LOGINกลับมาปัจจุบัน…
“เจ็บหัวชะมัด ไปไหนกันหมด” รสาลุกขึ้นยืนจากพื้นดินเย็นเฉียบที่ตนเองนอนอยู่พยายามปัดฝุ่นก็ต้องแปลกใจ เพราะชุดที่เธอกำลังสวมใส่ไม่ใช่ชุดเดียวกันกับที่ใส่มาวันนี้ แต่มันกลับเป็นกระโปรงยาวลายดอก ผ้าคุณภาพดีเยี่ยมผิดกับเสื้อผ้าที่จะเจอได้ตามร้านฟาสแฟชั่น ด้านข้างมีกระเป๋าเดินทางที่ทำขึ้นมาจากผ้าไม่ใช่พลาสติกแบบที่คุ้นเคย
แล้วตอนนั้นเสียงอะไร คอหักแต่ไม่ตาย ฉันเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย
เมื่อทรงตัวได้ที่แล้วก็ยังรู้สึกเจ็บหลังศีรษะอยู่ รสาจึงได้เอื้อมมือไปจับดูก็พบว่ามีเลือดออกเต็มไปหมด “หัวแตก! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
“รำคาญ! เงียบๆ ไปสักทีคนจะหลับจะนอน” เสียงตะโกนดังออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม
ส่วนตัวรสาที่มองหันกลับไปก็เห็นว่าตนเองล้มลงภายในรั้วบ้านจึงคิดเอาเองว่าคนในบ้านหลังนี้คงช่วยเหลือตนเองเอาไว้ โดยที่ยังแปลกใจไม่หายที่เพื่อนสนิทไม่พาเธอไปหาหมอ แต่กลับเปลี่ยนชุดให้แล้วพามาฝากไว้บ้านใครก็ไม่รู้อย่างตอนนี้
รสาถือวิสาสะเปิดกระเป๋าที่ตัวเองสะพายอยู่ก็พบกับเอกสารประจำตัวที่ระบุว่าเป็นของว่านเฟยเฟิ่ง ส่วนที่อยู่เธอพยายามสอดส่องสายตาหาคำที่รู้จักก็พบกับคำว่าเซี่ยงไฮ้ แต่เมื่อสังเกตวันเดือนปีเกิดเจ้าของเอกสารให้ดีกลับพบว่าเธอเกิดเมื่อปี 1962 ออกเอกสารเมื่อปี 1980
“แล้วทำไมกระดาษมันใหม่ขนาดนี้ กระดาษจะห้าสิบปี ไม่ใช่ว่าอย่างน้อยก็ต้องเหลืองสักหน่อยรึไง ของเมื่อก่อนคุณภาพใช่ได้จริงๆ ทำเพื่อให้คงทน ไม่ได้รีบขายรีบพังรีบให้ซื้อ” รสาพึมพำพร้อมกับพับเก็บเข้าที่ แต่ยังไม่ทันคิดว่าจะทำสิ่งใดต่อไปก็ต้องลุกพรวดขึ้น
ตุ๊บ!
“ใครน่ะ เจ้าของบ้านเหรอคะ”
รสาเดินกึ่งวิ่งไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงของหล่น แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับพบว่าเป็นเพียงจานข้าวเก่าที่พลิกคว่ำ เธอส่ายหัวคิดเอาเองว่าคงเป็นแมววิ่งเล่นชนของเข้าจึงได้ออกมาเป็นสภาพเช่นนี้
ทว่าเมื่อมาถึงหลังบ้านรสากลับเห็นว่าเป็นนาข้าวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน แผลก็เจ็บบีบขึ้นมาเป็นจังหวะ ยิ่งส่งให้หญิงสาวรู้สึกสับสน
“เมื่อเช้าไม่เห็นมีนาข้าวสักนิด ไม่ใช่ว่าขุดจนเกลี้ยงแล้วเหรอ” รสาสับสนจนต้องยกมือขึ้นเกาหัว แต่เพราะไม่ระวังจึงเกาถูกแผลมีเลือดระลอกใหม่ทะลักออกมาซ้ำสอง
“โอ๊ยๆๆ ซิ๊ด แล้วนี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน เปลี่ยนชุดให้แต่ไม่ทำแผลเนี่ยนะ!”
