หรอก"
สองแม่ลูกสกุลเมิ่งนั่งสนทนาอยู่ภายในห้องส่วนตัวของเมิ่งลี่น่า ขณะที่ใต้เท้าเมิ่งหรือเมิ่งเว่ย ยังเดินวนไปเวียนมาเพราะเป็นห่วงบุตรสาวคนรองที่โถงรับแขก เมิ่งเหยียนซินเป็นบุตรีที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจ ยามนี้นางหายตัวไปครบห้าวันแล้ว ส่งคนไปตามหาที่วัดเจาเจินหลายครั้งก็ไม่เจอ ดูเหมือนเขาอาจต้องบากหน้าไปพึ่งใบบุญของหลิวกั๋วกง หรือ หลิวซือเหว่ยว่าที่ลูกเขยของตนเสียแล้ว
รุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้งสกุลเมิ่งก็ยังไม่พบตัวคุณหนูรอง รถม้าของจวนสกุลเมิ่งมาจอดที่หน้าจวนกั๋วกง ชายวัยกลางคนดูภูมิฐานเร่งร้อนลงจากบันไดคับแคบ
"ท่านกั๋วกง"
บุรุษร่างสูงใบหน้าวสันต์ ทว่าแววตากลับดุดันประหนึ่งพญามัจจุราช เหลือบมองผู้มาเยือนด้วยท่าทีเย็นชา แม้เขาอายุน้อยกว่าเมิ่งเว่ยหลายสิบปี กระนั้นท่าทีหยิ่งยโสกลับไม่ย่อหย่อนหรือคิดเคารพอีกฝ่ายเลยสักเสี้ยว หากไม่เพราะยามนั้นบิดาของเขารับปากเรื่องหมั้นหมายตั้งแต่ตนยังไม่ประสา มีหรือกั๋วกงหนุ่มจะยอมเกี่ยวดองกับตระกูลมักมาก หนำซ้ำไม่เพียงสัญญากันปากเปล่า ฮ่องเต้กลับเห็นดีเห็นงามกระทั่งมอบสมรสพระราชทานให้อีกด้วย หลิวซือเหว่ยจงใจยืดเวลาการตบแต่งเพราะอ้างงานอันล้นมือ จึงยังสามารถเลี่ยงการแต่งงานมาได้จวบจนบัดนี้
พวกสกุลเมิ่งมักใหญ่ใฝ่สูง ทำนาบนหลังคน
"ใต้เท้าเมิ่ง ท่านไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง" กั๋วกงหนุ่มผายมือให้กับว่าที่พ่อตาที่ไม่คิดอยากนับญาติ
ดูจากสีหน้าของเมิ่งเว่ย เสนาบดีกรมการคลังผู้นี้คงมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย
"...ท่านกั๋วกง คือว่า..."
เมิ่งเว่ยเริ่มลังเลเมื่อเห็นแววตาดุดันของบุรุษฝั่งตรงข้าม
มือหยาบระคายซึ่งสวมแหวนปันจื่อไว้บริเวณนิ้วโป้งขวาลูบไล้แผ่วเบา จากนั้นก็ผันมายกถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นแช่มช้าพลางเป่าลมร้อนลงไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง
"ใต้เท้าเมิ่ง ท่านลังเลเรื่องใดงั้นหรือ มาถึงจวนของข้า คงมีเรื่องทุกข์ร้อนกระมัง"
"ซินเอ๋อร์...เอ่อ...ลูกสาวคนรองของข้าหายตัวออกจากจวนหลายวันแล้ว ข้าพยายามตามหานางทั่วสารทิศ แทบพลิกแผ่นดินหาก็ยังไม่พบ"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "แล้วอย่างไร บุตรสาวคนเดียวท่านก็ดูแลไม่ได้งั้นหรือ"
ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้ม เขาทราบดีว่าเมิ่งเว่ยเป็นพวกมากภรรยาหลายบุตร แม้หลิวซือเหว่ยนั้นเป็นบุรุษเช่นกัน แต่เขาเองไม่นิยมมักมากหลายใจ ดูเอาจากความริษยาของแต่ละเรือนชวนปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง พวกสตรีร้อยเล่ห์พันเสน่ห์ หากบุรุษตกหลุมพรางงมงายต่อมารยาก็มีแต่สร้างความวิบัติไม่เป็นสุข
หลิวซือเหว่ยจึงตั้งปณิธานอันแรงกล้า จะหาทางถอนหมั้นกับคุณหนูใหญ่สกุลเมิ่ง และจะแต่งงานกับสตรีที่ตนรักด้วยใจจริงเท่านั้น คนที่เขาชมชอบเป็นใครไปมิได้ นางคือคุณหนูสกุลลี่ ลี่หลิน นางเอกนิยายของเรื่อง ทว่านางกลับไม่เคยปันใจให้หลิวซือเหว่ยแม้แต่น้อย เพราะลี่หลินนั้นปักใจรักใคร่กับองค์ชายสี่เพียงผู้เดียว ส่วนหลิวซือเหว่ยก็เปรียบดั่งสหายรู้ใจคนหนึ่งของนางเท่านั้น
เมิ่งเว่ยปาดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นกลางหน้าผาก "ท่านกั๋วกง ข้าทราบว่าท่านมีสายอยู่ทั่วมุมของแคว้นตงหยาง ไม่ทราบว่าท่านพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ หากหานางพบท่านประสงค์สิ่งใดข้าล้วนยินยอมทั้งสิ้น"
"งั้นหรือ"
"ขอรับ"
"หากข้าช่วยท่านตามหาลูกสาวคนรอง เช่นนั้นท่านจะช่วยเขียนหนังสือถอนหมั้นให้ข้าได้หรือไม่"
เมิ่งเว่ยลังเล ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์กำลังบีบบังคับหัวอกคนเป็นพ่อเช่นเขา
หลิวซือเหว่ยพิจารณาท่าทีของเขา นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยสำทับอีกหน "ข้าให้เกียรติสกุลของท่านเป็นฝ่ายถอนหมั้น เพราะว่าเป็นสตรี หากให้ข้าเป็นฝ่ายถอนหมั้นเอง ท่านคิดว่าลูกสาวของท่านจะเป็นเช่นไร"
เพราะหลิวซือเหว่ยทราบดีว่าเขาไม่อาจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปถอนหมั้นซ้ำยังต้องร้องขอต่อพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรงได้ อีกอย่างเขาเป็นบุรุษต่อให้ไม่ชมชอบสตรีเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเสื่อมเสียมากนัก ดูไปก็คล้ายคนมีมโนธรรม ทว่าแท้จริงที่เขาทำกลับเพียงเพื่อผลประโยชน์ต่อหัวใจของตน รวมถึงเขาก็ไม่อยากสูญเสียภาพลักษณ์ในสายตาของคุณหนูลี่หลินด้วย หากนางทราบว่าหลิวซือเหว่ยทำเช่นนี้เป็นเพราะนาง คุณหนูลี่ผู้จิตใจงามดั่งดอกบัวขาวก็คงจะรู้สึกผิดทั้งที่ตนไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเรื่อง
เมิ่งเว่ยกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ดูเหมือนเรื่องถอนหมั้นออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับหลิวซือเหว่ยมาก แต่หลิวซือเหว่ยเองก็คงไม่อยากให้ตนต้องลำบากหาข้อแก้ตัวกับฮ่องเต้ ผลประโยชน์ในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย
"ได้ขอรับ ไว้ข้าจะคิดหาวิธีทูลฝ่าบาท"
หลิวซือเหว่ยจุดยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ แค่ตามหาหญิงสาวเสียสติที่หนีออกจากจวนจะยากอะไร ทว่าเรื่องการถอนหมั้นย่อมยุ่งยากยิ่งกว่ายกภูผาถมทะเล "ดี เอาตามนี้ เช่นนั้นท่านก็กลับไปรอฟังข่าวดีที่จวนสกุลเมิ่งเถิด"
วันเวลาผันผ่านมาเกือบสัปดาห์ ใต้เท้าเมิ่งและหลิวซือเหว่ยก็ยังไม่พบตัวคุณหนูรอง กระทั่งหลิวซือเหว่ยเกิดแคลงใจว่าภาพเสมือนใบนี้ใช่นางจริงหรือไม่ ไยให้ลูกน้องเที่ยวเสาะหาสอบถามจนทั่วแคว้นก็ยังไม่พบ นางคงมิได้กลายเป็นปุ๋ยอยู่กับรากต้นไม้เข้าแล้วกระมังเพราะเขารับปากใต้เท้าเมิ่งเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะช่วยตามหาคุณหนูรองเมิ่งให้พบ แต่ก็ไร้ร่องรอยหญิงเสียสติที่ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่เกิดผลดีแน่แท้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวเขาก็ไร้สามารถจนหาไม่พบเชียวหรือ"นายท่าน ที่วัดเจาเจินไม่พบตัวคุณหนูรองเลยขอรับ"คิ้วเข้มขมวดแน่นแทบเกิดเป็นปม คนทั้งคนจะหายไปเช่นนี้ได้อย่างไร"เจ้าแน่ใจหรือ ยามปกติคุณหนูรองเมิ่งมักไปหาแม่ชีนางหนึ่งไม่ใช่หรือไร ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วหรือไม่""จริง ๆ ก็มีสตรีอีกนางมาอาศัยอยู่ด้วยขอรับ เพียงแต่นางมิใช่หญิงเสียสติ อีกอย่างหน้าตาของนางไม่คล้ายภาพที่เราได้มาเลย"หลิวซือเหว่ยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะพลางขบคิด นัยน์ตาคมกริบกวาดมองภาพวาดเบื้องหน้า ยามปกติเขาก็มิได้สุงสิงกับคุณหนูรองเมิ่งเสียด้วย อ
"เดี๋ยว! เขาบอกว่าท่านดวงชะตาบัดซบ มันก็จะบัดซบงั้นหรือ""เฮ สาวน้อยเจ้าเป็นใครกัน ข้าเป็นหมอเทวดา ตรวจจับดวงชะตาของคนไม่เคยพลาด"เมิ่งเหยียนซินจิ๊ปาก จากนั้นยกมือขึ้นกอดอก "ก็เขา!" นิ้วเรียวชี้ไปยังชายที่ยืนมึนงงอยู่ภายในวงล้อม ทุกคนต่างเหลือบมองตามปลายนิ้วของเมิ่งเหยียนซิน"ขะ...ข้าหรือ" เขาหรี่นัยน์ตามองก็จำได้ว่าเมิ่งเหยียนซินคือหญิงสาวที่ตนเพิ่งชนเข้าโครมใหญ่เมื่อครู่เมิ่งเหยียนซินพยักหน้าเป็นคำตอบ นับว่าชายคนนี้โชคดียิ่งนักที่เผลอกระทบไหล่ของนางเข้า เมิ่งเหยียนซินจึงบังเอิญมองเห็นว่ากาลข้างหน้าในอีกไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นกำลังจะเกิดสิ่งใดเกรงว่านักต้มตุ๋นคนนั้นคงแอบสอดแนมกิจการของเขามาก่อน แต่วันนี้ชายคนดังกล่าวกำลังดวงเปิดวาสนาเปิด จากที่กิจการใกล้ล้มละลายจนต้องปิดตัวก็ได้มีเศรษฐีคนหนึ่งมาเหมาข้าวสารจากร้านของเขาเพื่อไปทำโรงทานแจกจ่ายบรรดาคนไร้บ้านเพื่อทำกุศลครั้งใหญ่"อีกไม่นานลูกน้องของท่านจะมาหาท่าน""แม่หนูเจ้าหมายความว่าอย่างไร""ท่านรอดูก็แล้วกัน""เหลวไหล!" ชายนักต้มตุ๋นโพล่งขึ้น"เจ้าน
