LOGINภายในห้องโถงกลางพระราชวังหลวง เสาแกะสลักมังกรทองยืนตระหง่านราวกับเฝ้าติดตามสายธารแห่งชะตากรรม ขุนนางน้อยใหญ่ แม่ทัพผู้ครอบครองอำนาจทั้งแผ่นดิน ต่างทยอยเข้าสู่ท้องพระโรงอย่างเงียบงัน แต่ละผู้คนล้วนแบกรับสีหน้าเคร่งเครียด บางส่วนฉายแววกระหายโอกาสอย่างเงียบงัน
บนบัลลังก์สูง จักรพรรดิหรงจวิ้นประทับอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด พระเนตรทอดมองผู้คนเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็น พระพักตร์เรียบเฉย ไร้ถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ย ทว่าทุกสายตารู้ดี... พระองค์กำลังขบคิดถึงการทรยศอันแสนสาหัส ผู้ที่ทรงเคารพดั่งครูบาอาจารย์ กลับหาญกล้าคิดลอบปลงพระชนม์
ท่ามกลางความเงียบสงัด ขุนนางชราในชุดเครื่องยศเต็มยศลุกขึ้น ประนมหัตถ์คำนับก่อนเอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาท... เวลานี้ทรราชย์เผยโฉมชัดเจนแล้ว หากยังทรงมีพระเมตตาไว้ชีวิตเขา อนาคตของราชสำนักจักต้องเต็มไปด้วยเงาแห่งความหวาดกลัว! ฟู่เหวินโหลวผู้นี้ เปรียบเสมือนสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง ได้อาหารแล้วยังหันมากัดนายของตน สมควรโดนโซ่ล่ามหรือตัดหัวให้สิ้น!”
เสียงสนับสนุนแว่วมาจากอีกฝั่ง แม่ทัพผู้คุมชายแดนทางเหนือก้าวออกมาด้วยสีหน้าแข็งกร้าว น้ำเสียงกร้าวกระด้างดั่งเหล็กกล้า
“หากคนผู้นี้ไม่ถูกประหารให้เป็นเยี่ยงอย่าง เหล่าผู้คิดกบฏทั้งหลายจักลุกฮือดั่งไฟลามทุ่ง! ขุนศึกเช่นข้า... แม้ต้องใช้คมดาบก็จะขอเป็นผู้นำความยุติธรรมคืนสู่ราชบัลลังก์ด้วยตนเอง!”
ถ้อยคำแต่ละประโยคเสียดแทงบรรยากาศของท้องพระโรงราวใบมีด ผู้คนบางส่วนพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่อีกไม่น้อยยังนั่งเงียบด้วยใจระแวงอีกเสียงหนึ่งลุกขึ้นตาม น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงพิษร้าย
“ฝ่าบาท... พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิ มิใช่เพียงบิดาของแผ่นดิน แต่คือผู้ชี้เป็นชี้ตายแก่ระเบียบราชสำนัก ความใจอ่อนในยามเช่นนี้... อาจมิใช่พระเมตตา แต่คือเชื้อเพลิงให้ไฟทรราชย์ลุกโชน!”
