บทที่ 40
สั่งสอนฝางลี่
จากการทดลองของลู่ซินฟาง เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสัตว์จากโลกมนุษย์ก็เข้ากับโลกต่างมิติได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับลูกเจี๊ยบที่เลี้ยงในสวน ทั้งที่ซื้อมาพร้อมกัน กินอาหารจากกระสอบเหมือนกัน ลูกเจี๊ยบที่เลี้ยงในโลกต่างมิติเติบโตเร็วกว่าปกติถึง 2 เท่า
ไม่ต้องเดาเลย ทั้งหมดเป็นผลมาจากอากาศและน้ำอันเกิดจากอณูเวทของหลิน ก็เหมือนกับพืชผักในโลกต่างมิติแห่งนี้ที่เจริญเติบโตงอกงามและออกผลผลิตตลอดทั้งปี มิหนำซ้ำรสชาติยังหวานอร่อยกว่าโลกข้างนอก
“ตอนนี้พวกเรามีฟาร์มไก่แล้ว!” หลินพูดอย่างตื่นเต้น
ลู่ซินฟางยิ้มอ่อนโยน “ตอนแรกก็กังวลอยู่ ถ้าเอาสิ่งมีชีวิตเข้ามาโลกทางนี้แล้วจะเป็นอะไรไหมนะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“อือ นั่นสิน๊า”
หลินยิ้มร่าเริง เหมือนจะมีความสุขมาก ออร่าพลังเวทก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย เป็นผลจากที่ขยายฟาร์มหรือเปล่านะ ลู่ซินฟางคิด พร้อมทั้งสงสัย
“จริงสิ ข้าได้สิ่งนี้มาแล้ว”
พูดพร้อมกับใช้สองมือประคองขวดแก้วเล็กๆ แล้วยื่นให้กับลู่ซินฟาง
นางรับขวดแก้วที่มีของเหลวสีม่วงมา
ครั้งก่อนที่ขนลูกเจี๊ยบมาไว้ในโลกมิติ ลู่ซินฟางได้ขอบางอย่างกับหลิน นั่นก็คือสิ่งนี้
“ของอันตรายแบบนั้น เจ้านายจะเอาไปทำอะไรเหรอ” หลินยิ้มถามด้วยสีหน้าใสซื่อ
พอเห็นความไร้เดียงสาของภูตน้อย ลู่ซินฟางเจ็บแปลบๆ ในอก ใจหนึ่งไม่อยากโกหกหลิน อีกใจก็ไม่อยากบอกว่าจะใช้สิ่งนี้ไปทำเรื่องสกปรก
ของเหลวในขวดแก้วนี้คือพิษจากเผ่างู ไม่ใช่พิษร้ายแรงที่ทำให้ถึงตาย แต่หากนำไปทาบนอาวุธในปริมาณมากๆ มันจะกลายเป็นอาวุธร้ายแรงทันที อานุภาพของพิษทำให้เป็นอัมพาต ถ้าไม่ถอนพิษออก แผลที่เกิดจากพิษจะค่อยๆ เน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็น
ถึงลู่ซินฟางขอหลินมาแค่หนึ่งหยด ใช้ในปริมาณที่น้อยสุดๆ แต่แค่นี้ก็นับว่าอันตรายแล้ว
นางมองหลินอย่างลังเล ดวงตาของภูตน้อยเองก็เป็นประกายใสแป๋ว เป็นความอยากรู้ที่แสนบริสุทธิ์ ยิ่งเห็นก็ยิ่งปวดหัวใจ แต่การปิดบังและโกหกน่าปวดใจมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ ลู่ซินฟางจึงสารภาพด้วยสีหน้าลำบากใจ “มีบางคนที่อยากสั่งสอนน่ะ”
“สั่งสอนเหรอ?”
