สองสามีภรรยาทำเพียงยืนมอง หลังจากพยายามห้ามปรามลูกสาวแล้ว แต่ถังลู่เหมยยังคงแกล้งบ้า พร้อมกับโต้ตอบย่าถังอย่างไม่ยอมหยุด
ถ้อยคำพวกนั้นทำให้หญิงชราดิ้นไม่ต่างจากปลาโดนน้ำร้อน พยายามเข้าไปทำร้ายหลานสาวแต่กลับโดนถังเยี่ยมายืนขวางไว้
“อย่านะครับแม่” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาเสียงแข็ง
“นี่แกเข้าข้างลูกแกหรือเจ้ารอง” ย่าถังหันมาโวยวายใส่ลูกชายที่ขัดขวางนางไว้
“แล้วแม่จะให้ผมยืนดูแม่ตีอาเหมยเหรอครับ ผมคงยอมให้แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้” ถังเยี่ยย้อนกลับเข้าให้ เขาไม่คงไม่มีทางที่มองลูกสาวถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาแน่ ๆ แม้ว่าคนที่จะทำร้ายจะเป็นแม่ของเขาก็ตาม
“แกไม่เห็นหรืออย่างไร ว่านังเด็กนี่มันกำลังด่าฉัน” ย่าถังยังโวยวายไม่หยุด พร้อมกับชี้หน้าถังลู่เหมยที่แลบลิ้นใส่นาง
“แม่จะถือสาอะไรกับอาเหมย แม่ก็รู้อาเหมยสติไม่สมประกอบ ผมคิดว่าแม่กลับบ้านไปเถอะครับ อยู่ไปก็มีแต่เรื่องแต่ราว ผมก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน” ถังเยี่ยตอบกลับมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
พอเจอคำพูดของลูกชาย ย่าถังจึงทำเพียงข่มอารมณ์และสะบัดหน้าเดินหนีกลับบ้านตนเองด้วยความโมโห
พอเห็นว่าย่าถังมหาภัยจากไปแล้ว ถังลู่เหมยลอบยิ้มสะใจ ก่อนจะทำเป็นก้มหน้าเล่นมือของตัวเองเงียบ ๆ ส่วนพ่อแม่ก็มองไปที่ลูกสาวด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากตอนนี้ถังลู่เหมยค่อนข้างแปลกไปตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วย
พอเห็นว่าพ่อกับแม่ลอบมองด้วยความแปลกใจ ถังลู่เหมยจึงเดินกลับเข้าห้องพร้อมกับบ่นว่า หิว หิว ทำให้เหนียงฟางรีบตามเข้าไปเพื่อดูอาหารให้ลูกสาว ส่วนถังเยี่ยก็เดินกลับไปที่คอมมูนเพื่อทำงานอีกครั้ง
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง ถังลู่เหมยก็ได้นั่งมองถ้วยข้าวต้มที่สามารถนับเม็ดข้าวได้เลยว่ามีกี่เม็ดเพราะส่วนใหญ่มีแต่น้ำข้าวด้วยความอนาถใจ
‘นี่ฉันต้องกินข้าวอย่างนี้เหรอเนี่ย ต่อให้ทำงานแทบตายก็ไม่เคยมีความดี แถมยังไม่ได้กินของดี ๆ อีกต่างหาก แล้วแบบนี้ทุกคนในบ้านจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร’ หญิงสาวได้เพียงคิดในใจเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เธออาจจะเป็นที่จับตามองของพ่อกับแม่อยู่ก็ได้
แม้จะไม่อยากกินสักเท่าไหร่ แต่เพราะความหิวทำให้ถังลู่เหมยต้องกินน้ำข้าวต้มถ้วยนี้จนหมด
“กินข้าวหมดแล้วก็กินยาสักหน่อยนะลูก อาการจะได้ดีขึ้น”
เหนียงฟางถือถ้วยยาเข้ามาในห้อง ก่อนจะยื่นให้กับลูกสาวพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น
“ขม ไม่กินนะ ขม” ถังลู่เหมยไม่พูดเปล่า เธอยังสะบัดมือไปมาพร้อมกับส่ายหน้าและขยับไปนั่งติดฝาผนัง บ่งบอกว่าเธอไม่ต้องการกินยาถ้วยนี้ ‘ให้ตายเธอก็ไม่ยอมกินยาน้ำดำปี๋ถ้วยนี้เด็ดขาด’
“แต่ถ้าลูกไม่กินยา ลูกจะไม่หายนะอาเหมย” เหนียงฟางเข้าใจว่าลูกไม่ต้องการกินยาจึงได้พยายามหว่านล้อมอีกครั้ง
“อาเหมย หายแล้ว จริง ๆ นะ หายแล้ว ไม่กินยา ขม” หญิงสาวเองก็ยืนยันความคิดตนเองด้วยการพยักหน้ารัวๆ สลับกับส่ายหน้ารัวๆ เพื่อบ่งบอกว่าให้ตายก็ไม่กินยาถ้วยนี้เด็ดขาด
