"ยินดีต้อนรับกลับ"
สถานที่ที่คุ้นเคยปรากฏสู่ครรลองสายตา เซินฝูแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปิติ
เหมือนเวลาช่างเนิ่นนานเหลือเกิน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง...
สำนักเจี๋ยเอิน เป็นสำนักฝึกตนที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังติดอันดับหนึ่งในเจ็ดสำนักที่แข็งแกร่ง หรือหากจัดอันดับกันจริงๆแล้ว สำนักเจี๋ยเอินอยู่ในลำดับที่สอง
ตั้งอยู่แคว้นสวี เขาหลันอวิ๋น โดยตัวสำนักนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาทอดเป็นทางยาวขึ้นไป ยอดเขาย่อยต่างๆก็มีบรรดาผู้อาวุโสได้ครอบครอง
ผู้อาวุโส หรืออาจารย์ในสำนักเก่งกาจไม่เป็นรองสำนักอื่นๆ และมีหลายแขนงวิชาให้ได้เลือกเรียน โดยส่วนมากแล้วศิษย์นอกที่เพิ่งเข้ามาจะได้เรียนรวมกับผู้อื่น และหากแสดงผลงานได้ดี ในตอนที่ได้เข้าไปเป็นศิษย์ใน จะมีการยื่นป้ายเชิญโดยอาจารย์ที่ชื่นชอบเด็กคนนั้น หรือเล็งเห็นความสามารถ
หากทำได้ดี อาจารย์ท่านนั้นจะรับเข้าเป็นศิษย์หลัก และจะได้ขึ้นไปอยู่อาศัยกับอาจารย์ของตนเองที่ยอดเขา
และยิ่งไปกว่านั้น หากได้รับความไว้วางใจจนถึงที่สุดจากอาจารย์ และสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ศิษย์คนนั้น จะได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดต่อจากอาจารย์ของตนเอง
สำนักเจี๋ยเอินนั้น แม้จะกล่าวได้ว่าตนเองเป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สำนักเจี๋ยเอินชื่นชอบการประกอบกิจการเสียมากกว่า
กิจการของสำนักเจี๋ยเอินนั้น แพร่ขยายไปในทุกๆแคว้น และมีกิจการหลายประเภท โดยเปิดรับให้ศิษย์ในสำนักได้ทดลองทำงานในกิจการที่ตนเองชื่นชอบ โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงิน หรือเป็นแต้มสำหรับแลกของ
เช่นเดียวกันกับโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงแคว้นจินที่เซินฝูได้เข้าพัก ที่นั่นก็เป็นกิจการของสำนักเจี๋ยเอินเช่นกัน
แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งนั้น สำนักเจี๋ยเอินก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน มีคำกล่าวหยอกเอินกันที่ว่า สำนักเจี๋ยเอินไม่ยอมขึ้นเป็นสำนักอันดับหนึ่งเพราะเสียเวลาทำมาหากิน เรื่องเงินๆทองๆ สำคัญกว่าเรื่องความแข็งแกร่งอะไรนั่นเป็นไหนๆ
แต่ถึงอย่างนั้นสำนักเจี๋ยเอินเองก็มีกิจการหอคุ้มกันอยู่ด้วย แน่นอนว่าคิวยาวจนต้องจองกันข้ามปี เพราะบุคลากรส่วนใหญ่มักจะเข้าทำงานที่กิจการที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก ดังนั้นคนที่จะทำงานในส่วนของผู้คุ้มกันย่อมเป็นเหล่าศิษย์ที่ได้รับความไว้วางใจเสียมากกว่า เพื่อแลกกับรายได้ หรือจะเป็นการเก็บแต้มก็ตาม
