บทที่ 4 เด็กแสบ
ฝั่งด้านหลี่มี่นางเดินรับลมมาเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะเดินไปทางใดทำให้นางเริ่มสับสนว่าที่ที่นางอยู่นี่คือที่ใดกัน เมื่อเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงเด็กชายที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านหน้า
“เสียงเด็กผู้ชายนี่น่าหรือว่าจะเป็นเจ้าก้อนแป้งนะ ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะน่ารักเหมือนในนิยายหรือเปล่า” หลี่มี่รีบย่างเท้าไปด้านหน้าเพื่อพบกับ ‘อ้ายเยว่’ อายุห้าขวบ บุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นขาดความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เขาเอาแต่ใจตนเองและไม่ชอบเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะคิดว่านางจะมาแย่งความรักของท่านพ่อไปจากเขา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เห็นว่าเด็กชายแก้มตุ้ยนุ้ยอวบอ้วนกำลังรังแกสัตว์อยู่นางรีบเข้าไปห้ามทันทีไม่อยากให้เด็กชายนิสัยเสียไปกว่านี้
“หยุดนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เด็กชายหยุดรังแกสัตว์พร้อมหันไปมองที่มาของเสียง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเด็กชายมีท่าทางเปลี่ยนไปทันที
“ชิ! ข้าคิดว่าใครที่แท้ก็คนที่มาแย่งท่านพ่อไปจากข้า มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า ไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย” เด็กชายไม่ได้เกรงกลัวแถมยังแสดงท่าทีอวดเก่งใส่นางอีกด้วยซ้ำ
"ตัวแค่นี้ปากเก่งเสียจริงนะ" หลี่มี่อดไม่ไหวกับแก้มตุ้ยนุ้ยและท่าทางอวดดี นางจับแก้มของเด็กชายบีบไปมาอย่างเอ็นดู
" ปล่อยนะอย่าทำเช่นนี้กับข้า แม่นมช่วยข้าด้วยข้าถูกแม่มดใจร้ายรังแก" เด็กน้อยเริ่มร้องโวยวายเสียงดังให้แม่นมที่อยู่ใกล้ ๆ เข้ามาช่วย
"ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเสียหน่อย แค่ห้ามไม่ให้เจ้าทำในสิ่งที่ผิดเท่านั้นเอง " อ้ายเยว่จ้องมองแววตาที่เต็มไปด้วยความโมโหที่ถูกห้ามมิให้ทำตามใจตน ดวงตาใบหน้าช่างราวกับท่านแม่ทัพถอดแบบมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
"เช่นนั้นข้าไม่รังแกสัตว์ตัวนั้นก็ได้แต่ข้าจะรังแกท่านแทน" หลี่มี่คิดไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็กจะกล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่ไม่ทันที่นางได้เอ่ยอันใดเด็กชายกำลังจะนำไม้ที่อยู่ในมือเมื่อครู่ฟาดเข้าที่ขาของนาง
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!! "เสียงดังคำรามจากด้านหลังก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองต่างพากันมองไปยังเจ้าของเสียง เมื่อเด็กชายเห็นสีหน้าสลดลงมองต่ำ
"อ้ายเยว่วางไม้ลงเดี๋ยวนี้!! เจ้าคิดจะทำอันใด" น้ำเสียงเข้มขรึมเอ่ยออกมาสุดเสียงเด็กชายรีบโยนไม้ในมือทิ้งอย่างรวดเร็ว
"ข้ามิได้ทำอันใดนะท่านพ่อ เพราะนางนางเข้ามารังแกข้าก่อน ข้าจึงป้องกันตัวเท่านั้น" นิ้วน้อย ๆ ของเขาชี้มาทางหลี่มี่ นางเอียงคอฉงนใจเพราะเมื่อครู่มิใช่นางหรอกหรือที่กำลังถูกรังแกเหตุใดเด็กน้อยคนนี้ถึงเอ่ยออกมาเช่นนี้ เพราะไม่ชอบนางสินะ ในนิยายฉากนี้ดูเหมือนเยิ่นเม่ยเม่ยจะถูกเด็กชายใช้ไม้ทุบตีที่ขาจนล้มลง แม้ท่านแม่ทัพเดินผ่านมาเขาหาสนใจไม่แต่คราวนี้แตกต่างออกไปเพราะนางจะไม่ยอมให้เด็กชายรังแกนางได้อีก