“เป็นคนนิสัยไม่ดี พูดจาใส่ร้ายคนอื่น และยังยุแหย่ให้คนอื่นทำเรื่องแย่ๆ แต่ตัวเองกลับลอยนวล”
“นิสัยไม่ดีเลย”
“มากไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นเกือบทำให้ข้าและทุกคนต้องเดือดร้อนกันหมด ร้ายแรงมากเลยละ เพราะอย่างนั้น ข้าถึงอยากสั่งสอนนางให้เข็ดหลาบ”
“อย่าปล่อยไว้ ต้องสั่งสอน!” หลินพูดด้วยสีหน้าขึงขัง ทั้งยังทำท่าชกอากาศ
ลู่ซินฟางเบิกตาเล็กน้อย “หลินไม่โกรธเหรอ ข้าเอาของจากโลกมิติแห่งนี้ออกไปสั่งสอนคนข้างนอกนะ”
หลินส่ายหน้า “หนึ่งหยดไม่ทำให้ตาย เจ้านายไม่ได้จะฆ่าใครใช่ไหมล่ะ ไม่ถือว่าผิดกฎ แล้วก็...คนทำผิดต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกนะ”
“อืม จริงด้วย”
พูดคุยกับหลินต่ออีกหน่อย จากนั้นลู่ซินฟางค่อยกลับออกมาจากมิติ
พอมาถึงคฤหาสน์ ลู่ซินไปหาเหนียงซิ่น บอกแผนการบางอย่าง แล้วให้ขวดเก็บพิษเผ่างูกับเหนียงซิ่นไป
เมื่อฟังแผนการจบ ริมฝีปากของเหนียงซิ่นยกยิ้ม มีความร้ายกาจแฝงอยู่ในรอยยิ้มนิดๆ
“เหนียงซิ่นจัดให้เจ้าค่ะ!”
ชาวบ้านในหมู่บ้านชนบทต่างตื่นแต่เช้ามืด ลุกขึ้นมาทำงานของตน
เช้าวันนี้อากาศสดชื่นแจ่มใส ฝางลี่หอบผ้าออกมาซักที่ลำธาร พอมาถึงก็เจอเหล่าแม่บ้านนั่งเรียงกัน 5 คน กำลังส่งเสียงเจี้ยวจ้าวสนุกสนาน ราวกับว่าพวกนางไม่ได้นัดกันมาซักผ้า แต่นัดมาพูดคุยกัน
ปกติแล้วเจียงลิ่วก็จะออกมาซักผ้าเวลานี้เหมือนกัน ทว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราว ฝางลี่กับเจียงลิ่วไม่ได้พูดคุยอีกเลย
ถึงจะน่าเสียดายที่ต้องเสียเพื่อนร่วมอุดมการณ์(นินทา) แต่ตอนนี้สาวๆ ในหมู่บ้านต่างหันมาให้ความสนใจฝางลี่มากกว่าแต่ก่อน
“อ้าว พี่ฝางลี่ วันนี้ก็มาซักผ้าหรือ”
“น้องตู้ เจ้าเพิ่งซักผ้าไปเมื่อวานไม่ใช่หรือ วันนี้ก็มาซักอีกแล้ว?”
“ก็แหม ครั้งก่อนข้ายังฟังไม่สะใจเลย วันนี้อยากมาฟังเรื่องนั้นต่อ สรุปแล้วเจียงลิ่วคนน่ารังเกียจตอนนี้เป็นอย่างไร ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่เห็นหัวนางเลย”
ตั้งแต่มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เจียงลิ่วที่ได้รับโทษโบยนอนซมเป็นไข้อยู่หลายวัน ต่อมาก็ถูกจางต้วนยื่นเรื่องขอหย่า นับจากนั้นเจียงลิ่วก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าออกมาเจอหน้าใคร ฝางลี่เคยทำทีไปเยี่ยมด้วยความหวังดี แต่ถูกเจียงลิ่วไล่ตะเพิดกลับมา จากเพื่อนซี้ก็กลายเป็นบาดหมางกันไปเลย
ฝางลี่ทำเสียง ฮึ เหมือนเจ็บใจก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “แผลถูกโบ้ยดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ใจชอกช้ำเพราะถูกจางต้วนทิ้ง ชาตินี้คงรักษาไม่หาย”
พอฝางลี่พูดเช่นนั้น สาวๆ ที่มารอฟังเรื่องสนุกต่างก็หัวเราะร่วน
“จางต้วนโชคดีแล้วที่หย่ากับนางได้ ผู้หญิงอย่างเจียงลิ่วน่ะ ชอบกดขี่สามี”
“พวกเจ้าคิดว่าข้าควรไปรักษาใจให้จางต้วนหรือไม่”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับจางต้วนด้วย อีกอย่าง ถ้าเจ้าคิดจะจับจางต้วน ยังต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงถึงสองเชียวนะ”
“ข้าลืมไป”