และแล้วเมิ่งเหยียนซินก็กลับกลายเป็นว่ามีระบบช่วยนำทางราวกับติดจีพีเอส ไม่รู้นับเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ที่ยามนี้เมิ่งเหยียนซินดันต้องมาทำภารกิจหนีตายให้กับคุณหนูรองเมิ่งเหยียนซิน แต่โลกใบนี้ก็เหมือนจริงเกินไปกระมังขณะที่เมิ่งเหยียนซินเดินบ้างกระโดดบ้างก็ลัดเลาะชายป่าเข้ามาจนถึงในตลาด ระบบพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง[หากต้องการหลบหลีกการกลับสกุลเมิ่ง ต้องระวังสิบสามนาฬิกา ขอให้ท่านปลอดภัย]"สิบสามนาฬิกา หา เอ๋...ฝั่งไหนล่ะ" เมิ่งเหยียนซินเหลือบซ้ายแลขวา นางเห็นบุรุษสองสามนายกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา ก็เร่งกระเด้งกายหลบเข้าหลังกองขยะฉับพลัน"นี่ พวกเจ้า เคยเห็นคุณหนูคนนี้หรือไม่"ภาพเสมือนของเมิ่งเหยียนซินถูกกางออกเพื่อสอบถามบรรดาพ่อค้าแม่ขายบริเวณนั้น ทุกคนต่างส่ายศีรษะไม่รู้เห็น เมิ่งเหยียนซินพยายามเขม้นมองภาพ ดูแล้วหน้าตาสตรีที่เขาวาดลงไปอุบาทว์พิกล จากที่นางอาบน้ำผลัดผ้า คุณหนูรองเมิ่งก็งดงามใช้ได้ทีเดียว เหตุใดจึงใช้ภาพเช่นนั้นมาตามหาคน หาให้ตายก็คงไม่พบนี่คิดว่าเราขี้เหร่ขนาดนี้เลยหรือไง จะบ้า...
ในที่สุดเมิ่งเหยียนซินก็ทำใจยอมรับความจริง เพราะนับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น เมิ่งเหยียนซินไม่ได้หวนกลับโลกใบเดิมของตน ในเมื่อมิอาจกลับไปได้แล้ว เช่นนั้นเมิ่งเหยียนซินก็ควรได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง เพื่อวางแผนเส้นทางการใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ถึงที่นี่เป็นโลกแห่งจินตนาการของนักเขียนที่เมิ่งเหยียนซินชื่นชอบ ทว่ามันกลับเป็นนิยายที่จบไปแล้ว หนำซ้ำยังไม่มีการบอกเล่าเรื่องราวของคุณหนูรองไว้โดยละเอียด เพราะเมิ่งเหยียนซินในนิยายเป็นเพียงตัวประกอบเรียกน้ำตาที่ถูกสอดแทรกเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรสเท่านั้นเมิ่งเหยียนซินไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนักเขียนคนนี้ต้องสร้างตัวตนคุณหนูรองเมิ่งขึ้นมา ในเมื่อบทบาทของนางจะเรียกว่าตัวเอกก็ไม่ใช่หรือจะบอกว่าเป็นตัวประกอบก็ไม่เชิง มันก้ำกึ่งอย่างไรชอบกล เพราะในนิยายเมิ่งเหยียนซินปรากฏกายไม่เท่าใด นางก็ต้องตายตั้งแต่ต้นเรื่อง ทว่ายามนี้เมิ่งเหยียนซินดันโผล่เข้ามาแทนที่คุณหนูรองเมิ่งตัวจริง เรื่องเลยตาลปัตรกลับหลัง เพราะคนตายได้ฟื้นคืนชีพอย่างน่าอัศจรรย์"คุณหนูรองท่านจะออกไปข้างนอกหรือ""ใช่เจ้าค่ะ เป็นอย่างไร เครื่องแต่งกายนี่คงไม่มีใครจำข้าได้ก
