บทที่ 20
ย้ายเข้าบ้านใหม่
พอจัดการธุระในต่างมิติเสร็จสิ้นแล้ว ลู่ซินฟางกับลูกๆ ช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่
เครื่องเรือนชุดใหม่นำมาส่งเรียบร้อย เหลือก็แค่ทำความสะอาดเท่านั้น
มากกว่าหนีตัวน่ารำคาญอย่างเจียงลิ่ว ยังเป็นการสะดวกต่อการตรวจความเรียบร้อยระหว่างที่จ้างคนงานมาตกแต่งหน้าร้านด้วย
ระหว่างพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เป่าเอ๋อร์ตัวน้อยวิ่งวุ่นเข้าๆ ออกๆ บ้านอยู่หลายรอบ
“เป่าเอ๋อร์ ทำไมวิ่งไปวิ่งมาอย่างนั้นละลูก” ลู่ซินฟางถามเพราะเริ่มจะเวียนหัวแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าจะพาเจ้าผักกาดน้อยหรือเจ้าขาวไปก่อน”
“หือ?”
ลู่ซินฟางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เจ้าผักกาดน้อยกับเจ้าขาวเหรอ คืออะไรกันล่ะนั่น?
เฉิงเอ๋อร์เห็นท่านแม่ทำสีหน้างุนงงจึงส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเป่าเอ๋อร์ แล้วหันมาบอกท่านแม่ “เป่าเอ๋อร์แอบเอาเมล็ดที่ท่านแม่ซื้อไว้มาปลูกใส่กะลาที่หลังบ้าน ข้าเตือนแล้ว แต่นางก็ไม่ฟัง...เจ้าผักกาดน้อยคือผักกาด ส่วนเจ้าขาวก็หัวไชเท้า”
“อย่างนี้นี่เอง” ลู่ซินฟางลูบผมดำนุ่มของเฉิงเอ๋อร์ “ถ้าน้องชอบปลูกผักก็ปล่อยให้ทำเถอะ แต่ถ้าทำเรื่องอันตรายขึ้นมาก็ต้องรีบห้ามหรือมาแม่ทันที เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว ท่านแม่”
“ท่านแม่ นี่คือเจ้าผักกาดน้อยกับเจ้าขาว”
สักพักให้หลัง เป่าเอ๋อร์ก็ถือกะลามะพร้าวที่คาดว่าน่าจะขอมาจากชิงเหลียนเพื่อปลูกผักเข้ามาในบ้าน
แม้จะบอกว่าเพิ่งปลูก แต่ต้นอ่อนของผักกาดขาวกับหัวไชเท้ากลับมียอดอวบสวย ลำต้นแข็งแรงเหมือนปลูกมาแล้ว 1 เดือน
เอ๋...
ลู่ซินฟางกะพริบตาปริบขณะมองต้นกล้าในกะลามะพร้าว ถ้าเด็กคนนี้ลงมือปลูกเอง ถือมีพรสวรรค์ไม่น้อยเลย!