รสาที่เห็นโอ่งน้ำจึงจะไปตักมาล้างมือที่เลอะเลือดเสียหน่อย แต่เมื่อชะโงกไปกลับเห็นเงาสะท้อนมากกว่าเพียงใบหน้าเดียว
“เห้ย!” รสารีบหันกลับไปมองแต่ก็ไม่พบสิ่งใด เธอจึงหลับตาแล้วค่อยๆ หันกลับมาตักน้ำเย็นจัดราดใส่มือแล้วเช็ดกับกระโปรงอย่างไม่สนใจนัก ทว่าในจังหวะที่กำลังลืมตาเพื่อจะเก็บที่ตักน้ำกลับพบเงาผู้หญิงผมยาวสะท้อนอยู่ในน้ำเช่นเคย
“ผีจีนฟังแผ่เมตตาออกไหมวะเนี่ย สัพเพสัตตา…สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด…”
รสาเงียบเสียงลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบกายของตน จึงเริ่มพยายามหมุนตัวหนีบ้าง แต่ยิ่งหนีกลับยิ่งเห็นร่างของผู้หญิงผมยาวคนนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“คืน!” เสียงของผีสาวตนนั้นกล่าวขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาหารสาที่หยุดหมุนด้วยความกลัวจนก้าวขาไม่ออก
“กรี๊ด!!” เมื่อเห็นใบหน้าที่เปรอะเลือดพุ่งเข้าใส่รสาก็พลันกรีดร้อง และเป็นลมล้มพับไป
.
.
.
“ไอ้จื่อซวาน นังซูลี่ พวกเด็กเหลือขอ แกมาขโมยของบ้านฉัน แกตายแน่!”
“ย่าบอกว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็ให้ไปเอาบ้านอันได้ ย่าไม่สบาย พ่อก็ไปทำงาน พวกเราแค่อยากทำโจ๊กใส่ไข่มาดูแลย่า”
เสียงของเด็กผู้ที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้นในโสตประสาทของรสาที่คิดว่าเมื่อคืนตนเองฝันประหลาดเสียนักหนา แต่เมื่อหันมาเจอกับโอ่งใบเมื่อคืนก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เพียงความฝัน
“ทวดอันไม่อยู่แล้ว ย่าของพวกแกก็แต่งออกไปจนมีหลานแล้ว มาเกี่ยวข้องอะไรอีก ขโมยชัดๆ จะตีให้ตายวันนี้แหละ!” เสียงของสตรีวัยกลางคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่ามือกระทบกับผิวหนังดังเพียะติดกันหลายครั้ง
“นี่! ทำอะไรกัน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” รสารีบตะโกนจากหลังบ้าน แล้วสาวเท้าไปยังรั้วทันที ภาพที่เห็นทำให้รสาต้องตกใจสุดขีดเพราะเป็นคุณป้าคนหนึ่งกำลังตีก้นเด็กชายตัวไม่อ้วนไม่ผอมอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กอีกคนหนึ่งกำลังยื้อแย่งจนถูกลูกหลงไปด้วย
“โผล่หัวออกมาได้แล้วเหรอสะใภ้ว่าน ลูกเลี้ยงของเธอแอบไปขโมยของที่บ้านอันตั้งแต่เช้ามืดรู้ไว้ซะบ้าง” ป้าที่ยังมีสีหน้าเกรี้ยวกราดยอมหยุดตี แล้วเปลี่ยนมากอดอกชี้ด่ารสา
“สะใภ้ว่าน?”
“อยู่ชนบทจนสมองกลับรึไงนังว่านเฟยเฟิ่ง”
“ฉันเนี่ยเหรอสมองกลับ ฉันยังไม่ได้แต่งงานสักหน่อย” รสาส่ายหน้า “ป้านั่นแหละสมองกลับ ตีเด็กขนาดนั้นทำไมกัน หนู หนูไปเอาอะไรของป้าเขามาจ้ะ”
“ไข่ไก่ฟองเดียวเอง” รสาพึมพำเมื่อเห็นสิ่งที่เด็กน้อยควักออกมาให้ดู
“คิดแบบนี้ถ้ามีคนไปเอาไข่ทุกวันไม่ใช่ว่าฉันต้องเลี้ยงไก่ไว้ให้คนทั้งหมู่บ้านรึไง”
“ไข่มันเท่าไหร่กันเชียว เอาเป็นว่าฉันซื้อ” รสาถอนหายใจ
“สะใภ้เซี่ยงไฮ้อย่างแกเอามายี่สิบหยวน”
“มากไปหน่อยแล้วป้าผิงเจิน ยังไงป้าซูเจินก็เป็นพี่สาวป้า” ชายแปลกหน้ายื่นเงินไปยัดใส่มือป้าผิงเจิน ที่หลังจากรับเงินแล้วก็สะบัดตัวหายไปอีกทาง
“ขอบคุณค่ะ” รสาพยักหน้ายิ้มๆ
“ลุงเข่อซิน!” เสียงเด็กทั้งสองเรียกอย่างสดใสก่อนวิ่งเข้าไปกอดชายแปลกหน้าผู้นั้น
“พ่อฝากลุงเอาขนมพวกนี้มาให้ ยาเผื่อให้ป้าเจิน แล้วก็เนื้อหมู ส่วนเงินนี่ฝากให้แม่เลี้ยงของพวกเธอ” เข่อซินยืดตัวขึ้นมาแล้วยื่นเงินให้กับรสา
“ให้ฉันหมายความว่ายังไง”
“พี่สาวเป็นแม่เลี้ยงของพวกเรา” เด็กผู้ชายที่โตกว่าเป็นคนตอบ
“ห๊า! ฉันเนี่ยนะไม่จริงหรอก ไม่เห็นจะจำได้ว่าแต่งงานแล้ว” รสาเริ่มเจ็บหัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะมีความทรงจำเลือนรางฉายขึ้นมา เธออยู่ในร่างของว่านเฟยเฟิ่งที่ถูกแม่เลี้ยงส่งให้ไปแต่งงานในหมู่บ้านชนบทห่างไกลสักแห่ง แต่น่าเสียดายที่ยามนี้รับรู้ได้เพียงเท่านี้
จากนั้นภาพในหัวแปรเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ยามที่เธอตกเนินลงมา เครื่องมือของกู้ภัยไม่อาจยื้อชีวิตรสาไว้ได้ นักข่าวรุมถ่ายภาพ ชาวบ้านที่มารุมตะโกนโหวกเหวกว่าที่แห่งนี้มีอาถรรพ์ต่อให้ไม่มีฆาตกรก็สังเวยชีวิตหญิงสาว เมื่อรับรู้เช่นนั้นแล้วรสาหรือในยามนี้คือว่านเฟยเฟิ่งก็หลุดจากภวังค์
“สหายว่าน! สหายว่าน! นั่นเลือดนี่นา” เข่อซินมองเห็นเลือดที่ไหลที่เกาะเลอะอยู่เมื่อเฟยเฟิ่งหันข้างทักขึ้น
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ฉันชื่อว่านเฟยเฟิ่งงั้นเหรอ นี่ปีอะไร” รสาที่เริ่มรับรู้ความจริงของสถานการณ์ตรงหน้าถามออกไป
“1980 จำไม่ได้สักนิดหรือ” เข่อซินมีสีหน้ากังวลฉายชัดออกมา ทำให้เด็กทั้งสองเริ่มดูกังวลตามไปด้วย
“เด็กๆ ไปดูแลคุณย่าเถอะนะ มะ…เอ่อน้า น้าขอคุยกับเพื่อนของพ่อพวกเธอก่อน”
“สหายว่านต้องไปหาหมอนะ”
“นอกจากที่จำอะไรไม่ได้ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติอีก เดี๋ยวแผลหายก็คงปกติแล้วค่ะ” รสากล่าวตอบออกไปพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้ามีอะไรก็เขียนจดหมายไปบอกสามีด้วยล่ะ เดี๋ยวให้เงินครบทุกบ้านก็ต้องรีบกลับไปแล้ว ระวังไว้อย่าให้ใครรู้เรื่องความทรงจำ คนในหมู่บ้านจะเอาเปรียบเอาได้” จางเข่อซินพูดจบก็จากไปก่อนจะหันกลับมามองกระเป๋าที่กองอยู่หน้าบ้านซีอีกครั้ง
นั่นทำให้รสาที่ยืนส่งอยู่หน้าบ้านมองตามแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา เก็บกระเป๋าทั้งสองใบเข้าบ้าน มองดูเด็กๆ ยกชามโจ๊กเข้าไปในห้องนอนด้านขวา ส่วนรสาก็หันไปส่องกระจกบานที่ใหญ่พอจะเห็นทั้งใบหน้า แล้วเธอก็ต้องยอมรับว่าต่อแต่นี้เธอคือว่านเฟยเฟิ่งสะใภ้ชาวนาผู้มีลูกเลี้ยงให้ดูแลถึงสองคน
“ก็ดีแฮะ! ได้ทะลุมิติมาเหมือนนางเอกนิยายจีนเป๊ะๆ คิกๆ”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