Masukภายในห้องที่แสงโคมสั่นไหวเพราะลมหนาว หลี่เถี่ยนกวงนั่งเอนกายอยู่บนตั่งยาว ความเปลี่ยวเหงาที่กัดกินหัวใจและร่างกายชราของเขาเหมือนเพลิงเงียบที่เผาผลาญจากข้างใน หากไม่ได้ระบายออก ความปรารถนาอันบิดเบี้ยวนี้ย่อมกัดกินจนแทบขาดสติ สายตาเหี่ยวย่นคมกริบเลื่อนไปหยุดที่สาวใช้ผู้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยอย่างชวนให้ขนลุก
“ข้าได้ยินมาว่า… ชายที่เจ้าหมั้นหมายไว้ รูปโฉมไม่เลวทีเดียว”น้ำเสียงช้าและหนืดเหมือนพิษ “ไป… เรียกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้”
สาวใช้หน้าถอดสีทันที ไหล่สั่นระริก มือกำชายกระโปรงแน่นราวกับมันเป็นที่พึ่งสุดท้าย นางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงตาแดงก่ำด้วยน้ำตา
“นายท่าน… โปรดละเว้นพวกเราด้วยเถิด”เสียงนางแผ่วพร่าแต่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “อีกไม่นาน… ข้ากับเขาจะได้แต่งงานกัน แล้วเราจะกลับไปอยู่บ้านนอกอย่างสงบ ขอเพียงท่านเมตตา”
เปลวไฟจากโคมสะบัดวูบไหว สาดเงาผิดเพี้ยนบนผนังเมื่อใบหน้าของหลี่เถี่ยนกวงบิดเบี้ยวด้วยโทสะ ความเหี่ยวย่นและร่องรอยอัปลักษณ์ยิ่งชัดเจนราวปีศาจที่เผยโฉมออกมาเต็มที่
“นังชั้นต่ำ… เจ้าคิดว่าข้าหมายปองชายคนรักของเจ้ารึ?”เสียงเขาเยาะเย้ยต่ำลึก “มันก็เป็นเพียงแค่ตัวระบายราคาถูก… ข้าก็แค่อยากใช้มันบรรเทาความหนาวชั่วคราวเท่านั้น”
ลมหายใจของขันทีเฒ่ากระเพื่อมแรง แววตาขุ่นมัวด้วยความโกรธที่เดือดพล่าน
“หากเจ้ายังกล้าขัดคำสั่ง… อย่าหวังเลยว่าชีวิตเจ้าจะได้พบความสงบสุข” คำขู่เย็นเฉียบแทงลึกเข้าในหัวใจ สาวใช้ตัวสั่นสะท้าน ริมฝีปากเม้มแน่น น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม นางรู้ดีว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เพียงลมปาก แต่เป็นประกาศิตแห่งหายนะ “บ่าว… ยอมแล้วเจ้าค่ะ” เสียงนางสั่นไหวและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “บ่าว… จะไปตามเขามาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ในช่วงเวลานั้น นางรู้ทันทีว่าทั้งความฝันและอนาคตของชายคนรักถูกบดขยี้จนแหลกสลาย เพียงเพราะอำนาจอันบิดเบี้ยวของนายเหนือหัว ไม่นานนัก เสียงประตูเลื่อนดังแผ่วพร้อมเงาร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามา เป็นชายคนรักของนางเพียงคนขับรถม้าต่ำศักดิ์ ใบหน้าคมเข้ม ผิวกร้านจากแดดและฝน บ่ากว้างและลำตัวเต็มไปด้วยร่องรอยของแรงงานหนัก กล้ามเนื้อแน่นแข็งดั่งเหล็กที่ผ่านการตีซ้ำหลายครั้ง เสริมให้รูปลักษณ์ดูดุดันและบึกบึนยิ่งนักดวงตาของหลี่เถี่ยนกวงทอประกายวาวเหมือนสัตว์นักล่าที่ได้กลิ่นเหยื่อ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกระตุกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
“ถอดเสื้อของเจ้าออก”เสียงแหบพร่ากลั้วความเร่งร้อน หลุดออกมาราวกับเป็นคำสั่งที่ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธเมื่อเสื้อผ้าหลุดจากร่าง กล้ามเนื้อสลักชัดจากแรงงานปรากฏต่อสายตา ขันทีเฒ่าเลียริมฝีปากช้า ๆ พร้อมเอื้อนเอ่ยราวกับชื่นชมสมบัติล้ำค่า
“เจ้ามีเรือนร่างแข็งแรงนัก… ราวกับแม่ทัพผู้ก้าวลงมาจากสวรรค์” แต่คนขับรถม้าเพียงยืนนิ่ง ดวงตาหม่นลึก ความอับอายและความสิ้นหวังปะปนกันในแววตา เขารู้ดีว่าต่อให้กายแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจปกป้องตนเอง… และไม่อาจปกป้องหญิงคนรักจากเคราะห์ร้ายในค่ำคืนนี้ได้สำหรับเขานี่ไม่ใช่ราตรีแห่งเกียรติยศ แต่คือคืนที่หัวใจถูกฉีกขาดอย่างไร้ปรานี
ความกระหายที่รุนแรงเกินกว่าจะถูกควบคุมของหลี่เถี่ยนกวงนั้น เปรียบเสมือนเงามืดที่ปกคลุมราชสำนักมานานหลายปี มันย่ำยีหัวใจและศักดิ์ศรีของผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเรื่องอัปยศกลายเป็นเพียงกิจวัตรที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง เสียงร่ำไห้ในยามค่ำคืนและสายตาที่สิ้นหวังของเหยื่อกลายเป็นภาพชินตาในเรือนของมัน
