บทที่ 107
เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า
ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน
ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
“ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา
หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ
ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่ซินฟางก็ผุดไอเดียการตกแต่งหน้าร้านเครื่องประดับ รวมถึงเรื่องที่ว่าจะเลือกใครมาเป็นพนักงานขายดี
พนักงานขายเครื่องประดับต้องหูตาว่องไว พูดจาฉะฉาน มีไหวพริบรับมือกับผู้ซื้อได้เก่ง และต้องป้องกันตัวเองได้ด้วย
อยู่ดีๆ หญิงสาวก็เงียบไป กงเยียนซูจึงลองเรียกนาง
“ซินฟาง?”
ลู่ซินฟางสะดุ้งเบาๆ ตอบรับอย่างฉับไหว
“อ๊ะ…เจ้าคะ”
“เห็นเจ้าเหม่อลอย มีเรื่องอะไรรบกวนใจเจ้าหรือ”
ได้ยินคำถามของกงเยียนซู หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนหมกมุ่นเรื่องขยายกิจการใหม่มากเกินไป
ลู่ซินฟางยิ้มแห้งๆ พลางมองกงเยียนซูอย่างลังเล
“คือว่า…”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองหญิงสาวด้วยความสงสัย
ลู่ซินฟางเม้มปากเงียบ แต่หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน นางก็เอ่ยถามกงเยียนซูว่า “ข้ากำลังวางแผนขยายร้านที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะเปิดร้านซินหลินที่เมืองหลวงหรือ” กงเยียนซูถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
หญิงสาวสั่นศีรษะเบาๆ พลางอธิบาย “ไม่ใช่ร้านซินหลินที่ขายสินค้าจิปาถะหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นร้านขายเครื่องประดับ พอดีข้าได้สินค้าใหม่จากพ่อค้าเร่แบบบังเอิญ ทดลองผลิตสินค้ามาได้สักพักแล้ว และสินค้าตัวนี้ต้องเปิดตลาดในเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ คงเป็นสินค้าราคาสูงใช่หรือไม่?”
“เจ้าคะ”
กงเยียนซูยกมือขึ้นจับคาง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววครุ่นคิดและเคร่งขรึม
พอเห็นแบบนี้ ลู่ซินฟางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “คนอย่างข้า เปิดร้านที่เมืองหลวงทำเกินตัวไปหรือเปล่าเจ้าคะ”
กงเยียนซูรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่ใช่”
“แต่สีหน้าท่านดูกังวล?”
“นั่นเพราะข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก!” ชายหนุ่มโพล่งอย่างที่ใจคิด
“เอ๊ะ!?”
“ข้าได้ยินจากหลางไป๋มาน่ะ เจ้ามักจะทุ่มเทให้กับงานมากเกินไปจนลืมดูแลตัวเอง เลยอดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้”
พูดจบ ชายหนุ่มเกาแก้มอย่างขวยเขิน
“เรื่องนี้เองหรอกหรือ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มตอนเอ่ยคำว่า เป็นห่วง นุ่มนวลจนทำให้นางใจสั่นไหว
จริงอยู่ ลู่ซินฟางคนเก่าร่างกายอ่อนแอ แค่อากาศเปลี่ยนก็ล้มป่วยแล้ว
ทว่า…นั่นคือลู่ซินฟางคนเก่า
ตั้งแต่ลู่ซินฟางเข้ามาสวมร่างนี้ ถึงจะโหมทำงานหนัก แต่ยังไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อเลยสักครั้ง
“ถ้าเป็นเรื่องโหมงานหนัก ข้าสัญญากับทุกคนไว้แล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ท่านวางใจได้”
ชายหนุ่มยิ้มโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี หากรู้ว่าเจ้าหักโหมงานหนัก ข้าก็จะบังคับให้เจ้าพักทันที”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”
“พูดถึงเรื่องขยายสาขาที่เมืองหลวง ข้าสามารถช่วยเจ้าหาทำเลเปิดร้าน และแนะนำการยื่นเอกสารเปิดร้านกับกรมคลังได้”
“แบบนั้นช่วยได้มากทีเดียว ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“กลับกันเลยต่างหาก ข้าเป็นฝ่ายดีใจเสียอีกที่เจ้าหันมาพึ่งพาข้า” กงเยียนซูพูดพร้อมมองนางด้วยแววตารักใคร่
หญิงสาวหลุบตามองพื้นอย่างเขินอาย
กงเยียนซูมองแก้มที่แดงระเรื่อของหญิงสาว สักครู่หนึ่ง เขาก็กระแอมแล้วกล่าวตัดบท “เอาเป็นว่า ข้าจะให้โม่หยวน…ญาติของข้าที่คอยดูแลกิจการที่เมืองหลวงน่ะ เขาชื่อกงโม่หยวน เป็นคนไว้ใจได้ และยังมีประสบการณ์ทำการค้ามาหลายปี ข้าจะให้เขาเลือกทำเลไว้หลายๆ ที่ หากเจ้าสะดวก ค่อยๆ เลือกดูก็ได้”
“ขอบคุณท่านมาก”
นอกจากนี้ กงเยียนซูยังถามกำหนดวันเปิดร้านค้า
ลู่ซินฟางไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น จึงตอบกลับว่า อาจเป็นต้นฤดูหนาวหรือปีหน้า อย่างไรก็ดี นางอยากหาทำเลเปิดร้านล่วงหน้าไว้ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
เมื่อฟังจบ ชายหนุ่มก็ครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“เช่นนั้นก็พอดีเลย หลังงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ตรวจงานสาขาทางนั้น เจ้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับข้าหรือไม่”
แม้กงเยียนซูจะชวนโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ลู่ซินฟางกลับรู้สึกเขิน
การเดินทางร่วมกับกงเยียนซูแม้จะมีผู้ติดตามไปด้วยหลายคน แต่ระหว่างเดินทางร่วมกัน ย่อมมีโอกาสใกล้ชิดกันหลายต่อหลายครั้ง
ทันใดนั้น กงเยียนซูทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ เขารีบอธิบายเพิ่มว่า “ที่ชวนเจ้าเดินทางด้วยกัน ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรอกนะ ไม่สิจริงๆ ก็คิดอยู่ว่าการเดินทางร่วมกันครั้งนี้ ข้าอาจสร้างความประทับใจให้เจ้าได้บ้าง แต่เหนืออื่นใด หากเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยกัน ทางข้าก็จะอำนวยความสะดวกให้เจ้าได้หลายอย่าง”
หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางร้อนรนของชายหนุ่ม ก่อนจะตอบกลับว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องรบกวนท่านด้วย”
นี่เป็นการเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งแรกของลู่ซินฟาง พึ่งพาคนมีเส้นสายย่อมดีกว่า
“วันออกเดินทาง ข้าจะให้คนมาบอกเจ้าล่วงหน้า”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว กงเยียนซูก็เลือกใบชาต่อ แม้จะมีท่าทีประดักประเดิดก็ตาม
ด้านโจวหวังเยว่ยังคงหอบหิ้วของเต็มไม้เต็มมือออกจากร้านอย่างตื่นเต้นเหมือนทุกที
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