กิจการของสำนักเจี๋ยเอินนั้นมีมากมายจนนับแทบไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โรงน้ำชา เหลาอาหาร โรงเตี๊ยม ร้านขายผ้า ร้านขายอัญมณี หอศาสตราวุธ หอคุ้มกัน กระทั่งหอนางโลมก็ยังมีอยู่ในครอบครอง
สำนักเจี๋ยเอินนั้นนับว่าเป็นสำนักที่ไม่เอาใจใครจริงๆ
และไม่เคยกล่าวแม้แต่ครึ่งคำว่าตนอยู่ฝ่ายไหน
หากว่ากล่าวออกไป เกรงว่าจะต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองไปจนตาย อีกทั้งรุ่นหลังยังต้องมารับผิดชอบกับคำพูดของรุ่นก่อนๆอีก เช่นนั้นคงเรียกได้ว่าเป็นการตายให้คนสาปแช่งเสียแล้ว
ดังนั้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เลือกทางเดินกันเอง รุ่นก่อนจึงไม่เลือกข้าง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจนทุกวันนี้สำนักเจี๋ยเอินยังทำตัวเป็นหลักลอย ไม่ลงหลักปักฐานกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียที
หวังซิ่นเจียพาลูกศิษย์ทั้งสองเดินชมรอบสำนักพร้อมๆกับพ่อบ้านหยางและหยางฉี
ตอนนี้สองบุรุษตระกูลหยางเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เหตุเพราะเป็นคนแซ่เดียวกัน แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตาม
อันดับแรก เมื่อเดินทางมาถึงทางเข้าหลักของสำนักเจี๋ยเอินนั้น คนนอกที่เข้ามาใหม่จะต้องลงชื่อเพื่อรับป้ายหยกสำหรับเข้าออกเสียก่อน เด็กทั้งสามนั้นเป็นศิษย์ใหม่ของเจี๋ยเอินจากแคว้นจิน จึงผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
ติดเล็กน้อยก็แต่สองบุรุษแซ่หยางที่ต้องเข้าสำนักในฐานะผู้ติดตามของหวังซิ่นเจียแทน และในระยะเวลาสองสามเดือนแรกก็ยังต้องติดตามหวังซิ่นเจียอยู่ จนกว่าจะเปลี่ยนมือไปติดตามโจวหมิง
เมื่อผ่านฝ่ายลงทะเบียนแล้ว ทั้งหมดก็พากันเดินเข้ามาในสำนัก เนื่องจากภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาสูง ดังนั้นสิ่งก่อสร้างต่างๆจึงสร้างไล่ลำดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนแรกที่พบเมื่อเดินเข้ามาในตัวสำนัก คือลานฝึกซ้อม เป็นลานที่ใช้ในการเรียนศาสตร์วิชาต่างๆและเป็นพื้นที่กว้างขวาง แบ่งออกได้หลายสนาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างอื่นๆ
ถัดขึ้นไปเป็นห้องเรียนรวม สำหรับเรียนอ่านเขียน หรือเรียนศาสตร์ที่ไม่เน้นปฏิบัติแบบเอิกเกริก เช่นปรุงยา ดนตรีหรือเขียนยันต์อะไรเทือกนั้น
ศิษย์ของสำนักเจี๋ยเอินจะได้เรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนงในเบื้องต้น กระทั่งสอบผ่านทุกศาสตร์ระดับต้นแล้ว จึงจะได้เลือกศาสตร์ที่ต้องการเรียนรู้อย่างจริงจัง
เพราะอย่างนั้นแม้ว่าไม่ใช่ศาสตร์วิชาที่ถนัด แต่คนในสำนักก็เรียกได้ว่าใช้ได้ทุกศาสตร์วิชา