“อะไรกัน.. บุตรชายของท่านแม่ทัพกำลังโกหกนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าต่างหากกำลังโดนรังแก เหตุใดถึงมาใส่ความข้าเช่นนี้” เทียนหลันเซ่อมองทั้งสองสลับกันไปมาก่อนจะถอนหายใจตัดสินใจในเรื่องนี้
“เอาล่ะ ๆ เรื่องนี้อ้ายเยว่เองก็ผิดแต่เขาเองยังไม่ได้ทำอันใดให้เจ้าบาดเจ็บ” เขาบอกกับหลี่มี่เพื่อหยุดต่อว่าอ้ายเยว่ในเรื่องนี้ ส่วนเด็กชายเมื่อเห็นท่านพ่อเข้าข้างตัวเองก็ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะแอบแลบลิ้นใส่หลี่มี่ราวกับว่าตนเองเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
“ส่วนเจ้าอ้ายเยว่เจ้ามิควรทำเช่นนี้กับสตรีนางนี้ เพราะต่อจากนี้ไปนางคือท่านแม่ของเจ้าหากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะสั่งลงโทษให้เจ้าอ่านหนังสืออยู่ในแต่ห้องห้ามออกมาเดินเล่นเข้าใจหรือไม่? แม่นมพาคุณชายไปกินอาหารเช้าเถิดและช่วยห้ามปรามเวลาที่เขาจะรังแกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยด้วยเพราะทุกชีวิตมีล้วนมีหัวใจ เจ้าเข้าใจที่ข้าเอ่ยออกมาหรือไม่อ้ายเยว่” ซาลาเปาก้อนโตใบหน้าบูดบึ้งเมื่อถูกท่านพ่อของตนตำหนิ หลี่มี่ที่มองอยู่ก็พอใจไม่น้อยที่เขาสั่งสอนบุตรชายด้วยเหตุผล
“ขอรับท่านพ่อจากนี้ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านพ่อ”
"ดีเช่นนั้นเจ้าไปกินอาหารเช้าเถิด จะได้ไปร่ำเรียกับท่านอาจารย์" เทียนหลันเซ่อเอ่ยบอกกับบุตรชายแม่นมรีบเข้ามาพาตัวคุณชายไปที่ห้องของเขา ตอนนี้ที่ตรงนี้เหลือเพียงหลี่มี่กับท่านแม่ทัพ นางไม่อยากสู้หน้าเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืนจึงหันหลังกำลังเดินหนีอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ถูกเขาจับได้
“ฮูหยินจะรีบไปที่ใดหรือ" และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะจับได้แล้วว่านางกำลังจะหลบหน้า
"ข้าไม่ได้จะไปทางใดเพียงเห็นดอกไม้ที่อยู่ทางด้านนั้นสวยงามดีเจ้าค่ะเลยจะไปดูสักหน่อย แฮะ แฮะ"
"คิดว่าเจ้าจะหนีหน้าข้าเสียอีก เรื่องดอกไม้เอาไว้ก่อนเถิด เช้านี้เรามีเรื่องที่จะต้องทำเสียก่อน " แม่ทัพมองนางด้วยสายตาหื่นกระหายจนทำให้หลี่มี่ถอยหลังหนีอีกรอบ
" เมื่อคืนนี้ท่านทำเอาข้าแทบไม่ได้พักยังต้องการอีกหรือเจ้าคะ? ข้าปวดระบมไปทั้งตัว" หลี่มี่รีบแสร้งทำเป็นปวดเนื้อปวดตัวแต่เขากลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
"นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน เรื่องที่ข้าบอกว่าต้องทำคือการที่เจ้าเข้ามาอยู่ในจวนของข้าในฐานะฮูหยินเช้านี้เจ้าต้องไปยกน้ำชาให้ท่านแม่ของข้านะสิ หรือว่าข้าจะเปลี่ยนไปพาเจ้ากลับไปที่ห้องดี เมื่อคืนนี้ข้ายังไม่พอใจเลยท่านแม่คงเข้าใจหากข้ากับเจ้าอยากจะใช้เวลาร่วมกันอีกสักหน่อย " เทียนหลันเซ่อเอ่ยพลางขยับกายใช้แขนขวากอดหลี่มี่มาข้างกายจะพานางเดินกลับไปที่ห้อง