เมื่อบังคับลูกไม่ได้ เธอจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา แต่ก็ไม่อยากบังคับ จึงพูดขึ้นอย่างยินยอม
“ไม่กินก็ไม่กิน ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะ อย่าดื้อนะ จะได้หายเร็วๆ แม่จะไปช่วยพ่อทำงานก่อน” พอเห็นว่าลูกสาวอาการดีขึ้น เหนียงฟางเลยตั้งใจว่าจะไปทำงานเสียหน่อย
“อืม อาเหมยไม่ดื้อ อาเหมยเด็กดี” ถังลู่เหมยพยักหน้าตอบกลับ แล้วก็ล้มตัวนอนพร้อมกับมุดใต้ผ้าห่มที่แสนจะบางจนแทบจะกันลมหนาวอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเห็นว่าลูกสาวนอนหลับแล้ว เหนียงฟางจึงเดินออกมาโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ ก่อนจะไปที่คอมมูนเพื่อลงคะแนนทำงาน
ทันทีที่รู้สึกว่าแม่ออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวก็เปิดหน้าออกมาจากผ้าห่ม ก่อนจะนอนมองเพดานและคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อดตายแน่ ๆ สวรรค์หนอสวรรค์ทำไมไม่ส่งไปเกิดที่ดี ๆ สักหน่อย หรือไม่ก็น่าจะมีอะไรให้สักนิดก็ได้ อยู่ในยุคนี้ ยุคที่ขาดแคลนในเรื่องของอาหาร คนจนแทบไม่มีกินแบบนี้จะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยได้แต่พูดกับตัวเอง ในใจนั้นหวาดหวั่นว่าเธอจะอดตายเสียก่อนที่จะหายบ้าน่ะสิ
“เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ ตอนที่เราเป็นวิญญาณ เหมือนจะเห็นว่ามีต้นโสมและเห็ดหลินจืออยู่ในป่านี่นา หากเก็บแล้วขุดไปขายก็คงจะได้เงินไม่น้อย” หญิงสาวคล้ายกับนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เป็นวิญญาณเร่ร่อน เธอพบเจอต้นโสมแล้วเหมือนจะเห็นเห็ดหลินจือจำนวนมากมายด้วยเหมือนกัน
ถังลู่เหมยคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
ย้อนกลับมาทางด้านของถังอี้คุน พอออกมาจากบ้านแล้วชายหนุ่มก็ขึ้นเกวียนและมุ่งตรงไปยังตลาดมืดทันที ในใจนั้นหวังว่าจะมีคนจ้างให้ทำงาน อย่างน้อยเขาก็จะสามารถเอาเงินในส่วนนี้ไปซื้อยาของพวกฝรั่งที่ได้ผลดีให้น้องสาวได้กินแทนยาต้มที่น้องสาวไม่ชอบกิน
“อ้าววันนี้มารับจ้างหรืออาคุน หายไปนานเลยนะ” เถ้าแก่คนหนึ่งในตลาดมืดเอ่ยทักทายขึ้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเข้ามาที่นี่
“ครับเถ้าแก่ มีงานอะไรให้ผมทำ บอกได้เลยนะครับ ผมไม่เกี่ยงงาน ไม่ว่างานนั้นจะหนักสักแค่ไหน” ถังอี้คุนรีบตอบกลับไปทันที ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเลือกงานอยู่แล้ว วันนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่างานอะไรเขาก็พร้อมที่จะทำทั้งนั้น
“ได้สิอาคุน เดี๋ยวช่วงสาย ๆ จะมีของเข้ามาที่ร้าน นายมาช่วยขนของก็แล้วกัน” เถ้าแก่พูดขึ้นอย่างใจดี ความจริงแล้วคนงานของเขาก็มีเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องจ้างคนนอกเข้ามาช่วย แต่ดูเหมือนถังอี้คุนน่าจะเดือดร้อนเรื่องเงินถึงได้วิ่งเข้ามารับจ้างในวันนี้ เขาจึงจะให้ความช่วยเหลือสักหน่อย
“ขอบคุณมากครับเถ้าแก่ เดี๋ยวช่วงสาย ๆ ผมจะมาอีกครั้ง” ชายหนุ่มตอบรับอย่างยินดี ก่อนจะเดินไปถามตามร้านต่าง ๆ ที่เขาเคยรับจ้างไว้ ซึ่งก็มีงานให้ทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธ จวบจนถึงเวลานัดจึงเดินกลับมาที่ร้านเถ้าแก่อีกครั้ง
