บทที่ 67
อาจารย์อิ้งเหยียนไหวพริบไม่เลว (ครึ่งหลัง)
“อ๊ะ!”
ลู่ซินฟางร้องขึ้นมา พร้อมกับทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“ข้าลืมไปว่าพวกท่านเป็นสหายกัน อาจารย์อิ้งพักที่คฤหาสน์ของสหายย่อมถูกต้องแล้ว”
“ใช่ๆ ข้าพักที่บ้านของสหายเยียนซูน่ะ” อิ้งเหยียนกล่าวพร้อมมองกงเยียนซูด้วยสายตาเหมือนรู้ทัน
จริงอยู่ ลู่ซินฟางเสนอที่พักเพราะนางไม่ได้คิดอะไร แต่กงเยียนซูนั้นคิดอีกอย่าง
อิ้งเหยียนยังหนุ่ม ไม่มีคู่หมั้น และยังไม่ได้แต่งภรรยาเข้าบ้าน อาศัยอยู่ร่วมบ้านกับลู่ซินฟางเกรงว่าจะไม่เหมาะสม
ทว่า นั่นก็แค่ข้ออ้าง เพราะแค่คิดว่าอิ้งเหยียนอยู่ร่วมบ้านเดียวกับลู่ซินฟาง กงเยียนซูก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ แล้ว
ลู่ซินฟางยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ถามอิ้งเหยียนอย่างเป็นงานเป็นการ “ในสัญญาว่าจ้าง มีข้อไหนที่อาจารย์อิ้งไม่เห็นด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ”
อิ้งเหยียนร้อง อ้อ ก่อนจะบอกว่า “ในสัญญาว่าจ้างระบุข้อตกลงชัดเจน ไม่มีตรงไหนที่สงสัย ข้าเห็นด้วย”
ลู่ซินฟางยิ้มด้วยความพึงใจ สัญญาจ้างงานนี้นางเรียบเรียงจากความรู้ตอนเป็นพนักงานบริษัทในชาติก่อน จะจ้างวานใครสักคนต้องระบุชัดเจนตั้งแต่แรก เริ่มงานแล้วจะได้ไม่เป็นปัญหาในภายหลัง
พอคุยธุระกันชัดเจนแล้ว ทั้งสี่คนก็เปลี่ยนมาสนทนาเรื่องสินค้าในร้านซินหลินกันต่อ
กงเยียนซูยังมีธุระอื่นต้องทำ ชายหนุ่มจึงขอตัวกลับโรงเตี๊ยมตระกูลกงก่อน แต่อิ้งเหยียนอยากดูสินค้าในร้านต่อ เลยไม่ได้กลับไปพร้อมกับสหาย
ระหว่างกำลังเดินดูของในร้านด้วยความสนใจ อิ้งเหยียนพยักหน้าน้อยๆ ด้วยเลื่อมใส
เถ้าแก่เนี่ยลู่คนนี้มีหัวการค้าดีเยี่ยม นอกจากตกแต่งร้านได้น่าสนใจแล้ว สินค้าในร้านล้วนเป็นของดีหายาก การจัดวางสินค้าก็โดดเด่น ทำให้น่าสนใจไม่น้อย
ตอนนั้นเอง เสียงหวานสดใสของสาวน้อยดังขึ้นข้างๆ
“นายท่านกำลังมองหาสินค้าตัวไหนอยู่เจ้าคะ ถ้าหาสินค้าไม่เจอ สามารถแจ้งทางเราได้นะเจ้าค่ะ”
“อ๋อ ข้าแค่เดินดูเรื่…”
คำพูดของอิ้งเหยียนหยุดลงทันที
สาวน้อยที่กำลังต้อนรับลูกค้าหน้าตาน่ารัก ทั้งยังบอบบางราวกับหยกที่ควรคู่กับคำว่าทะนุถนอม
“นายท่านเจ้าคะ ไม่ทราบว่าสนใจสินค้าตัวไหน ให้ข้าแนะนำท่านได้นะเจ้าคะ” สาวน้อยเอ่ยถาม
อิ้งเหยียนดึงสติกลับ แสร้งทำทีเป็นหยิบแก้วชาขึ้นมาดู
“แก้วชานี้งดงามยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ แก้วชาชุดนี้ราคา 4 ตำลึงเงิน เพราะผลิตจากวัตถุดิบชั้นดีจึงมีความทนทานกว่าแก้วทั่วไป ราคานี้ไม่นับว่าแพงเจ้าค่ะ”
เด็กสาวแนะนำสินค้าอย่างชำนาญ แต่คำพูดของนาง แทบไม่เข้าหัวอิ้งเหยียนแม้แต่คำเดียว เพราะเวลานี้ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำว่า น่ารัก…
ในขณะที่อิ้งเหยียนเหม่อลอย ลู่ซินฟางกับหลางไป๋ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงตรงชั้นสองมองลงมาพอดี
“สาวๆ ร้านของเรามีเสน่ห์ไม่เบา เจ้าว่าไหม” ลู่ซินฟางพูดด้วยรอยยิ้ม
คนแรกก็ชุน ต่อมาเป็นหู่จือเหมย ลู่ซินฟางที่เห็นพวกนางมาตั้งแต่เล็กๆ ใจหนึ่งก็ภูมิใจ อีกใจก็รู้สึกกังวล
หลางไป๋ยิ้มจางๆ พลางตอบว่า “ขอรับ” ก่อนคิดในใจว่า ไม่ใช่แค่เด็กๆ ในร้านที่มีเสน่ห์ นายหญิงเองก็มีเสน่ห์ไม่เบา หาไม่ กงเยียนซูจะแสดงสีหน้าหึงหวง ตอนที่นายหญิงชวนอาจารย์อิ้งพักที่คฤหาสน์หรือ
ถึงอย่างนั้น หลางไป๋ก็ไม่ได้พูดออกมา กลับกัน ลู่ซินฟางเอ่ยถามหมาป่าหนุ่ม
“หลางไป๋ เจ้าคิดว่าอาจารย์อิ้งคนนี้เป็นยังไง เหมาะจะมาเป็นอาจารย์ของพวกเด็กๆ หรือไม่”
“อาจารย์อิ้งคนนี้ไหวพริบไม่เลวขอรับ” หลางไป๋ตอบแบบไม่ลังเล แล้วตอนนั้นเอง หมาป่าหนุ่มก็นึกถึงท่าทีแปลกๆ ของนายหญิงขึ้นมาได้ จึงตั้งคำถามว่า “นายหญิง ตอนอาจารย์อิ้งมาถึง ท่านเห็นใครหรือขอรับ”
แวบนั้น สีหน้าของลู่ซินฟางเปลี่ยนเป็นกระด้าง สายตาขุ่นเคืองเมื่อมองออกนอกร้าน
“ผู้ชายชั่ว อดีตคนรักของร่างนี้”
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