และหากเปลี่ยนใจกลางคันก็ย่อมทำได้เช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่เลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลัก
ในชาติก่อนเซินฝูได้เป็นศิษย์สืบทอดของโจวหมิง ดังนั้นศาสตร์วิชาที่ถนัดจึงเป็นเพลงกระบี่ และวิชาฝ่ามือ
ผู้อาวุโสโจวหมิง มีศักดิ์เป็นถึงรองเจ้าสำนัก ฝีมือในการต่อสู้ไม่เป็นรองผู้ใด แต่มีอุปนิสัยค่อยข้างประหลาด เป็นคนที่ออกจะเฉื่อยชา จะกระปี้กระเปร่าหน่อยก็ตอนที่ได้จับกระบี่เพื่อต่อสู้ งานการอย่างอื่นก็ไม่คิดจะจับ ดังนั้นจึงดันหลังให้ศิษย์พี่คนหนึ่งของผู้อาวุโสท่านอื่นได้ขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าสำนักแทน
เหตุเพราะเคยเห็นอดีตท่านเจ้าสำนักต้องจัดการกับปัญหาต่างๆของกิจการสำนัก และนั่งจมอยู่กับกองกระดาษไปสามวันติด ในตอนแรกโจวหมิงที่รู้ว่าตนนั้นได้รับเลือกเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักนอนจับไข้ไปสามวันเจ็ดวัน
ดังนั้นตอนนี้จึงส่งให้ 'หลิ่วป๋ายซื่อ' เป็นเจ้าสำนักเจี๋ยเอินแทน และแน่นอนว่าเจ้าสำนักอย่างหลิ่วป๋ายซื่อทุกวันนี้ต้องทำงานเยี่ยงทาส ได้แต่สาปส่งโจวหมิงอย่างแค้นเคืองอยู่ทุกวัน
ถัดจากห้องเรียนรวมก็เป็นโถงอาหาร ซึ่งในส่วนนี้ก็นับว่าเป็นกิจการอย่างหนึ่งของสำนักเจี๋ยเอินเช่นกัน ในตอนแรกนั้นสำนักเจี๋ยเอินได้เปิดเหลาอาหารเอง แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาที่ว่าไม่สามารถทำอาหารได้รวดเร็วทันใจผู้ที่มาใช้บริการ
ดังนั้นจึงมีการเปิดให้เช่าพื้นที่ แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเช่าพื้นที่นี้ได้ จะต้องเป็นเหล่าลูกศิษย์ หรืออาจารย์ในสำนักเจี๋ยเอินเท่านั้น
ดังนั้นหลายๆร้านจึงเป็นกิจการที่เหล่าลูกศิษย์บางกลุ่มลงขันกันเพื่อเปิดกิจการ และแน่นอนว่าหากเปิดเล่นๆขำๆไม่นานจะต้องถูกปิดอย่างแน่นอนเพราะเรื่องรสชาติก็เป็นสิ่งสำคัญ
และในชั้นเดียวกันนั้นมีกองกิจการอยู่สามแห่ง
หน้าที่ของกองกิจการคือคอยให้ข้อมูลต่างๆ แลกแต้มคะแนน ของรางวัล สถานที่สำหรับให้คำปรึกษา หรือขออนุญาตเพื่อทำกิจการใดๆก็ตามในสำนัก และที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือกระดานภารกิจ
กระดานภารกิจ จะเป็นกระดานที่ใครจะเป็นผู้มอบภารกิจก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือเหล่าลูกศิษย์ในสำนักด้วยกัน โดยมีค่าตอบแทนเป็นแต้ม เมื่อสะสมแต้มได้ระดับหนึ่งสามารถแลกเป็นเงิน หรือสิ่งของที่ต้องการได้ โดยแต้มเหล่านั้นจะถูกสลักเอาไว้ในป้ายหยกประจำตัว
ซึ่งภารกิจนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่หาสมุนไพร ไปจนถึงปราบอสูร แต่หากพูดถึงชาติก่อน เซินฝูเคยทำภารกิจไปเล่นตลกให้ดู แลกกับแต้มเพียงแค่สิบแต้มด้วย...
และผู้ว่าจ้างคือท่านเจ้าสำนัก เหตุเพราะงานหนักมากไปจึงต้องการความสำราญใจ...