วันนี้ถังอี้คุนรับจ้างทำงานให้เถ้าแก่ได้เงินมาหนึ่งหยวนกับห้าเหมา ซึ่งเขารู้ดีว่าเงินจำนวนนี้ไม่พอที่จะซื้อยาดี ๆ ให้กับน้องสาว เลยตัดสินใจว่าจะอยู่หางานอีกสักพัก
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ ฉันมีเรื่องสอบถามสักเล็กน้อยได้ไหม”
หญิงสาวหน้าตาดี การแต่งกายไม่ต่างจากคุณหนูคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดถามกับชายหนุ่มที่กำลังเดินหางาน
“ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณต้องการจะถามเรื่องอะไร” ถังอี้คุนพยักหน้าตอบกลับ พร้อมกับคิดในใจ ‘ดูจากการแต่งกายแล้วหญิงสาวคนนี้แล้วน่าจะเป็นลูกผู้ดี แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่สถานที่อย่างนี้ได้ล่ะ’
“ฉันได้ยินมาว่าตลาดมืดแห่งนี้มีร้านขายนาฬิกา เลยอยากจะซื้อให้เป็นของขวัญคุณพ่อ คุณพอจะแนะนำร้านขายสินค้าพวกนี้หรือพาฉันไปซื้อได้ไหม แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันมีค่านายหน้าให้” หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่าเหมยฮวา เธอเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้ได้ไม่นาน แต่พอจะซื้อของขวัญวันเกิดให้กับบิดา ได้เห็นใครหลายคนบอกว่าตลาดมืดแห่งนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ วันนี้เธอเลยตัดสินใจเข้าซื้อสักหน่อย แต่เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่จึงเดินมาสอบถามชายหนุ่ม
“ถ้าเป็นนาฬิกา คุณสามารถไปซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าของรัฐได้เลยนะครับ แต่ที่นั่นอาจจะต้องใช้คูปองร่วมด้วย ส่วนตลาดมืดแห่งนี้ หากจะถามว่ามีร้านที่ขายไหม มีครับ คุณลองตัดสินใจดูว่าจะซื้อที่ไหน แล้วคุณต้องการนาฬิกาแบบไหนครับ” ถังอี้คุนตอบกลับไปอย่างใจกว้าง
“ฉันต้องการนาฬิกาที่ไม่เหมือนใคร ราคาเท่าไหร่ฉันไม่เกี่ยง คุณพอจะแนะนำได้ไหม” เหมยฮวาลองไปดูที่ห้างสรรพสินค้าแล้วแต่ไม่ถูกใจ สำหรับเธอมองรู้ว่ามันธรรมดาเกินไป เลยอยากรู้ว่าที่นี่มีดีกว่าในห้างสรรพสินค้าหรือไม่
ถังอี้คุนชั่งใจเล็กน้อย เพราะกลัวว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ หากเขาพาไปที่ร้านลับ ไม่แน่ว่าจะเกิดอันตรายไปด้วย
เหมยฮวาเหมือนเข้าใจความรู้สึกของเขา เธอจึงอมยิ้มและพูดขึ้นมา “คุณไม่ต้องกลัวว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่หรอกนะคะ ฉันเองก็เป็นคนธรรมดาที่มาทำธุรกิจในเมืองนี้ แต่เพราะอยากหาของขวัญให้กับคุณพ่อ ซึ่งมีคนบอกว่าให้มาหาซื้อในตลาดมืดจะได้มีสินค้าแปลก ๆ ฉันก็เลยมาเท่านั้นเอง”
พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นถังอี้คุนก็พยักหน้า แล้วตอบกลับมาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ตามผมมา ผมพอจะรู้จักร้านขายนาฬิกาดี ๆ อยู่ แต่อย่างไรก็ตัดสินใจเอาเองนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” เหมยฮวาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไป
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั