บทที่ 60
ความรู้สึกของกงเยียนซู (ครึ่งแรก)
“เจ้าแซ่หลางนี่เอง”
จิ่นเซี่ยกล่าวสรุป
“น่าจะใช่”
คำตอบของชุนที่เหมือนแค่เอ่อออตาม ชวนให้คนฟังงุนงงยิ่งนัก แต่จิ่นเซี่ยคุยกับนางมาหลายครั้ง เลยรู้ว่านางเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อาจจะพูดจาแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรในก่อไผ่
พอพูดถึงนายหญิง สีหน้าของชุนก็ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี
“ถึงจะไม่ใช่เนื้อ แต่ก็ขอบใจเจ้ามาก จิ่นเซี่ย” ชุนพูดพร้อมเหน็บดาบสั้นบนเอวเลียนแบบท่าทางจอมยุทธ์ของจิ่นเซี่ย
จิ่นเซี่ยใจเต้นตึกตักกับรอยยิ้มสดใสของหญิงสาว
ก็ไม่รู้หรอกว่า ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางราวกับเป็นของหนักที่พุ่งเข้ามากระแทกอกของเขาอย่างเต็มแรง
ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลดมือลง เขาก็พูดกับนางว่า “ถ้าเจ้าชอบเนื้อ วันหลังก็มาที่โรงเตี๊ยมแซ่กงสิ ข้าจะเลี้ยงเนื้อเจ้าเอง เนื้อของที่นั่นล้วนเป็นของชั้นเลิศ ซ้ำยังนำเข้าสดๆ ทุกวัน”
“จริงหรือ” ดวงตาของชุนเป็นประกาย ปิดบังความตื่นเต้นไม่มิด มิหนำซ้ำ นางยังเลียริมฝีปากทำท่าน้ำลายสอ
จิ่นเซี่ยยิ้มจางๆ ก่อนใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะขยับขึ้นลง “ข้าไม่เคยโกหก”
“เช่นนั้นก็ได้! ข้าอยากรู้พอดี ว่าอาหารที่โรงเตี๊ยมของเจ้านายเจ้าจะอร่อยสู้อาหารฝีมือของนายหญิงข้าได้หรือไม่”
“นายหญิงของเจ้าทำอาหารเองหรือ” ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้ว” ชุนตอบอย่างภูมิใจ “นายหญิงทำอาหารให้กับทุกคน นายหญิงของข้าชอบทำอาหารน่ะ บางครั้งข้าเองยังไปเป็นลูกมือให้กับนายหญิงเลยด้วย”
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
“อื้อ…” หมาป่าสาวพยักหน้าแรง “หลางไป๋ทำอาหารเป็นเพราะนายหญิงเป็นคนสอน นายหญิงน่ะใจดีกับพวกเรามาก สอนพวกเราหลายอย่างเชียวละ ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูก เก็บเกี่ยว สอนอ่านหนังสือ นับตัวเลข แล้วก็…”
ท้ายที่สุด ชุนก็ร่ายยาว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของลู่ซินฟางทั้งหมด
ตอนแรกชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ บนมุมปากขณะฟังนางพูด แต่ยิ่งชุนสาธยาย รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ่นเซี่ยก็ค่อยๆ จางหายไปทีละนิด
…ทำไมมีแต่เรื่องของนายหญิงลู่ซินฟาง?