"ข้าว่าท่านพาข้าไปยกน้ำชาจะดีกว่า ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ของท่านไม่พอใจที่ลูกสะใภ้อย่างข้าทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องตั้งแต่ครั้งแรก " หลี่มี่รีบกล่าวชวนเขาไปที่ห้องของท่านแม่ของเจ้าจะดีกว่ากลับห้องของตน เพราะนางเชื่อว่าอย่างไรเขาไม่ปล่อยให้นางรอดไปอีกแน่ ๆ
"ฮูหยินข้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามเจ้า มาเถิดห้องท่านแม่เดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหน้าก็ถึงแล้ว" เทียนหลันเซ่อโอบไหล่ของนางให้เดินตามตนเองไป
"เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านแม่ทัพช่วยนำมือของท่านออกจากตัวของข้าก่อนได้มั้ยเจ้าคะ? ในเรือนของท่านสาวใช้มากมายไหนจะทหารของท่านอีก ข้าอายเจ้าค่ะ" หลี่มี่พยายามปัดมือของเขาออกแต่ทว่าเขากลับกอดนางแน่นมากกว่าเดิม
"เจ้าจะอายทำไมไม่มีผู้ใดกล้ามองเจ้ากับข้าหรอกนะ รีบเดินมาเถิดหากเจ้าชักช้าข้าเกรงว่าข้าอาจจะเปลี่ยนเส้นทาง" หลี่มี่รีบเดินย้ำเท้าทันทีที่เขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น ห้องของท่านแม่อยู่ห่างจากเรือนของท่านแม่ทัพไม่ไกลมากหลี่มี่สำรวจระหว่างทาง ทางไปที่เรือนของท่านแม่สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้มากมายหลายชนิด ในเรือนของท่านแม่ทัพช่างกว้างใหญ่ แต่ละเรือนจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน เรือนที่หลี่มี่อยู่จะมีห้องของท่านแม่ทัพห้องของหลี่มี่ห้องโถงห้องทำงานของท่านแม่ทัพ ส่วนห้องของอ้ายเยว่อยู่อีกคนละหลัง หลี่มี่เดินไปพลางครุ่นคิดจะทำอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าของท่านแม่ในนิยายนางไม่ชอบขี้หน้าเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะเป็นเพียงบุตรสาวของรองแม่ทัพไม่ได้มียศสูงศักดิ์อะไร แต่นางก็มิอาจขัดใจบุตรชายได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในจวนแห่งนี้นางก็มักจะยุแยงให้บุตรชายหรือแม้กระทั่งหลานชายเกลียดเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะอยู่คนละระดับชั้นกัน อีกอย่างนางมีสตรีที่จัดเตรียมไว้ให้ลูกชายของนางไว้ก่อนหน้าแล้ว จึงทำทุกวิถีทางกำจัดเยิ่นเม่ยเม่ยไปให้พ้น ยิ่งคิดหลี่มี่ยิ่งกังวลถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว
"เฮ้อ!.." เทียนหลันเซ่อที่โอบนางเดินเคียงข้างได้ยินเข้าเห็นสีหน้ากังวลของนางจึงเอ่ยออกมาเพื่อปลอบให้นางเลิกกังวล
"ฮูหยินเจ้ากังวลหรือที่จะได้พบท่่านแม่ของข้าในวันนี้ เจ้าทำใจให้สบายเถอะนะ ท่านแม่แม้จะดูดุนิดหน่อยแต่ท่านแม่เป็นคนดีมีเหตุผลเจ้าเลิกกังวลเถิดดูสิคิ้วเจ้าขมวดจนติดกันไปหมดแล้ว"
'คนดีมีเหตุผลอะไรกัน ฉันเป็นคนแต่งย่อมรู้ดีกว่าท่านเยอะ ชิ!! ' หลี่มี่คิดในใจก่อนจะยิ้มร่าออกมา
"เจ้าค่ะ " เพื่อแสร้งให้เขารู้ว่านางมิได้เกรงกลัวแถมเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่
ทั้งสองเดินผ่านสวนดอกไม้มาก็พบเรือนประดับตกแต่งอย่างสบายตาสะอาดสะอ้าน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเทียนหลันเซ่อปล่อยแขนออกจากตัวของนาง เดินนำหน้าเข้าไปด้านในเมื่อสาวใช้เห็นรีบเข้ามาหาทันที
"ท่านแม่ทัพมาหาฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ"
"ใช่แล้ว ท่านแม่อยู่ที่ใด"
"ฮูหยินผู้เฒ่ามีแขกอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ"
"มีแขกหรือ ไม่เป็นไรเจ้าช่วยไปเตรียมน้ำชามาให้ข้าที ข้าจะพาฮูหยินไปยกน้ำชาให้ท่านแม่" สาวใช้เงยหน้ามองหลี่มี่ก่อนจะโค้งตัวลงน้อมรับคำสั่งของท่านแม่ทัพ
"เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ข้าน้อยจะรีบนำไปให้นะเจ้าคะ" หลี่มี่รู้สึกได้สายตาทุกคนในเรือนต่างก็พากันมองนางด้วยสายตาแปลก ๆ
"เจ้ามองสาวใช้มีเรื่องอันใดหรือ จริงสิเจ้าเองยังไม่มีสาวใช้คอยดูแลเข้าพบท่านแม่ข้าจะให้ท่านแม่จัดการเรื่องนี้ให้มาเถิดห้องโถงอยู่ด้านนี้ "เขาพานางเดินไปทางซ้ายมือไปยังห้องโถงใหญ่
"ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ" เอ่ยเสร็จนางก็เดินตามหลังเขาไป
บทที่ 4 เขาคือคนที่ฉันคิดถึงมาตลอดไม่นานนักเซ่อเหลียนได้กลับมาพร้อมยาที่เขาตั้งใจไปซื้อมาให้เธอเขาเดินเข้ามาในห้องของหลี่มี่ได้ยินเสียงน้ำที่หยดลงพื้น เขาจึงเดินไปที่ห้องครัวของเธอเปิดตู้เย็นเพื่อดูของจะทำอาหารให้เธอได้กินเช้านี่แต่กลับไม่เห็นอาหารที่มีประโยชน์เลยมีเพียงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น"เธอใช้ชีวิตอย่างไรเนี้ยะ! ทำไมไม่มีอะไรกินเลย” เขาบ่นพึมพำอยู่หน้าตู้ก่อนจะคว้าอาหารสำเร็จรูปมาต้มให้เธอได้กินก่อนจะกินยาหลี่มี่อาบน้ำเสร็จเธอเดินออกมาจากห้องน้ำผมยังไม่แห้งดีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ออกมาจากเธอทำให้เขาหันไปมองเพราะตอนนี้เธอมายืนดูเขาอยู่“ทำอะไรเหรอ”“หาอะไรทำให้คุณกินนะสิ ทำไมไม่มีอะไรเลยนอกจากอาหารสำเร็จรูปแบบนี้”“เฮ้อ! นายไม่ต้องสนใจการอยู่การกินของฉันหรอกนะ มานี่ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายมากมายเรื่องกินเอาไว้ก่อน” เธอดึงมือของเขาออกจากห้องครัวไปนั่งที่โซฟาเพื่อตกลงเรื่องที่เกิดขึ้น“เรื่องที่จะพูดคงไม่คิดผลักไสไล่ส่งผมหรอกนะ รู้มั้ยว่าคุณคือคนที่พรากความบริสุทธิ์ของผมไป” เซ่อเหลียนกลัวว่าเธอจะไม่ให้เขาได้เจอเธออีกเลยเอ่ยออกมาแบบนี้“เฮ้อ! ฉันไม่เข้าใจนายเลย เอาอย่างนี้หากเรื่องที่เก
บทที่ 3 ฉันจะรับผิดชอบเองเมื่อพาเธอเข้านอนเขาได้จัดแจงนำกระเป๋าของเธอวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง สายตาของเขาจ้องมองรอบ ๆ ห้องของหลี่มี่เห็นรูปที่เธอสั่งวาดช่างเหมือนเขาเหลือเกิน ยิ่งทำให้เขาดีใจที่เธอไม่เคยลืมเขาแม้แต่น้อย“ดีใจจังเลยที่เธอไม่เคยลืมฉัน ...คงเสียใจมากสินะที่กลับมาทั้งอย่างนี้ เธอเป็นคนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของฉัน ขอบคุณนะหลี่มี่” เขาหันมามองเธอที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนที่เขาจะกลับบ้านของตัวเองได้เข้าไปนั่งข้างเธอยื่นมือไปลูบหน้าของเธอย่างอ่อนโยน“ดูสิไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้เธอยังคงงดงามเช่นเดิม” เขาลูบหน้าของเธอก่อนจะลุกเพื่อกลับบ้านแต่แล้วหลี่มี่กลับจับมือของเขาเอาไว้แน่นละเมอออกมาเสียงแผ่วเบา“อย่าไปนะ อย่าจากฉันไป อึก อึก ฉันเหงาเหงามากเหลือเกิน” แม้ว่าเธอจะไม่ลืมตาแต่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ“เธอใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีใครมาตลอดอย่างนั้นเหรอ แล้วอย่างนี้ฉันจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากโอบกอดเธอได้อย่างไร” เซ่อเหลียนใช้มืออีกข้างเช็ดหยาดน้ำตาให้หลี่มี่ส่วนมืออีกข้างของเขาตอนนี้ถูกเธอกอดเอาไว้แน่น เขาพยายามแกะมือของเธอออกอย่างแผ่วเบากลัวว่าเธอจะตื
บทที่ 2 เจอกันอีกครั้งหลังจากที่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนจึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีการรับรางวัลมีรายชื่อของนักเขียนหลี่มี่ที่เขาต้องการพบ เซ่อเหลียนจึงตั้งใจจะไปพบเธอให้ได้ เขาเฝ้ารอการพบเจอจนกระทั่งได้เห็นเธอขึ้นไปบนเวทีรับรางวัล ใบหน้าของเธอช่างเหมือนเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างไรอย่างนั้น ตอนที่เธอพูดถึงหนังสือเรื่องนี้ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลในครั้งนี้ เขายิ่งมั่นใจว่าเธอคือคนที่เขาตามหา"นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครทุกเหตุการณ์ที่ฉันบรรจงแต่งออกมาแต่ละบทความฉันใช้ความรู้สึกของฉันเขียนไปด้วย เมื่อตัวละครมีความสุขฉันก็มีความสุขหากเมื่อไหร่ที่ตัวละครฉันเสียใจฉันเองก็เสียใจไม่น้อยร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันไม่คิดเลยว่านิยายของฉันเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน ขอบคุณนะคะสำหรับรางวัลนี้และขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนตัวน้อยได้มาโลดแล่นในวงการนี้ฉันขอสัญญาจะตั้งใจเขียนนิยายออกมาให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะ" รอยยิ้มแววตาที่เขาคุ้นเคยแม้กระทั่งน้ำเสียงของเธอเขาจดจำได้ทุกอย่าง น้ำตาแห่งความดีใจได้หลั่งไหลออกมา เขาที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดรีบเช็ดน้ำตาหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตั
บทที่ 1 ทะลุมิติ"เฮือก!!! " ชายนอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงวย มองซ้ายมองขวาต้องตกใจเข้าไปใหญ่ สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยช่างแปลกตายิ่งนัก แม้แต่เตียงที่นอนอยู่ก็มิใช่เตียงที่เขานอนในทุกวัน"ที่นี่ที่ใดกัน!! หรือว่าข้าถูกศัตรูลักพาตัวมา ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ต้องหาผู้บงการในครั้งนี้เพื่อจัดการให้สิ้นซาก" เทียนหลันเซ่อลุกขึ้นจากเตียงมองพนังสีขาวเป็นห้องสี่เหลี่ยมเดินสำรวจก่อนจะเปิดประตูค่อย ๆ ย่องเพื่อหลบหนีเขาเดินออกมาต้องตกใจมากกว่าเดิม ด้านนอกมีสิ่งแปลกประหลาดมากกมาย เขามองซ้ายมองขวาไม่พบเจอผู้คนเขามองเห็นโต๊ะที่ไม่เคยเห็นจึงนั่งลงเพื่อครุ่นคิดแต่แล้วเขากลับนั่งทับรีโมททำให้ทวีต่อหน้าได้เปิดขึ้นเสียงดัง ทีวีได้ฉายข่าวเทียนหลันเซ่อไม่เคยเห็นเขาตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"นั่นใครกัน!! ออกมามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเป็นใคร" เขาชี้นิวไปด้านหน้าทีวีพลางกระโดดขึ้นโซฟา จู่ ๆ มีหญิงชราเดินเข้ามาในมือถือทัพทีใบหน้าคิ้วขมวด"อะไรของแกกันห่ะ!!! ตื่นมาโวยวายเช่นนี้ได้อย่างไร เวรกกรรมอะไรของฉันมีลูกโตขนาดนี้แล้วแต่ยังต้องคอยหาเลี้ยงอีก " เทียนหลันเซ่อคิ้วขมวดอย่างสงสัยสตรีด้าน