“เป่าเอ๋อร์ มาหาแม่หน่อย”
เป่าเอ๋อร์เห็นท่านแม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจ้าตัวน้อยก้มหน้าด้วยกลัวว่าจะถูกท่านแม่ดุเอา
ลู่ซินฟางพอจะอ่านท่าทีของเจ้าตัวเล็กได้ นางจึงเปลี่ยนมายิ้มน้อยๆ
“เป่าเอ๋อร์ของแม่ แม่ไม่ได้จะดุเจ้าที่แอบเอาเมล็ดผักของแม่ไปปลูกหรอกนะ แม่แค่จะถามเจ้าว่า เจ้าชอบต้นไม้หรือ”
“ข้าชอบผักของท่านแม่” เป่าเอ๋อร์ตอบกลับด้วยแววตาสดใส
“ทำไมล่ะ”
“ผักที่ท่านแม่ปลูก หวานๆ กรอบๆ อร่อยมากเลย”
สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องกินสินะ ลู่ซินฟางคิดพลางขำขัน
“ที่แท้ เจ้าก็แค่อยากปลูกผักไว้กินเอง”
เป่าเอ๋อร์ตัวน้อยพยักหน้ารัวๆ
“รู้อะไรไหม การที่เจ้าพยายามเลี้ยงอะไรบางอย่างเพื่อกิน เจ้าห้ามห้ามตั้งชื่อให้เด็ดขาด”
เป่าเอ๋อร์เอียงศีรษะเพราะไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะท่านแม่ ข้าว่าเจ้าเด็กน้อยพวกนี้น่ารักออก”
นางยิ้มเอ็นดู
“การตั้งชื่อให้พวกมันจะทำให้เจ้าผูกพันจนไม่กล้ากิน เช่นนั้นแม่ถามหน่อย ถ้าผักพวกนี้โตพอกินได้แล้ว เจ้าจะเก็บขึ้นมากินหรือไม่”
“กิน!”
อึก...
เป็นคำตอบที่แน่วแน่และอยู่เหนือความคาดหมาย ลู่ซินฟางสะอึกอึ้งไปทันที
เอาเถอะ เด็กอย่างเป่าเอ๋อร์อาจเห็นเรื่องกินมาก่อนความผูกพันก็ได้
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ค้นพบวันนี้ ทำให้ลู่ซินฟางรู้สึกภูมิใจในตัวลูกๆ ไม่น้อย เฉิงเอ๋อร์ชอบหนังสือ เป่าเอ๋อร์ชอบปลูกผัก เด็กทั้งสองมีความชอบไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาก็รู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าชอบอะไรซึ่งหาได้ยากในเด็กวัยเท่านี้
หมายความว่า...ข้ามีลูกอัจฉริยะหรือนี่!
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนั้น ลู่ซินฟางแทบน้ำตาไหลด้วยความภูมิใจ
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเลือกไม่ถูกว่าจะพาเจ้าผักกาดน้อยหรือเจ้าขาวไปก่อนใช่หรือไม่ แล้วทำไมต้องเลือกด้วยเล่า ไม่พาไปทั้งสองเลย?”
“ท่านแม่ถือของเยอะแล้ว” เป่าเอ๋อร์ตอบ
“แค่นี้เอง แม่ถือไหว”
ในท้ายที่สุด ลู่ซินฟางตัดสินใจช่วยเป่าเอ๋อร์ถือเจ้าผักกาดน้อยกับเจ้าขาวไปปลูกที่บ้านหลังใหม่ ซ้ำยังบอกว่าจะหากระถางดีๆ มาให้ด้วย
เย่! เป่าเอ๋อร์ยิ้มแก้มบานด้วยความดีใจ
อันที่จริงแล้ว ของที่ทั้งสามคนขนเข้าบ้านใหม่แทบไม่มีเลย เนื่องจากตอนที่ลู่ซินฟางกับลูกๆ ถูกไล่ออกมาจากบ้านเหอ บ้านของอดีตสามี นางไม่มีข้าวของติดไม้ติดมือมาเลย นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เงินไม่กี่เหรียญ ดังนั้นที่ต้องขนไปด้วยจึงมีเพียงเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อ เจ้าผักกาดน้อยกับเจ้าขาว และของใช้ส่วนตัวไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ส่วนของใช้อื่นๆ อย่างพวกจานชาม ถ้วยชามและตะเกียบ รวมไปถึงหม้อไหกับข้าวของจิปาถะ ลู่ซินฟางซื้อเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
