LOGINยังไม่ทันที่หลานเยว่จะได้เริ่มสืบหาความจริงอย่างเป็นทางการ ว่าซ่งอี้เฉินคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารบิดาของมันเองหรือไม่ชายผู้นั้นกลับเผยธาตุแท้ออกมาเสียก่อนเงากรรมชั่วที่ฝังลึกในใจเขาเริ่มกัดกินความสงบอย่างไม่หยุดหย่อนความหวาดระแวงบีบคั้นจิต จนในที่สุด...ความอำมหิตก็ปะทุออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เวลานั้นเอง เงาสายของหลานเยว่ได้แทรกซึมเข้าไปในจวนของซ่งอี้เฉินแล้วไร้เสียง ไร้ร่องรอย แต่กลับบันทึกทุกอย่างไว้หมดจด สิ่งที่พวกเขานำกลับมาคือความจริงที่ยืนยันความต่ำช้าที่นางคาดไว้ไม่มีผิด
“มันคิดจะปล้นจวนของข้าอย่างนั้นหรือ?”เสียงของหลานเยว่าเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น คล้ายแฝงรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“สงสัยมันคงเสียดาย...สมบัติที่บิดาของมันยกให้ลูกชายของข้า” สมบัติเหล่านั้น คือของขวัญสุดท้ายที่ซ่งไห่หยางมอบให้นางอย่างเงียบงัน ก่อนจะสิ้นลมหายใจซ่งอี้เฉินไม่อาจทนเห็นมรดกนั้นตกอยู่ในมือของหลานเยว่ จึงเลือกหนทางอันต่ำช้าเพื่อช่วงชิงกลับคืนสายตาของนางวาบประกายดุจคมดาบ เสียงสั่งการพลันแทรกผ่านความเงียบรอบตัว
“ท่านแม่ทัพซ่งไห่หยาง...โปรดวางใจเถิด” ถ้อยคำนุ่มนวลดั่งสายลม ทว่าหนักแน่นเยี่ยงหินผา “ข้าจักตอบแทนบุญคุณของท่าน...ด้วยการส่งบุตรชายของท่าน ไปสู่โลกหน้าอย่างสงบ” ในใจของหลานเยว่ ไม่มีความลังเลแม้เพียงน้อย ผู้ใดเหยียบย่ำสิ่งที่นางรักนางจะมอบความตายให้เป็นบทสรุป ไม่ใช่ด้วยความรีบเร่ง หากแต่เป็นการลงทัณฑ์ช้า ๆ ด้วยความไร้ปรานี
ให้ความทรมานกัดกินมันทุกลมหายใจ จนร่างจะแหลกสลายจนวิญญาณร้องขอความเมตตาและเมื่อถึงเวลานั้น...นางจึงจะปลดปล่อยให้มันได้พบกับความสงบ
ในยามราตรีที่ไร้แสงจันทร์ เงามืดแห่งความตายคืบคลานสู่จวนของซ่งอี้เฉิน ณ เรือนหลังใหญ่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยม่านความทะเยอทะยานและความชิงชัง มีเหล่าลิ่วล้อจำนวนนับร้อยรวมตัวกันอยู่ในลานกว้าง พวกมันคือกากเดนแห่งยุทธภพมนุษย์ผู้ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ซื้อได้ด้วยเพียงเศษอาหารหรือคำสัญญาอันจอมปลอม
ทุกชีวิตภายใต้คำสั่งนั้นล้วนพร้อมหักหลังเจ้านายเดิมในพริบตา หากมีใครเสนอผลประโยชน์มากกว่าทว่าถึงจะต่ำช้า ก็หาใช่ไร้ฝีมือ ยามนี้ ทุกคนแต่งกายด้วยชุดดำสนิท ปิดคลุมใบหน้า เหลือเพียงดวงตาอันแหลมคมสาดแสงเจือเลือดท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงเสียงเย็นเยียบของชายผู้หนึ่งดังก้องขึ้นอย่างอหังการ
“กวาดล้างพวกมันให้หมด! ผู้ใดที่อยู่ในจวนของนังหญิงชั่วนั้นฆ่าให้สิ้น!” เสียงของซ่งอี้เฉินเปี่ยมด้วยเพลิงแค้น ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม“และหากผู้ใดสามารถปลิดชีพนางได้ ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม!”
ค่ำคืนนี้ เขามิได้ปรารถนาเพียงลมหายใจสุดท้ายของหลานเยว่แต่หมายจะแย่งชิงทุกสิ่งทั้งทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ และความไว้วางใจที่บิดาของเขาเคยมอบให้นางเขาจะฉุดทุกอย่างให้จมดิน...แล้วกอบโกยขึ้นมาเป็นของตนเองภายใต้ม่านรัตติกาล เงาของความตายเคลื่อนไหวผ่านซอกหลืบของเมืองหลวงไร้เสียง…ไร้เงา…ดุจวิญญาณอาฆาตที่ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ถึงตัวตนของพวกมันได้
กลุ่มลิ่วล้อในชุดดำมืดนับร้อย ไหลทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำเน่าเสียที่กำลังจะหลั่งไหลสู่จวนของหลานเยว่แต่สิ่งที่พวกมันพบ...กลับเป็นความว่างเปล่าจวนหลังใหญ่เงียบสงัด ราวกับถูกทอดทิ้งมานาน ไม่มีเวรยาม ไม่มีแสงตะเกียง ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าทุกสิ่งเหมือนกับจวนร้างพวกมันไม่รอช้าเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน เล็ดลอดเข้ามาโดยไม่มีใครขัดขวางเป้าหมายของพวกมันมีเพียงหนึ่งเดียว: ดับลมหายใจทุกผู้คนในจวนนี้ และช่วงชิงทรัพย์สินทุกชิ้นให้หมดสิ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางของจวน อากาศยังคงหนาวเย็นตามประสาค่ำคืนแต่แล้ว…บางสิ่งบางอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
สายลมเย็นยะเยือกพลันพัดผ่านหมอกจาง ๆ ลอยตามมาอย่างเชื่องช้า ราวกับม่านหมอกของหุบเหวต้องสาปไม่ทันที่พวกมันจะระวังตัวดวงตาเริ่มพร่ามัว ร่างกายสั่นคลอนก่อนจะทรุดลงทีละคน…ทีละคนสิ่งที่ลอยมากับสายลมนั้นคือผงพิษกลั่นจากสมุนไพรลี้ลับในหุบเขาต้องห้ามเพียงสูดดมก็จะสิ้นสติในชั่วอึดใจ ท่ามกลางหมอกที่ค่อย ๆ จางลงร่างของหลานเยว่และเหล่าผู้รับใช้ในชุดคลุมดำก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวจากเงามืดนางยืนอย่างสง่างาม ท่ามกลางราตรีอันเยียบเย็น พลังปราณของนางแผ่กระจายออกมาอย่างแผ่วเบาหมอกพิษเบื้องหน้าแตกกระจายหายไปในพริบตา
"นายหญิงขอรับ...เราจะจัดการกับมันอย่างไรดี?" เสียงลูกน้องของนางเอ่ยอย่างเยือกเย็น ทอดมองเหล่าผู้บุกรุกที่หมดสติราวกับซากศพไร้วิญญาณหลานเยว่เพียงมองต่ำลงเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง
“ในเมื่อพวกมันเลือกจะมีชีวิตเยี่ยงเศษขยะไร้ค่า... เช่นนั้น เราก็จงส่งเสริมให้พวกมันได้สมดั่งที่เลือกไว้”
น้ำเสียงของหลานเยว่เรียบเย็น ราวสายน้ำที่ไร้คลื่นหากแต่ภายในถ้อยคำกลับอบอวลด้วยความอำมหิตจนขนลุก
“ทำลายเส้นพลังปราณของพวกมันเสียให้หมด... แล้วส่งร่างไร้สติ อันน่าสมเพชเหล่านั้น กลับไปยังจวนนายของมัน”
ลูกน้องของนางรับคำสั่งอย่างไร้ความลังเลใบหน้าไร้อารมณ์ดุจหุ่นกลไร้วิญญาณ จากนั้นจึงลงมือปฏิบัติหน้าที่เสียงกระดูกแตกดังสะท้อนในความเงียบ ร่างแล้วร่างเล่าถูกโจมตีอย่างแม่นยำ พลังปราณในร่างถูกทำลายจนหมดสิ้น
แม้พวกมันจะยังไม่ได้สติจากพิษในคืนก่อนแต่เมื่อได้ฟื้นขึ้นมา...สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ จะมีเพียงความไร้พลังและอนาคตที่ถูกช่วงชิงเมื่อเสร็จสิ้น ร่างของเหล่าผู้บุกรุกนับร้อยก็ถูกโยนทับกันในรถม้าหลายคันซ้อนทับอย่างไม่ไยดี ราวกับซากที่รอการทิ้งขบวนรถม้ากลายเป็นรถเก็บขยะเคลื่อนที่บรรทุกศักดิ์ศรีอันแหลกสลายออกไปจากจวนของหลานเยว่าเสียงล้อบดกับพื้นหินดังลั่นทั่วถนน ไม่หลบหลีก ไม่เกรงใจราวกับจงใจปลุกผู้คนให้รับรู้ถึงการตอบโต้ที่โหดเหี้ยมแต่แม่นยำเมื่อขบวนรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนของซ่งอี้เฉินเสียงเวรยามร้องตะโกนกร้าว
“พวกเจ้าเป็นใคร!? ไม่รู้หรือว่าที่นี่คือจวนของผู้ใด!”
กลุ่มคนในชุดดำที่ปิดบังใบหน้า กระโดดลงจากรถม้าอย่างพร้อมเพรียงหนึ่งในนั้นหันไปตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“พวกเรา...แค่มาทิ้งขยะ”
ไม่ทันให้เวรยามได้ตั้งตัวร่างไร้สติที่บรรจุอยู่ในรถม้าก็ถูกถีบลงสู่พื้นทีละคนเสียงกระแทกดังหนักแน่น ร่างแต่ละร่างนอนแน่นิ่งเหมือนของที่ถูกใช้แล้วโยนทิ้งเวรยามทั้งหลายทำได้เพียงยืนอึ้ง เบิกตากว้าง มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงความเงียบพุ่งเข้าสู่ใจกลางจวน ราวกับระฆังแห่งความอัปยศที่ดังสั่นไปทั่วราตรีและทันทีที่ร่างสุดท้ายถูกถีบลงรถม้าทั้งหมดก็เคลื่อนตัวกลับอย่างไม่ไยดี ไม่เหลียวมอง ไม่มีแม้ถ้อยคำลา
“พวกเราควร...ควรทำอย่างไรดี...”เสียงของทหารยามเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่สั่นสะท้านจนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่เกาะกินอยู่ในใจเขาเหลือบตามองกองร่างไร้สติที่กองอยู่ตรงหน้า มือทั้งสองเริ่มเย็นเฉียบ ไม่รู้จะเอ่ยรายงานกับผู้เป็นนายว่าอย่างไรดีคำพูดใด...จะสามารถอธิบายความอัปยศนี้ได้?
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







