Masukแม่ทัพหลานซือเหยียนมั่นใจเสมอในความภักดีของสองรองแม่ทัพ เจิ้งเหวิน และโหวซื่อหมิงผู้ติดตามเขามานับปี เปรียบประดุจแขนขาในสนามรบ ร่วมฟาดฟันจนผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกคำสั่งเป็นไปดังใจราวกับเรียกลมเรียกฝนแต่สิ่งที่แม่ทัพประมาท…คือหัวใจของผู้คน ความทะเยอทะยานในก้นลึกนั้น มืดและลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร เช้าวันนั้น ลานกว้างหน้าค่ายเต็มไปด้วยเหล่าทหารพร้อมเคลื่อนพล เหลือเพียงสองบุรุษที่ยังไม่ปรากฏตัวไม่นาน ร่างสูงทั้งสองจึงรีบก้าวมาจนหยุดต่อหน้าแม่ทัพ
“เรากำลังจะออกเดินทาง พวกเจ้ามาช้า” น้ำเสียงหลานซือเหยียนเรียบเย็น แฝงตำหนิเพียงเล็กน้อย เจิ้งเหวินโค้งศีรษะ “ขออภัยท่านแม่ทัพ ข้ามัวบอกลาลูกเมียอยู่” โหวซื่อหมิงก็กล่าวคล้ายกัน น้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง
ข้อแก้ตัวนั้นไร้ที่ติสมบูรณ์แบบจนไม่มีช่องให้สงสัยไม่มีใครรู้…ว่ายามค่ำคืนที่ผ่านมา ทั้งสองอยู่ในเรือนหลังของขันทีเฒ่า หลี่เถี่ยนกวงจนถึงรุ่งสางหลานซือเหยียนเพียงพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยสั้น ๆ“เคลื่อนทัพ” เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกระลอก ธงรบสีชาดโบกสะบัดเหนือหัวกองทหาร กองทัพเริ่มเคลื่อนไปตามจังหวะฝีเท้าและเสียงเกราะกระทบกันภารกิจครั้งนี้…คือการยกทัพปราบกบฏแต่ในเงามืดหลังธงศึก ความภักดีและการหักหลังกำลังเดินทางไปพร้อมกัน
แม้การเดินทางครั้งนี้จะอาบไปด้วยเงาแห่งความทรยศและการหักหลัง แต่สิ่งที่สองรองแม่ทัพยังไม่รู้…คือ ในกองทัพอันแน่นขนัดไปด้วยเหล่าทหาร กลับมีเงามืดแฝงตัวร่วมขบวนเงาที่พวกเขาไม่เคยล่วงรู้
หลานเยว่ และเหล่ามือสังหารของนาง เดินทางเคียงข้างกองทัพอย่างไร้ร่องรอย เสมือนลมหายใจของรัตติกาลที่ไม่มีใครมองเห็น การคงอยู่ของนางเป็นความลับระดับสูงสุด แม้แต่ลูกน้องคนสนิทที่สุดของแม่ทัพหลานก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้รู้
นางมือสังหารไร้นาม ผู้มีชื่อเสียงสะท้านไปทั่วนครหลวง โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีอำนาจ ผู้เคยลิ้มรสพิษแห่งคมมีดของนางล้วนจดจำไปจนตายและเหนือสิ่งอื่นใด…นางคือ บุตรสาวของแม่ทัพหลานซือเหยียน สำหรับเขา นางไม่ใช่เพียงเงา แต่คือคมดาบที่พร้อมฟาดฟันทุกสิ่งที่กล้ำกรายสำหรับศัตรู…นางคือความตายที่ก้าวเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียง“เจ้าสองคนนี้…ทำตัวไม่น่าไว้ใจ”เสียงของหลานเยว่เย็นเยียบ ราวกับลมหนาวพัดผ่านค่ายศึก นางปะปนอยู่ท่ามกลางแถวทหาร ก้าวย่างไร้ร่องรอยเด่นตา แต่สายตาคมดุจับจ้องทุกอากัปกิริยาของเจิ้งเหวินและโหวซื่อหมิงอย่างไม่คลาด
นางสังเกตความผิดปกติได้ตั้งแต่เช้าการสบตาที่มากเกินจำเป็น การเคลื่อนไหวที่ราวกับซ่อนบางสิ่งไว้ทว่าหลานเยว่ไม่คิดจะรายงานสิ่งนี้ให้บิดา…บิดาผู้ไร้หัวใจ ที่เคยเป็นทั้งเงาแห่งความกลัวและความแค้นในชีวิตนาง
นางเคยตั้งใจจะล้างแค้นให้สิ้น แต่สัจจะที่ให้ไว้กับตนเองได้ทำให้นางละทิ้งเส้นทางนั้นไปแล้วกระนั้น…ในเมื่อเงามืดกำลังซ่อนตัวอยู่ในกองทัพ บางที นี่อาจเป็นโอกาสเล็กน้อยที่จะปล่อยให้มันทำหน้าที่แทนนาง
ตะวันบ่ายคล้อยสาดแสงสีทองหม่นลงบนพื้นดินแห้งแตกระแหง กองทัพแม่ทัพหลานซือเหยียนเคลื่อนถึงที่หมาย ค่ายใหญ่ของเหล่ากบฏ เสียงเกราะเสียดสีกันดังก้องทั่วทุ่ง กลิ่นฝุ่นผสมเหล็กจากคมอาวุธฟุ้งอวลในอากาศ
หลังจากเดินทางอันยาวนาน เขาให้กองทัพหยุดพักเพียงครู่ พอให้ทหารได้ดื่มน้ำและเรียกเรี่ยวแรงกลับคืน ก่อนที่เสียงกลองศึกจะดังกระหน่ำเป็นสัญญาณคำสั่งเด็ดขาด“บุก! กวาดล้างให้สิ้นซาก!”
พลทหารนับพันโถมเข้าใส่แนวค่ายเหมือนคลื่นเหล็ก คมดาบสะท้อนแดดวาววับ พุ่งฟาดใส่ทุกสิ่งตรงหน้า เสียงโห่คำรามผสมเสียงกรีดร้องของผู้สิ้นหวัง เสียงหอกปักทะลุเนื้อ เสียงกระดูกแตกหักดังสลับกับเสียงม้าร้องระงม กลิ่นคาวเลือดอุ่นผ่าวกระจายไปทั่วค่าย
เพียงครึ่งชั่วยาม ค่ายกบฏก็ถูกเพลิงลุกโหม เถ้าควันคลุ้งตลบปิดบังท้องฟ้าอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา…ทุกซอกมุมกลายเป็นหลุมศพ ทุกชีวิตดับสิ้นแม่ทัพหลานซือเหยียนไม่เหลือทางรอดให้แม้เชลยสักคน“อย่าให้เหลือแม้เงา…เรามิได้มาเพื่อเลี้ยงศัตรู” เขากล่าวเสียงเรียบแต่เฉียบขาด แต่ท่ามกลางซากปรักหักพังและชัยชนะที่เด็ดขาด กลับมีบางสิ่งฝังหนามอยู่ในความคิดของเขา ความรู้สึกหนาวเย็นแทรกซึมเข้ากระดูกโดยไม่มีเหตุผล เหมือนมีดบางเล่มจ่ออยู่ที่แผ่นหลังเขาหยุดมองไกลออกไปเหนือเปลวเพลิง เสียงในใจดังก้องเจ้าขันทีเฒ่าหลี่เถี่ยนกวง…แท้จริงแล้วเจ้ากำลังวางแผนชั่วร้ายอะไรอยู่กันแน่? ในยามนั้น แม่ทัพหลานรู้เพียงอย่างเดียวสงครามที่แท้จริงอาจยังไม่เริ่ม และศัตรูที่อันตรายที่สุด…ไม่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลังก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ท่านแม่ทัพ…กองทัพของเรากำราบพวกกบฏจนราบสิ้นแล้วขอรับ”