เมื่อสามแม่ลูกนั่งรถเทียมวัวเข้ามาในเมือง ก็ตรงมายังเรือนหลังใหม่ทันที
เรือนพักอยู่ข้างหลังอาคารใหญ่สองชั้นซึ่งจะทำเป็นหน้าร้านขายส่ง เรือนพักหลังนี้มีสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง และระเบียงกว้าง ข้างหลังคือสวน และพื้นที่ว่างเปล่า
พอลู่ซินฟางบอกให้เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เอาเสื้อผ้าไปเก็บในห้อง เด็กน้อยทั้งสองพากันวิ่งไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องของลู่ซินฟาง
“เตียงใหม่กว้างจังเลย!” เสียงของเฉิงเอ๋อร์ตะโกนมา
“ที่นอนก็นุ้มนุ่ม” เป่าเอ๋อร์พูดด้วยความร่าเริง
ลู่ซินฟางวางข้าวของเสร็จแล้วจึงออกไปดูลูกน้อยทั้งสอง พอเห็นพวกเขานอนกลิ้งบนเตียงกว้างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ดีจริงๆ ที่พวกเจ้าชอบ”
“ท่านแม่ ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องนอนหนาวบนเตียงแข็งๆ แล้วใช่หรือไม่” เฉิงเอ๋อร์ถามเพื่อความแน่ใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว” ลู่ซินฟางตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวล “แล้วก็...อีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะมีพี่ชายพี่สาวมาอยู่เป็นเพื่อน ตอนที่แม่ออกไปทำงานด้วยนะ”
“พี่ชาย พี่สาวหรือ?”
เด็กทั้งสองทวนคำ
ทันใดนั้น เฉิงเอ๋อร์ก็ร้องว่า ‘อี๋’ ด้วยสีหน้ารังเกียจ
“อย่าบอกว่าเป็นเจ้าคนพวกนั้น”
“เจ้าคนพวกนั้น?”
คราแรก ลู่ซินฟางงุนงง ไม่เข้าใจว่าเด็กๆ หมายถึงใคร แต่พอย้อนคิดจากความทรงจำ เฉิงเอ๋อร์คงหมายถึงลูกๆ ของอดีตน้องสะใภ้ เด็กพวกนั้นอายุมากกว่าเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ประมาณ 3-4 ปี เพราะได้ตบแต่งเข้าบ้านเหออย่างถูกต้อง แถมทางนั้นยังมีสินเดิมติดตัวมามากมาย ตรงข้ามกับลู่ซินฟางที่แทบไม่มีอะไร คนพวกนั้นจึงยืดอกชูคอใส่ลู่ซินฟางกับลูกแฝดทั้งสอง
ทั้งที่เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ เด็กพวกนั้นยังกล้าจิกหัวใช้งานอย่างกับพวกเขาเป็นทาส ทั้งยังรังแกกันทุกวัน
พอย้อนคิดถึงความทรงจำของลู่ซินฟางคนเก่า นางแอบกำหมัด อยากย้อนกลับไปสั่งสอนคนอวดดีพวกนั้นเสียจริงๆ
ลู่ซินฟางทำหน้าอี๋ไม่ต่างจากเฉิงเอ๋อร์ ก่อนจะรีบแก้ไขความเข้าใจผิด
“ผิดแล้ว ไม่ใช่คนพวกนั้น แม่หมายถึงพี่ชายพี่สาวที่จะมาช่วยงานในไร่”
ได้ยินแบบนี้ เด็กทั้งสองถอนหายใจอย่างโล่งอก
ลู่ซินฟางกอดลูกน้อยทั้งสองพลางคิดว่า ตราบใดที่แม่คนนี้ยังอยู่ ต่อจากนี้จะไม่มีใครมารังแกพวกเจ้าได้อีก!
ณ เรือนหลังใหม่ ไฟในครัวถูกจุดเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการฉลองเข้าบ้านใหม่ ลู่ซินฟางทำเกี้ยวผักกับไก่ตุ๋นกินกับลูกๆ
มิหนำซ้ำ ค่ำคืนนั้นยังนอนอุ่นสบาย เพราะเรือนไม้หลังใหม่ไม่มีรอยผุพัง หลังคาไม่รั่ว เตียงและผ้าห่มก็เป็นของใหม่ทั้งนุ่มทั้งหอม
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