ท่านเจ้าสำนักที่จิตใจเหี่ยวเฉา เพราะดันจับพลัดจับพลูได้มาเป็นเจ้าสำนักแทนโจวหมิง ไม่ว่าจะเล่นตลกแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ท่านเจ้าสำนักเบิกบานใจได้
กระทั่งเซินฝูได้เล่าเรื่องน่าอายของโจวหมิงให้ฟัง ดังนั้นท่านเจ้าสำนักจึงสามารถหัวเราะออกมาได้อย่างสุดเสียงในรอบหลายปี และเซินฝูก็ได้แต้มพิเศษเพิ่มมาด้วย
เรียกได้ว่าขายอาจารย์กินนั่นเอง
แต่เรื่องราวนี้ก็หาได้เป็นความลับ เพราะในภายหลังท่านเจ้าสำนักยกเรื่องนี้ขึ้นมาล้อเลียนโจวหมิงทำให้ความแตก จำได้ว่าโจวหมิงลงโทษให้เซินฝูกินข้าวกับผักต้มและถั่วนานถึงหนึ่งเดือน
ในช่วงเวลานั้น เซินฝูรู้สึกห่อเหี่ยวพอๆกันกับท่านเจ้าสำนักเลยทีเดียว
ในภายหลังมีจดหมายส่งตรงจากท่านเจ้าสำนักว่าต้องการฟังเรื่องน่าอายของโจวหมิงอีก แลกกับหนึ่งร้อยแต้ม แต่เซินฝูปฏิเสธจดหมายนั้นอย่างไม่ใยดี
ตอนนี้เซินฝูมีบทเรียนแล้ว เพราะอย่างน้น ย่อมไม่พลาดซ้ำสอง
การที่ต้องกินข้าวกับผักต้มนั้น แค่เดือนเดียวก็เกินพอ
แต่เมื่อหลิ่วป๋ายซื่อเห็นว่าเซินฝูไม่มีท่าทีว่าจะตอบรับจึงได้ส่งจดหมายมาเรื่อยๆ โดยเพิ่มจำนวนแต้มขึ้นเรื่อยๆ เซินฝูที่ทนไม่ไหวจึงนำจดหมายนี้ไปให้โจวหมิงดู พร้อมทั้งกล่าวปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ตอบรับแม้แต่ครึ่งคำ
โจวหมิงที่ได้เห็นจดหมายหลายฉบับที่ส่งโดยเจ้าสำนักก็ยิ้มเหี้ยม พูดเสียงต่ำ
'เจ้าสำนักแซ่หลิ่ว... กล้าดีนัก...'
ในเย็นวันนั้นโจวหมิงบึ่งไปหาหลิ่วป๋ายซื่อที่ยอดเขา หลังจากนั้นสักพักก็ได้ยินเสียงระเบิดโครมใหญ่ ทั่วทั้งสำนักวุ่นวาย ก่อนจะสงบลงเมื่อหลิ่วป๋ายซื่อกล่าวว่าเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน
แต่หลังจากนั้นเซินฝูก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีจดหมายรังควาญจากท่านเจ้าสำนักอีก
เมื่อได้เป็นผู้อาวุโสแล้วจึงได้รู้ความจริงที่ว่า บทลงโทษให้กินข้าวกับผักต้ม ถูกโยกย้ายไปยังท่านเจ้าสำนักแทน อีกทั้งยังถูกกักขังให้ทำงานแบบลืมวันลืมคืน ล่ามขาเอาไว้ด้วยเชือกเซียน
หลิ่วป๋ายซื่อเรียกได้ว่าทำงานทั้งน้ำตา โดยมีสหายทานข้าวเป็นโจวหมิงทุกมื้อเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ต่างกันที่สำรับของโจวหมิงนั้น ช่างน่าลิ้มลองเสียเหลือเกิน...