รองแม่ทัพผู้เอ่ยรายงานก้มศีรษะลึก ดวงตาสงบนิ่งแต่ลึกลงไปมีประกายแปลกประหลาด เหมือนคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักเงียบงันแต่พร้อมจะชักออกได้ทุกเมื่อแม่ทัพหลานพยักหน้าอย่างพึงใจ
“ดีมาก… หากไม่มีพวกเจ้าอยู่ ข้าคงไม่อาจปราบพวกมันได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ กลับถึงนคร ข้าจะมอบรางวัลที่คู่ควรแก่พวกเจ้า” รองแม่ทัพอีกคนขยับก้าวออกมา เสียงต่ำเรียบ
“ท่านแม่ทัพ…ค่ำคืนนี้ เราสมควรค้างแรมที่นี่สักคืน เหล่าทหารต่างอ่อนล้าจากศึกหนัก” สายตาของหลานซือเหยียนทอดมองขอบฟ้าที่กำลังถูกกลืนด้วยแสงสนธยา ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ“ก็ได้…ให้ตั้งค่ายพักที่นี่”
เพียงชั่วขณะเดียวกันนั้น สายตาของรองแม่ทัพทั้งสองสบกันวูบหนึ่งสั้นนักราวกับลมหายใจ แต่ลึกพอจะบอกว่ามีบางอย่างรอคอยจะเกิดขึ้นในความมืดของค่ำคืนนี้
ค่ำคืนนั้น แสงเพลิงจากคบไฟถูกจุดสว่างเป็นระยะทั่วค่ายพัก เสียงลมยามราตรีพัดผ่านธงรบสีชาดให้กระพือไหวเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าพลทหาร แม่ทัพหลานซือเหยียนจึงสั่งให้จัดสุราและอาหารอย่างเรียบง่ายเพียงพอให้อุ่นท้องและชุ่มคอ ไม่เกินเลยจนเมามาย เพราะนี่คือแดนต่างถิ่น ทุกสติสัมปชัญญะต้องพร้อมรับศึกในทุกลมหายใจ
“เมื่อกลับถึงนคร ข้าจะจัดเลี้ยงให้สมเกียรติ และมอบความดีความชอบแก่ผู้ที่ทำผลงานโดดเด่น” แม่ทัพเอ่ยชัดถ้อยในท่ามกลางแสงคบไฟ ทำให้เสียงโห่รับจากเหล่าทหารดังสะท้อนไปทั่วค่าย
พลทหารนั่งล้อมวงกันอยู่ด้านหน้ากระโจมของตนเอง ถ้วยสุราถูกส่งต่อไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะหยอกล้อ แม้จะรู้ว่าต้องระวัง แต่รอยยิ้มและเสียงสนทนาก็คลายความเหน็ดเหนื่อยจากศึกหนักไปได้ชั่วครู่กลิ่นเนื้อย่างบนเตาถ่านลอยคลุ้งปะปนกับกลิ่นควันไฟ เสียงน้ำซุปเดือดพล่านในหม้อดังเป็นจังหวะกลมกลืนกับเสียงฝีเท้าของยามที่เดินตรวจรอบค่าย
ส่วนในกระโจมใหญ่ด้านใน เหล่านายทัพนั่งเรียงรายรอบโต๊ะไม้ต่ำ กลิ่นสุราจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ แสงโคมกระดาษสาดเงาทาบบนใบหน้าแต่ละคนให้ดูเข้มขรึมยิ่งขึ้นแม้ค่ำคืนนี้จะถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศของการเฉลิมเล็ก ๆ แต่ในเงามืดรอบค่าย…บางสิ่งกำลังคืบคลานอย่างเงียบงัน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