เห็นแบบนั้น จางต้วนก็ไม่ใช่ผู้ชายมักมาย ทั้งยังรับเลี้ยงลูกทั้งสองด้วยตัวเอง ฝางลี่พูดเช่นนั้นก็เพื่อเตือนสติคนที่คิดจะจับจางต้วน
“นี่ พูดแล้วก็เหมือนไม่จบ นางเจียงลิ่วดูถูกลู่ซินฟางไว้เยอะ เป็นไงล่ะ คราวนี้เข้าตัวเสียเอง ช่างตลกยิ่งนัก ฮะๆๆ”
“นั่นสิ เข้าตัวเองทั้งนั้น”
พวกนางพูดไปก็ขบขันกันยกใหญ่
นี่คือธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์ เห็นคนอื่นได้ดีก็อิจฉา พอตกต่ำก็สมน้ำหน้า ปากบอกสนิท แต่ใจกลับเป็นอื่น โลกนี้ช่างหาความจริงใจได้ยากแท้
หึ่ง…
ในขณะที่สาวๆ นินทาเจียงลิ่วอย่างสนุกปาก เวลานั้น ผึ้งน้อยตัวหนึ่งบินออกมาจากพุ่มไม้แถวลำธาร วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ฝางลี่มาสักพักแล้ว เนื่องจากพวกนางคุยกันเสียงดัง ทั้งยังหัวเราะคิกคักและกรี้ดกร้าดจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ แต่พอพวกนางก้มหน้าซักผ้ากันต่อ ฝางลี่ถึงได้รู้ว่ามีผึ้งบินรอบใบหน้าของตน
ฝางลี่โบกมือไล่ผึ้งตัวนั้น
“น่ารำคาญจริง ชิ่วๆ”
“แถวนี้ไม่น่าจะมีรังผึ้งนี่น่า”
“คงเป็นผึ้งหลงฝูงกระมัง”
หึ่ง…หึ่ง…
“แล้วทำไมถึงต้องมาตอมข้าเนี่ย” ฝางลี่โวยวายพลางสะบัดมือไล่ผึ้งตัวนั้นเป็นพัลวัน ไม่เพียงมันจะไม่ไป กลับบินโฉบไปโฉบมาด้วยความเร็วผิดปกติ “ไม่ไหวแล้ว รำคา...โอ๊ย!!”
ก่อนจะพูดจบประโยคดี ปากของฝางลี่ถูกผึ้งน้อยต่อยเข้าเต็มรัก
ฝางลี่รีบยกมือขึ้นกุมปาก
เหล่าสาวๆ รีบวางผ้าลงตะกร้า ลุกขึ้นมาดูปากของฝางลี่
“โห ผึ้งนั่นต่อยโดนปากพี่ฝางลี่เต็มๆ เลย” หญิงสาวคนหนึ่งบอก
“เดี๋ยวข้าจะช่วยเอาเหล็กในออกให้” อีกคนอาสาช่วย จากนั้นใช้เล็บค่อยๆ ขูดตรงตำแหน่งที่ถูกต่อย ก่อนจะจิกเอาเหล็กในออก
“โอ๊ย เบาๆ มือหน่อยสิ”
“ผึ้งต่อยก็เจ็บแบบนี้แหละ”
“เอ้า เอายาทาแก้พกช้ำไปทาไว้ก่อน พอดีเจ้าหนูบ้านข้าซุกซนมาก มักจะวิ่งหกล้มเป็นประจำ” แม่บ้านอีกคนควักกระปุกยาทาออกมาจากอกเสื้อ
พวกนางช่วยกันทายาให้ฝางลี่ ทั้งปลอบใจ
“น่าจะบวมแค่วันสองวัน เดี๋ยวก็หายแล้ว”
“ไม่เจ็บนะพี่ฝางลี่”
ถึงปากพวกนางจะบอกว่าเป็นห่วง หากในใจกลับเยาะเย้ยสมน้ำหน้า
…แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างเจียงลิ่วยังเอามาขายได้ สมควรโดนแล้ว!
วันต่อมา…
ฝางลี่ตกใจหนักเมื่อตื่นขึ้นแล้วพบว่าปากชาขยับไม่ได้ ไม่ใช่แค่บวมเจ๋อและเจ็บระบมทั่วทั้งปาก ยังเหมือนกับเป็นอัมพาตไปแล้ว!
ถึงจะบอกว่าเป็นอาการปกติหลังถูกผึ้งต่อย แต่ตรงแผลที่ถูกเหล็กในฝังถึงได้มีแผลพุพองสีคล้ำ มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นอีกด้วย
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้
ฝางลี่ส่องกระจกพลางส่ายหน้าด้วยความพรั่นพรึง
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นผึ้งมิ้มตัวเล็ก พิษของมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดทำให้เกิดแผลพุพองหลังจากถูกต่อย อีกอย่าง นางไม่เคยแพ้พิษผึ้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นเช่นนี้
ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว!!
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