บทที่ 55 นักเขียนหน้าใหม่หลี่มี่ได้ถูกรับเชิญให้ไปรับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จในงานเลี้ยงฉลองนักเขียนดัง ๆ ระดับแถวหน้าของประเทศ เธอแต่งหน้าอยู่ที่กระจกแม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแต่เธอยังคงคิดถึงเทียนหลันเซ่อพระเอกนิยายตัวเองไม่จางหายเขาไม่เคยหายไปจากใจของเธอเลย แม้กระทั่งน้ำเสียงหรือใบหน้าเธอยังคงจำได้ดีแต่ทว่าตอนนี้เธอไม่ได้ร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาเธอกลับยิ้มออกมาอย่างสุขใจ "เทียนหลันเซ่อปานนี้ท่านจะเป็นอย่างไรนะ รู้หรือไม่ว่าฉันคิดถึง วันนี้เป็นวันที่ฉันประสบความสำเร็จถ้ามีท่านอยู่เคียงข้างคงจะดี เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวสิยังไงทุกวันนี้ฉันก็มีเทียนหลันเซ่ออยู่ข้างกายอยู่แล้ว วันนี้เราไปรับรางวัลด้วยกันนะ" หลี่มี่หยิบหนังสือของตัวเองพร้อมถือออกจากห้องไปพร้อม ๆ กัน ฝั่งด้านเทียนหลันเซ่อหลังจากที่เขากลับมาจากทะเลวันนั้น เยิ่นเม่ยเม่ยดูอ่อนโยนมากกว่าเดิมวาจานิสัยไม่เหมือนเดิมแถมยังเหมือนสตรีที่สูงส่งแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่เหตุใดความรู้สึกของเขาเสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป วันนี้เขามายืนจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าลมเย็นกระทบกาย จู่ ๆ รอยยิ้มใบหน้าที่เขาคิดถึงก็ปรากฎข
บทที่ 54 ลาจากด้วยความรักเทียนหลันเซ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างสุขใจ ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเขาย้อนเวลามาอีกครั้ง หากเป็นเช่นดั่งอดีตเขาก็คงไม่มีทางรู้ว่ามีสตรีที่เขารักและรักเขามาเพียงใด นางเข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตของเขาจริง ๆ หลี่มี่วางมือของเทียนหลันเซ่อพร้อมหันหลังไปมองพลุที่ยังคงถูกจุดอีกหลายดอกบนท้องฟ้า น้ำทะเลไหลมาสัมผัสที่เท้าจนหลี่มี่ต้องก้มมองดูแต่แล้วหัวใจของนางต้องหล่นวูบเมื่อบัดนี้ไม่ใช่แค่เท้าหรือขาของนางที่เลือนรางตอนนี้บนตัวของนางก็เริ่มเลือนรางขึ้นมาเรื่อย ๆ นางไม่เข้าใจทำไมคนอื่นไม่เห็นเหมือนนางหรือมีเพียงแค่นางผู้เดียวที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นางไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นแค่คิดนางก็ใจหายรีบหันไปมองหน้าของเทียนหลันเซ่ออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง "ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ข้าอยากให้ท่านสัมผัสตัวข้าช่วยมอบจูบที่ลึกซึ้งให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ""ได้สิทำไมข้าจะให้เจ้าไม่ได้แค่เพียงจูบ" พูดจบเทียนหลันเซ่อโอบกอดหลี่มี่ก้มลงประทับจูบที่นุ่มนวลหอมหวานแต่ทว่านางกลับรู้สึกเสียใจ เพราะหากเป็นอย่างที่นางคิดนี่จะเป็นจูบสุดท้ายที่นางจะได้รับจากเขา ทั้งสองจูบกันท่ามกลางแสงพลุที่ส่องประ