คำกล่าวอันเต็มไปด้วยกลอุบายหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ทุกวาจาแม้เอ่ยด้วยถ้อยแห่งความจงรักภักดี แต่กลับเจือด้วยแรงปรารถนาเร้นลับ การโค่นศัตรูทางอำนาจให้สิ้นซากด้วยพระนามของความยุติธรรมและที่บัลลังก์มังกร จักรพรรดิหนุ่มยังคงเงียบงัน พระเนตรทอประกายลึกดุจห้วงเหมันต์ สะท้อนให้เห็นชัดว่าพระองค์... มิได้หวั่นไหวเพียงเพราะเสียงโหมกระหน่ำเหล่านั้น
จิตใจมนุษย์... ก็มักเป็นเช่นนี้เสมอในยามที่บุคคลหนึ่งยังรุ่งเรืองดั่งสุริยันกลางฟ้า ย่อมมีผู้คนมากมายรายล้อม แสร้งถวายความจงรักภักดีด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อชะตาพลิกผัน ตกต่ำจนไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป มือที่เคยจับก็กลายเป็นมีด ฝ่าเท้าที่เคยคำนับก็เหยียบย่ำลงมาอย่างไร้ปรานี
ฟู่เหวินโหลว... ปราชญ์ผู้เคยเป็นดั่งเสาหลักของราชสำนัก บัดนี้กลับเหลือเพียงเงาของความรุ่งโรจน์ในอดีต ชายชราที่ผ่านโลกมานับทศวรรษ เข้าใจดีว่าตนไม่อาจหลีกหนีชะตาได้ แม้จะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจลบล้างความผิดในสายตาของผู้คน
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ดวงตาพร่ามัวด้วยความเจ็บปวด แข้งขาสั่นเทาราวต้นไผ่ต้องลมหนาว ความหวาดกลัวเกาะกินจนทั่วสรรพางค์กาย ทว่า... มิได้มีเสียงร้องขอชีวิตใดเล็ดลอดออกมาจากปากที่เคยเปล่งวาจาเฉียบขาด
เขาเงียบงัน ยืนนิ่งท่ามกลางสายตานับร้อยที่จ้องมองราวสัตว์ประหลาดที่ควรถูกกำจัด ไม่ใช่เพราะเขาไม่กลัวความตาย แต่เพราะเขารู้... ว่าสิ้นสุดแล้ว ทุกสิ่งที่เขาเคยมี ทุกอำนาจ บารมี และเกียรติภูมิ ล้วนสูญสลายไปพร้อมกับความไว้วางใจที่เขาได้หักหลัง
“ฟู่เหวินโหลว...”พระสุรเสียงของฮ่องเต้แผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น ราวกับต้องฝืนกลืนหนามเข้าไปในพระทัย“ตัวข้า... เจ็บปวดยิ่งนักที่ได้รู้ว่าเจ้าทรยศ”
พระองค์นิ่งงันไปชั่วขณะ ดั่งต้องรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเปล่งถ้อยคำต่อไป“ความเป็นศิษย์อาจารย์... ขอนับว่าจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”
สุรเสียงของหรงจวิ้นเริ่มแปรเปลี่ยน เป็นเฉียบขาดและมั่นคงดั่งราชสีห์ประกาศอาญา
“อย่างไรก็ตาม... ข้ายังเห็นแก่คุณงามความดีที่เจ้ากระทำในอดีต ข้าจะละเว้นโทษประหารชีวิตทั้งตระกูลของเจ้า ให้พวกเขาได้มีลมหายใจต่อไป” เสียงของพระองค์หยุดลงเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายที่เสมือนตอกตรึงตราบาปลงกลางดวงใจของฟู่เหวินโหลว
“แต่ตัวเจ้าจะต้องถูกโบยห้าสิบทีต่อหน้าธารกำนัล จากนั้นจะถูกล่ามโซ่ใส่กรง ขึ้นขบวนรถนักโทษแห่ประจานรอบนคร และสุดท้าย... เจ้าจะถูกนำตัวไปประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ ณ ลานพิธีแดนประหาร!”
เสียงราชโองการนั้น ดังดั่งอัสนีบาตกลางฤดูแล้ง ก้องสะท้อนทั่วห้องโถงราวสั่นสะเทือนฟ้าดิน
ฟู่เหวินโหลว ผู้เคยหยิ่งผยองไม่ก้มหัวให้ผู้ใด บัดนี้ร่างชราของเขากลับสั่นสะท้านแทบทรุด มือไม้ไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเผือดซีด ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อาจเชื่อในชะตากรรม
แม้เขาจะเตรียมใจมาแล้วว่าโทษหนักย่อมหลีกเลี่ยงมิได้ แต่เมื่อได้ยินคำพิพากษาจากปากผู้ที่ตนเคยเลี้ยงดูราวบุตร ความหวาดกลัวก็ทะลักทลายออกมาจนกลั้นไม่อยู่ ของเหลวใสไหลรินลงจากร่างกายโดยไร้การควบคุมไม่มีคำร้องขอ ไม่มีคำแก้ตัวมีเพียงความเงียบงันและสติที่ค่อย ๆ พังทลายลงท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่ทอดมองมาอย่างเย็นชา
ท่ามกลางลานหินเบื้องหน้าราชสำนัก กลางแดดบ่ายอันร้อนแรง ร่างของฟู่เหวินโหลวชายชราผู้เคยยิ่งใหญ่ดั่งเสาหลักของแผ่นดินถูกลากออกมาด้วยโซ่ตรวนหนักที่พันธนาการมือเท้า เสียงเสียดสีของเหล็กครูดไปกับพื้นสะท้อนชัดราวเสียงลากของกรรมที่มาถึงจุดสิ้นสุด
เขาถูกกระชากจากห้องโถงด้วยแรงที่ไม่สนใจอายุขัยหรือศักดิ์ศรีใด เสมือนสัตว์เดรัจฉานที่สิ้นคุณค่าแล้วในสายตาผู้คน แผ่นหลังโค้งงอ เสื้อผ้าที่เคยเรียบร้อยยับยู่ยี่เปรอะเปื้อนด้วยเศษฝุ่นและเลือด
“เริ่มการลงโทษ!”
เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ดังลั่นขึ้น ทันทีที่คำสั่งจบลง แส้หนังเส้นหนาเงื้อขึ้นสูง ก่อนฟาดลงบนหลังของเขาอย่างไร้เมตตา
เพี๊ยะ!!
เสียงแส้กระแทกลงอย่างรุนแรง เสียงเนื้อแตกแยกกับเสียงกรีดร้องที่หลุดจากลำคอดังก้องไปทั่วบริเวณ มันไม่ใช่เสียงร้องของชายชราเพียงผู้เดียว หากเป็นเสียงของอดีตทั้งหมดที่ถูกฉีกกระชากไปต่อหน้าฝูงชน
“อ๊าาาาาาา!!”
เลือดสดๆ กระเซ็นออกจากแผ่นหลังที่บัดนี้มีแต่รอยฟาดจนเนื้อเปิด รอยแดงกลายเป็นช้ำ ช้ำกลายเป็นแผลฉีก เส้นเอ็นใต้ผิวหนังสั่นระริกกับทุกการฟาดครั้งถัดไป
ฝูงชนเบื้องหน้าเงียบงันบางคนเบือนหน้า บางคนเบิกตาค้าง ขุนนางบางนายกระซิบกันเบา ๆ ด้วยใบหน้าแข็งตึง แต่ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นค้าน หรือเอ่ยวาจาเมตตา ทุกคน... ปล่อยให้ชายผู้นี้ชดใช้ในนามของความยุติธรรม
แส้ที่หนึ่ง... สอง... สาม... จนครบสิบ เสียงร้องเริ่มอ่อนแรง จากเสียงตะโกนกลายเป็นเสียงครางในลำคอ และแล้วแส้ที่สิบเอ็ดก็ตามมา ไม่ใช่ด้วยความเมตตาลดหย่อน กลับรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับผู้ลงทัณฑ์ต้องการให้วิญญาณถูกกระชากออกมากับเนื้อ
แส้ที่ยี่สิบ... เขาทรุดลงคุกเข่า หายใจหอบถี่ราวกับปลาถูกโยนขึ้นฝั่ง เลือดไหลอาบเต็มหลังจนซึมลงสู่พื้น ทว่าก็ไม่มีการหยุดพัก
เจ้าหน้าที่หนึ่งตวัดสายตาขึ้นมองราชบัญชา พระพักตร์ของจักรพรรดิหรงจวิ้นเงียบงัน ปราศจากวาจาใดเสริมเติม เขาจึงฟาดแส้ต่อไป
แส้ที่สามสิบ สี่สิบ... ทุกฟาดดั่งตอกตะปูลงในร่างที่ใกล้พังทลาย สุดท้ายเมื่อแส้ที่ห้าสิบกระหน่ำลงร่างของฟู่เหวินโหลวแทบไร้สติ ดวงตาเหลือบมองผู้คนด้วยแววตาพร่ามัว น้ำลายคละเลือดไหลจากมุมปาก ความอับอาย ความเจ็บปวด และความสำนึกประสมปะปนกันในสายตาคู่นั้น
ผู้คนที่เคยมองเขาด้วยความเคารพ วันนี้กลับทอดสายตามองด้วยความสะใจ หรือไม่ก็...ความสมเพช
เสียงแส้เงียบลง เหลือเพียงเสียงหอบหายใจ และเสียงโลหิตหยดลงบนพื้นศิลา
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