เขาไม่ได้มาหานางเพราะอยากรู้เรื่องพวกนี้สักหน่อย
ทว่า
แม้คิดเช่นนั้น หากพอเห็นสีหน้าของชุนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชายหนุ่มกลับไม่กล้าขัดจังหวะ
จิ่นเซี่ยอดทนฟังชุนชื่นชมลู่ซินฟางด้วยความรู้สึกของคนที่พ่ายแพ้อยู่นานสองนาน แต่นางก็ยังไม่หยุดพูด
เฮ้อ
ชายหนุ่มถอนหายใจ
“ข้าเอาชนะนายหญิงของเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ” จิ่นเซี่ยหลุดปากโพลงออกมา
ชุนปิดปากลงฉับเหมือนมีใครมาปิดสวิตซ์
ดวงตาเรียวรีอันมีเสน่ห์ของชุนกะพริบถี่ สักครู่ นางเอ่ยถามชายหนุ่มว่า “เจ้าแข่งขันอะไรกับนายหญิงของข้าหรือ” พอพูดจบ ชุนยังเตือนจิ่นเซี่ยด้วยความหวังดี “บอกไว้ก่อนเลยนะ เจ้าไม่มีทางชนะนายหญิงของข้าได้หรอก เพราะนางเป็นคนรอบรู้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จิ่นเซี่ยยอมรับความจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
แม้ไม่ได้อยากสืบค้นเรื่องส่วนตัวของนายหญิงลู่ซินฟาง แต่ก็รู้ว่าทุกคนในร้านแห่งนี้ต่างเคารพเลื่อมใสผู้หญิงคนนั้น
เจ้านายของเขาก็เหมือนกัน พักหลังนี้แทบจะหายใจเข้าออกเป็นลู่ซินฟางอยู่แล้ว!
ย้อนกลับมาทางด้านของกงเยียนซู
หากพูดถึงความรู้สึกของกงเยียนซูที่มีต่อลู่ซินฟาง เรียกว่า ‘มีใจให้ แต่ยังไม่กล้าแสดงออก’
เหตุผลเพราะกงเยียนซูยังรู้สึกละอายใจ ที่เคยทดสอบลู่ซินฟางจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
แต่กระนั้น ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้ คิดเข้าหาหญิงสาวอย่างแนบเนียน
‘หลงจู๊ตู้ วันนี้ข้าจะไปรับสินค้าที่ร้านซินหลินเอง เจ้าอยู่ดูแลร้านที่นี่แหละ’
ทุกๆ 2-3 วัน โรงเตี๊ยมตระกูลกงจะส่งคนไปรับวัตถุดิบที่ร้านซินหลิน ปกติแล้ว ตู้เข่อจะทำหน้าที่นั้น
ครั้งนี้นายท่านเอ่ยว่าจะไปรับวัตถุดิบด้วยตัวเอง หลงจู๊ตู้พลันใจหายวาบ
อันที่จริง เจ้าของร้านเข้าไปรับวัตถุดิบด้วยตัวเองใช่จะเป็นเรื่องไม่ดี แต่เพิ่งเกิดคดีความของเจียวลิ่ว ขืนนายท่านโผล่หน้าไปให้ลู่ซินฟางเห็นตอนนี้ เกรงว่าจะสร้างความขุ่นเคืองทางสายตาให้นางเปล่าๆ
แต่ต่อให้ตู้เข่อคิดแบบนี้ กลับไม่กล้าเตือนนายท่านตรงๆ เขาจึงส่งสายตามองจิ่นเซี่ย ผู้ติดตามคนสนิทของนายท่านเพื่อขอความเห็น
คำตอบของจิ่นเซี่ยคือส่ายหน้า
หลงจู๊ตู้ถอนหายใจอย่างยากลำบาก สมองเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า ‘นายท่าน ให้ข้าไปรับสินค้าที่ร้านซินหลินเองดีกว่าขอรับ หากนายท่านไปด้วยตัวเองจะดูเหมือนจงใจเกินไป’
พูดจบ ตู้เข่อหลับตาปี๋ ความรู้สึกยามนี้เหมือนยืนอยู่บนขอบหน้าผา ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยกลัวว่านายท่านจะไม่พอใจกับเตือนนั้น
ระหว่างตู้เข่อยืนนิ่ง กงเยียนซูเองก็เงียบเช่นกัน
‘ข้าคิดว่าหลงจู๊ตู้กล่าวไม่ผิด ช่วงนี้ท่านอย่าเพิ่งเข้าร้านซินหลินดีกว่าขอรับ’ จิ่นเซี่ยกล่าว
สายตาเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำของกงเยียนเลื่อนไปจับจ้องอครักษ์หนุ่ม ‘เจ้าก็คิดเช่นนั้น?’