หลิ่วป๋ายซื่อจ้องมองมันอย่างสิ้นหวัง สภาพในตอนนั้นน่าเวทนาไม่เบา
หลังจากนั้นหลิ่วป๋ายซื่อจึงไม่คิดลองดีกับโจวหมิงอีก มอบภารกิจนี้ให้กับลูกศิษย์คนอื่นช่วยเยียวยาหัวใจที่เหี่ยวเฉาของท่านเจ้าสำนักด้วยเรื่องตลกอื่นๆแทน
ถัดจากกองกิจการ จะเป็นที่พักของเหล่าศิษย์นอกและศิษย์ในตามลำดับขั้น โดยปกติแล้วเซินฝูและบ่าวทั้งสองที่เข้าใหม่จะต้องพักที่ขั้นนี้
แต่ด้วยความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่โจวหมิงได้ไปร้องขอ(ข่มขู่)ต่อท่านเจ้าสำนัก ทำให้เซินฝูและบ่าวทั้งสองสองได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเทียบเท่ากับเป็นศิษย์หลัก
และแน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับศิษย์คนอื่นเป็นอย่างมาก
เรื่องความขุ่นเคืองในภายหลังโจวหมิงได้กล่าวไว้ว่าให้เด็กๆรับผิดชอบกันเอง
ดังนั้นหวังซิ่นเจียจึงพาเดินผ่านขั้นนี้ขึ้นไปยังยอดเขาที่เป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโส ยอดเขาต่างๆเป็นการบ่งบอกฐานะและระดับพลังของผู้อาวุโสที่ถือครองยอดเขานั้นๆ โดยสำนักเจี๋ยเอินมีผู้อาวุโสที่ได้ครองยอดเขามากถึงสิบสองยอดเขา
ไล่เรียงจากยอดเขาที่อยู่ติดกับส่วนของกองกิจการมากที่สุด ยอดเขาสิบสองของผู้อาวุโสสวีเผิง แท้จริงแล้วเป็นผู้อาวุโสที่มีความสำคัญมากต่อสำนักเจี๋ยเอิน เพราะผู้อาวุโสสวีนั้น เป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธ เป็นผู้ผลิตอาวุธให้กับเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ และศิษย์ที่เหมาะสมในแต่ละปี
โดยผู้อาวุโสสวีนั้นประกอบกิจการโรงตีเหล็กเพื่อผลิตอาวุธหลายแห่ง ซึ่งในสำนักเจี๋ยเอินก็มีอยู่สองแห่ง และกระจายไปตามเมืองหรือแคว้นต่างๆอีกนับไม่ถ้วน
ยอดเขาต่อมาเป็นยอดเขาที่สิบเอ็ดของผู้อาวุโสหยางเจียถิง เป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสหญิง เป็นปรมาจารย์ด้านการรักษา เชี่ยวชาญในศาสตร์ดนตรีเพื่อการรักษาและฟื้นฟู แม้ที่จริงจะสามารถขึ้นไปอยู่ยอดเขาที่สูงกว่านี้ได้ แต่เพราะไม่ต้องการออกห่างจากเหล่าศิษย์นอกจึงได้ปักหลักอยู่ที่ยอดเขาสิบเอ็ด
ผู้อาวุโสหยางนั้น เกรงว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ตนเองจะช่วยศิษย์ผู้นั้นเอาไว้ไม่ทันเวลา ถือว่าเป็นสตรีที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง
ต่างกับเจ้ายอดเขาต่อไปอย่างลิบลับ...
ยอดเขาที่สิบถูกครอบครองโดยผู้อาวุโสหงหลิงเซี่ย สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสอีกคนของสำนักเจี๋ยเอิน เชี่ยวชาญศาสตร์การแพทย์และพิษ
หลายครั้งหลายคราที่ผู้อาวุโสหยางติดภารกิจอื่นๆ ผู้อาวุโสหงจะเป็นผู้ทำการรักษาแทน แต่โดยทั่วไปแล้ว หากทราบกันว่าผู้อาวุโสหยางไม่ได้พำนักอยู่ที่ยอดเขา หรือติดภารกิจอื่น บรรดาศิษย์จะพยายามไม่เจ็บตัว เพื่อจะได้ไม่ต้องรักษากับผู้อาวุโสหง
แม้ว่าผู้อาวุโสหงจะไม่ใช่สตรีร้ายกาจอะไรปานนั้น แต่หากมองในทางจรรยาบรรณแพทย์แล้ว ต้องยอมรับว่าผู้อาวุโสหงนั้นดูห่างไกลจากแพทย์จริงๆไม่น้อย
อีกทั้งยังมีข่าวลือที่ว่าผู้อาวุโสหงนั้นทดลองพิษกับทุกคนที่ก้าวล่วงเข้าไปในยอดเขาของนาง ด้วยข่าวลือนี้ทำให้ยอดเขาที่สิบเงียบสงบมากกว่ายอดเขาอื่นๆ
ส่วนเซินฝูที่ใช้ชีวิตในสำนักนี้มากกว่ายี่สิบปีเมื่อชาติก่อนนั้น ต้องขอบอกเลยว่าข่าวลือนี้...