สำหรับกลุ่มคนที่หลงใหลในอำนาจ ขันทีเฒ่าคือ ประตูสวรรค์ ที่พาพวกเขาก้าวข้ามขอบฟ้า สู่ตำแหน่งสูงส่งโดยไม่ต้องใช้ความสามารถใด ๆ นอกจากร่างกายและรอยยิ้ม แต่สำหรับผู้ที่ยึดมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรี ชายชราผู้นี้กลับเป็น ประตูนรก ที่เมื่อก้าวเข้าไปแล้ว จะถูกกลืนหายทั้งร่างและจิตวิญญาณ เหลือเพียงเถ้าถ่านของความเป็นคนเท่านั้น
แสงราง ๆ แห่งรุ่งอรุณค่อย ๆ ลูบไล้ปลายฟ้า แต่บรรยากาศรอบเรือนของขันทีเฒ่ากลับหนักอึ้งกว่าความมืดในค่ำคืนที่ผ่านมาชายคนขับรถม้าก้าวออกมาช้า ๆ จากเรือนนั้น ดวงตาเหม่อลอยราววิญญาณถูกสูบออกจากร่าง กล้ามเนื้อที่เคยแข็งแรงกำยำ บัดนี้เต็มไปด้วยรอยเขียวคล้ำบอกเล่าถึงค่ำคืนอันโหดร้าย
เมื่อสายตาเขาเห็นหญิงสาวคนรักยืนรออยู่ ความว่างเปล่าในแววตากลับถูกแทนที่ด้วยแสงบางเบาแห่งความรักและความละอาย“น้องพี่…พี่ขอโทษ พี่ผิดต่อเจ้าจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า เต็มไปด้วยความเสียใจที่กัดกินหัวใจ“ท่านพี่…” นางเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนโผเข้ากอดชายคนรัก น้ำตาไหลพรากไม่อาจหยุดได้
ในจังหวะนั้น ขันทีเฒ่า หลี่เถี่ยนกวง ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในเรือน สายตาที่ทอดมามีเพียงความดูแคลนปนเหยียดหยามเขาโยนถุงเงินใส่หัวคนขับรถม้าอย่างไม่ไยดี“นี่คือค่าเหนื่อยของเจ้า…เป็นแค่บ่าวรับใช้ต่ำศักดิ์ อย่าได้ทำทีเล่นตัวไปนัก นี่คือค่าจ้างที่พวกเจ้าหาไม่ได้ตลอดทั้งปี”
มือของชายหนุ่มและหญิงสาวกำแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ ความโกรธแล่นพล่านในอก แต่ก็ต้องฝืนกลืนมันลงไป“ขอบคุณนายท่าน…ที่เมตตา”คำพูดถูกเปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้มฝืน ๆ ทั้งที่หัวใจแทบจะแหลกสลายอยู่ข้างใน
“เห้อ… สามีของเจ้ามันก็เป็นเพียงแค่ของเล่นราคาถูก เล่นครั้งเดียวก็เกินพอ”น้ำเสียงของหลี่เถี่ยนกวงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แววตาเฉียบคมฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งและไร้เมตตา ราวกับทุกถ้อยคำถูกจงใจเหวี่ยงมาเพื่อเหยียบย่ำศักดิ์ศรีให้แหลกสลายเขาไม่แม้แต่จะเหลือเศษเสี้ยวของการรักษาน้ำใจ หรือแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์ด้วยกันคำพูดนั้นปักลึกลงในหัวใจของหญิงสาวและชายคนรักดุจคมมีดที่กรีดซ้ำรอยแผลเก่า กลิ่นคาวของความอับอายปะปนกับความโกรธขุ่นล้นอยู่ในอกแต่ทั้งคู่ก็ต้องกลืนมันลงไป
เมื่อร่างของหลี่เถี่ยนกวงลับหายเข้าไปในเงามืดของเรือนใหญ่ ความเงียบก็ปกคลุมตรอกด้านนอก ชายคนขับรถม้ากำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บแค้น เสียงของเขาแผ่วต่ำแต่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต
“ขอเพียงสักวัน… วันที่ชีวิตของมันตกต่ำถึงขีดสุด ข้าจะเป็นคนแรกที่ใช้ฝ่าเท้าของข้าบดขยี้มันให้จมดิน” สาวใช้ซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง น้ำตายังคลอเบ้า เอื้อมมือมาจับมือชายคนรักของนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
“ท่านพี่… ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว พวกเรา…หนีไปด้วยกันเถอะ” เสียงนางสั่นพร่า แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เงินถุงนั้น แม้ได้มาพร้อมกับหยาดน้ำตาและความอัปยศ กลับกลายเป็นประตูบานเดียวที่เปิดทางให้ทั้งคู่เริ่มต้นชีวิตใหม่หนีไปให้ไกลแสนไกลจากเงามืดของวังหลวงและเงื้อมมือของปีศาจในคราบมนุษย์
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