‘ขอรับ’
กงเยียนซูเงียบไปสักพัก ท้ายที่สุดก็ยอมฟังคำเตือน
‘เอาอย่างนั้นก็ได้’
ว่าจบ ร่างสูงโปร่งของกงเยียนซูก็เปลี่ยนทิศทาง ชายหนุ่มหมุนปลายเท้า เดินไปทางหลังโรงเตี๊ยม
‘ขอบคุณท่านจิ่นเซี่ยที่ช่วยพูดแทน’ หลงจู๊ตู้พูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
‘หลงจู๊ตู้อย่าใส่ใจ ท่านออกไปรับวัตถุดิบเถอะ ชักช้าประเดี๋ยวหัวหน้าพ่อครัวจะโวยวายเอา’ จิ่นเซี่ยพูดนิ่งๆ
‘ขอรับๆ’
เดิมที จิ่นเซี่ยเข้าใจว่าหากไม่มีการติดต่อโดยตรง นายท่านผู้ยิ่งใหญ่คงหมดความสนใจในตัวลู่ซินฟางไปเอง
ทว่ายิ่งนานวัน กลับกลายเป็นว่ากงเยียนซูอาการหนักกว่าเดิม ถึงขั้นเฝ้ามองรถม้าของร้านซินหลินเวลาที่วิ่งผ่านโรงเตี๊ยมตระกูลกง
ในเวลานั้น กงโม่หยวนที่เป็นตัวแทนผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตระกูลกง สาขาเมืองหลวง ได้ส่งจดหมายมารายงาน เกี่ยวกับเค้กผิงกั่วที่เป็นสินค้าใหม่ ขายดิบขายดีจนกลายเป็นของหวานอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
ประจวบเหมาะ ใกล้ถึงเวลาที่กงเยียนซูต้องเข้าเมืองหลวงตรวจสอบบัญชีของโรงเตี๊ยมตระกูลกงทั้งสองสาขาเมืองหลวง พร้อมกับส่งภาษีให้กับกรมคลังพอดี
แม้ว่ากงเยียนซูจะอยู่ที่เมืองเล่ออันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทุกหนึ่งเดือนถึงสองเดือน เขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อทำหน้าที่ของเถ้าแก่ใหญ่
มิหนำซ้ำ ในช่วงนี้ยังถึงกำหนดที่โรงเตี๊ยมตระกูลกงต้องจ่ายเงินให้กับกรมคลัง
เพื่อได้รับชีวิตอันเป็นอิสระ ในแต่ละปี กงเยียนซูจะจ่ายภาษีให้กับกรมคลัง 2 ครั้ง
หลังจากเดินทางเข้าเมืองหลวง กงเยียนซูก็รีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จเร็วๆ ทั้งงบประมาณทั้งส่งภาษี โชคดีที่กงโม่หยวน ญาติฝ่ายมารดาช่วยตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลาอยู่เมืองหลวงนานนัก
เมื่อทำการจ่ายภาษีด้วยตั๋วเงินปึกใหญ่ วันต่อมา กงเยียนซูถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า เขาได้รับผลไม้พระราชทานมาหนึ่งตะกร้า พร้อมกับคำร้องขอจากฮ่องเต้เกี่ยวกับเสบียง
ตอนนั้น ในใจของกงเยียนซูคิดเพียงว่าจะนำผลไม้พระราชทานไปเป็นของฝากให้กับลู่ซินฟาง เรื่องเสบียงของกองทัพองค์ชายห้าก็ทำเหมือนทุกที ให้กงโม่หยวนจัดหาให้
ทว่า…
เมื่อมาถึงเมืองเล่ออัน กงเยียนซูก็ยังไม่เจอหน้าลู่ซินฟางอยู่ดี
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