ณ จวนสกุลเมิ่ง"ท่านแม่ตกลงแล้ว นังเด็กบ้ามันหายไปไหนกันแน่ หรือมันตายไปแล้วจริง ๆ เจ้าคะ""แม่เองก็ไม่รู้ ส่งคนไปดูที่วัดเจาเจินหลายครั้งก็ไม่เห็นนาง นางอาจตายไปแล้วจริง ๆ ก็ได้""แต่หากท่านพ่อส่งคนของทางการไปตามหานางเล่าเจ้าคะ""น่าเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งโฉ่งฉ่างได้หรือไม่ ต่อให้นางตายหรืออยู่ นางก็ไม่มีทางเป็นคู่หมายของท่านกั๋วกงไปได้หรอก"สองแม่ลูกสกุลเมิ่งนั่งสนทนาอยู่ภายในห้องส่วนตัวของเมิ่งลี่น่า ขณะที่ใต้เท้าเมิ่งหรือเมิ่งเว่ย ยังเดินวนไปเวียนมาเพราะเป็นห่วงบุตรสาวคนรองที่โถงรับแขก เมิ่งเหยียนซินเป็นบุตรีที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจ ยามนี้นางหายตัวไปครบห้าวันแล้ว ส่งคนไปตามหาที่วัดเจาเจินหลายครั้งก็ไม่เจอ ดูเหมือนเขาอาจต้องบากหน้าไปพึ่งใบบุญของหลิวกั๋วกง หรือ หลิวซือเหว่ยว่าที่ลูกเขยของตนเสียแล้วรุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้งสกุลเมิ่งก็ยังไม่พบตัวคุณหนูรอง รถม้าของจวนสกุลเมิ่งมาจอดที่หน้าจวนกั๋วกง ชายวัยกลางคนดูภูมิฐานเร่งร้อนลงจากบันไดคับแคบ"ท่านกั๋วกง"บุรุษร่างสูงใบหน
เมิ่งเหยียนซินถูกนำมายังหอชำระกาย เมื่อจัดการตนเองเป็นที่เรียบร้อย เมิ่งเหยียนซินจึงพยายามนั่งทบทวนว่าตนทำพลาดตรงไหนไยจึงมาโผล่ยังสถานที่ของนิยายได้กัน หนำซ้ำยังเป็นนิยายที่คนอื่นแต่ง หากจะว่าเพราะเขียนนิยายมากไปหน่อยก็ควรฝันถึงนิยายตนเองไม่ใช่หรือยังไง ยิ่งหาสาเหตุก็ยิ่งพบเพียงคำถามยุ่งเหยิงเต็มไปหมด เมิ่งเหยียนซินอับจนหนทางจะแก้ไข เช่นนั้นก็คงต้องลองนอนหลับสักตื่น บางทีตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้งอาจจะได้กลับไปยังบ้านของตนเช่นเดิม"คุณหนู ค่ำแล้ว มือเท้าของท่านเย็นนัก เกรงจะป่วยเอาได้ อาภรณ์พวกนี้ท่านก็เอาไว้ใช้เถิดเจ้าค่ะ""ขอบคุณเจ้าค่ะ" เมิ่งเหยียนซินเอื้อมมือรับเสื้อคลุมตัวหนา"เรือนรับรองที่นี่คับแคบไปบ้าง ท่านคงนอนได้กระมัง""ได้เจ้าค่ะ ไม่มีปัญหา" เมิ่งเหยียนซินฉีกยิ้มกว้าง เมื่อมองผ่านลาดไหล่บางออกไปก็เห็นใบหน้าอันบวมเป่งพร้อมมุมปากที่เกิดรอยเขียวช้ำจนดูไม่ออกว่านี่คนหรือตัวประหลาดใดก็ต้องนิ่วหน้าซี๊ดปากขึ้นดูไม่ได้เอาเสียเลย สองแม่ลูกนั่นจะรังแกยัยคุณหนูรองมากเกินไปแล้ว เอาวะ ไม่ได้เข้ามาเป็นนางเอกก็ไม่เป็นไร อยากเล่นสนุกอยู่พอดี คุณหนูรองเมิ่ง ไว้ข้าจะจัดการสองแม่ลูกมหาภัยให้เ