เป็นข่าวจริงอย่างแน่นอน เซินฝูได้สัมผัสมากับตัว
ยอดเขาที่เก้า เป็นยอดเขาที่ถูกครอบครองโดยผู้อาวุโสหวังเฉิง เป็นผู้เชี่ยวชาญยันต์และค่ายกล อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ออกแบบรูปแบบค่ายกลของสำนักในตอนที่ขึ้นเขามา
ผู้อาวุโสหวังเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาใจดี มีลูกศิษย์จำนวนมาก เพื่อเป็นสายลับคอยเฝ้าระวังทางขึ้นสำนักให้กับคนในสำนัก
และครั้งนี้ที่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นการรับผิดชอบของผู้อาวุโสหวัง หวังซิ่นเจียเองก็ได้แจ้งเรื่องนี้ไปแล้ว ป่านนี้เหล่าสายลับที่อยู่ในป่าก็คงจะโดนเปลี่ยยกชุด ชุดใหม่ได้เข้าทำงาน ส่วนชุดเก่าคงได้ไปขุดแปลงผักให้ผู้อาวุโสหวังที่ยอดเขา
แม้ว่าจะเป็นชายใจดี แต่ไม่ใช่คนหย่อนยาน ดังนั้นเรื่องที่ผิดต้องว่าไปตามผิด
เรื่องที่เสี่ยวเมิ่งเอ่ยตอนที่อยู่ในป่านั้น เสี่ยวเมิ่งต้องการที่จะเป็นสายลับให้กับสำนัก เพื่อกลั่นแกล้งคนที่ตีนเขานั้น สามารถทำได้ หากรับภารกิจของผู้อาวุโสหวัง แต่ว่าต้องมีการฝึกฝนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเมื่อทำงานจริง
ยอดเขาที่แปด เป็นยอดเขาที่ผู้อาวุโสฉีหวงครอบครอง ผู้อาวุโสฉีเชี่ยวชาญวิชากระบี่เช่นเดียวกับโจวหมิง แต่หากพูดเรื่องความสามารถนั้นเรียกได้ว่ายังต่างชั้นอยู่มาก
และอีกอย่างคือ อุปนิสัยของผู้อาวุโสฉีนั้นออกจะไม่น่าคบหายิ่งกว่าผู้อาวุโสหงเสียอีก
โดยปกติแล้วผู้อาวุโสฉีนั้นมีนิสัยอิจฉาริษยาผู้คนไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็อยากจะดีเด่นกว่าใคร แต่เมื่อชาติก่อนจำได้ว่าหวังซิ่นเจียเป็นจัดการเรื่องนี้ ผู้อาวุโสฉีจึงอยู่ในที่ของตนเองอย่างสงบเสงี่ยม แต่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะเป็นอย่างไร
ยิ่งชาตินี้พวกของเซินฝูได้เข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว ผู้อาวุโสฉีจะต้องออกหน้าร้องเรียนอย่างแน่นอน
แต่หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ก็สามารถแสดงฝีมือเพื่อลบล้างข้อครหานั้นได้ อย่างไรแล้วเรื่องที่ขัดใจผู้อาวุโสฉีก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ว่าเซินฝูและบ่าวอีกสองคนมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลักตั้งแต่เข้าสำนักอะไรเทือกนั้น
และยอดเขาที่เจ็ดก็เป็นยอดเขาของวีรสตรีอีกคนของสำนักเจี๋ยเอิน ผู้อาวุโสหลี่หลิวอวี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงกระบี่ และวิชาฝ่ามือเช่นเดียวกันกับโจวหมิงผู้เป็นอาจารย์ของเซินฝู
ในคราแรกเซินฝูเกือบจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหลี่แล้ว ติดแต่โจวหมิงไม่ยอมอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังใช้ตำแหน่งข่มขู่เพื่อให้ได้มา
แต่สุดท้ายแล้วผู้อาวุโสหลี่เองก็ไม่ได้ยินยอม จึงเกิดการปะทะกันระหว่างสองผู้อาวุโสของสำนักเจี๋ยเอิน เรื่องจึงจบที่โจวหมิงชนะขาดลอยและรีบคว้าเอาเซินฝูลงไปที่ยอดเขาของตนเองทันที
ตอนนั้นเซินฝูจำได้ติดตาทีเดียวว่าผู้อาวุโสหลี่สะบักสะบอมเพียงใด โจวหมิงช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา กลั่นแกล้งสตรีคนหนึ่งเสียจนสิ้นท่า อีกทั้งยังทิ้งนางไว้ที่สนามประลองยอดเขาที่หนึ่งของเจ้าสำนักอีกด้วย
นอกนั้นหกยอดเขาแล้ว ล้วนเป็นคนที่รู้จักกันดีเพราะวันที่ทดสอบที่แคว้นจินล้วนได้พบกันหมดทุกคนแล้ว ยกเว้นก็แต่โจวหมิงและหลิ่วป๋ายซื่อสองคน
หวังซิ่นเจียขึ้นมาสองเซินฝูที่ยอดเขาที่สองก่อน เสร็จเรื่องแล้วจึงจะพาคนที่เหลือลงไปยอดเขาที่สามของตนเอง
"โจวหมิงน่าจะรอเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว"
ยังไม่ทันได้พบคน ก็โดนขู่ก่อนเสียแล้ว เซินฝูใจเสียเล็กน้อยเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่เดินทางมา หากเป็นอย่างที่หวังซิ่นเจียกล่าวว่าโจวหมิงก็รู้เรื่องของเซินฝู เช่นนั้นจะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน
"ข้าสามารถไปอาศัยที่ยอดเขาของท่านก่อนได้หรือไม่"
หวังซิ่นเจียหันมามองหน้าของเซินฝูด้วยสีหน้าปลาตาย หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าโจวหมิงคงจะบุกมาสร้างความเดือดร้อนถึงยอดเขาที่สาม
เจ้าเด็กน่าตายนี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังเอ่ยถามให้เป็นเรื่อง
"ไม่ล่ะ แค่เจ้าไปกินๆนอนๆอยู่จวนข้าก่อนหน้านี้ก็เกินพอแล้ว หลังจากนี้ไปอาศัยกับอาจารย์เจ้าเถอะ"
หวังซิ่นเจียปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย
เซินฝูที่ก่อนหน้านี้ทำตัวเกรี้ยวกราดในสนามทดสอบ แข็งข้อกับคนตระกูลจ้าว ฆ่าฟันมือสังหารราวกับผักปลา อีกทั้งยังส่งสาส์นท้ารบกลับไปยังแคว้นจินอย่างไม่เกรงกลัว บัดนี้ตัวหดเหลือสองนิ้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
"ท่านจะขึ้นมาอีกหรือไม่"
เซินฝูต้องการตัวช่วย หากโจวหมิงโกรธถึงขนาดนี้ไล่ฟาดเซินฝูตายไปอีกรอบ ความหวังที่จะแก้แค้นคงหมดสิ้นอย่างแน่นอน
"หากนึกได้จะขึ้นมาดูก็แล้วกัน"
หวังซิ่นเจียไม่รอให้เซินฝูตอบโต้อะไร ต้อนเอาคนอื่นๆเดินหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
เซินฝูมองหวังซิ่นเจียเดินหนีไปตาละห้อย ขาทองคำของเซินฝูจากไปแล้ว เซินฝูได้แต่มองหนทางด้านหน้าด้วยสายตาสิ้นหวัง
ต้องเผชิญหน้ากับโจวหมิงด้วยตัวคนเดียว...
เซินฝูลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเดินทำตัวลีบไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ทางเส้นนี้เชื่อมไปยังศาลาพักผ่อนที่โจวหมิงชอบไปนั่งจิบชาอยู่บ่อยๆ
ในความทรงจำที่มีนั้น เซินฝูรู้สึกว่าระยะทางมันไกลกว่านี้ แต่ครั้งนี้เซินฝูเดินเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็เห็นศาลาพักผ่อนของโจวหมิงอยู่ลิบๆ
ตอนนี้ทำได้เพียงแค่เผชิญหน้าเท่านั้น
หวังว่าโจวหมิงจะใจดีกับศิษย์ไม่รักดีคนนี้เสียหน่อย...
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