เส้นทางเบื้องหน้าช่างคุ้นตา ราวกับว่าใช้ชีวิตอยู่จนเคยชิน การเดินที่เส้นทางนี้เป็นดั่งการเดินกลับจวนตามปกติ ไม่ใช่การมาเยือนครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
ทัศนียภาพรอบด้านคุ้นตา เหมือนกับเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าอากาศจะเริ่มเย็นลงตามเวลา แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นราวกับได้กลับมาหาครอบครัว
โง่เขลาเหลือเกินเซินฝูที่ทรยศต่อคนที่เป็นดั่งครอบครัวจริงๆเพียงคนเดียวของตนเอง
ศาลาไม้แกะสลักปรากฏในครรลองสายตา ในศาลามีร่างของคนๆหนึ่งกำลังนั่งจิบชาชมบรรยากาศอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
ทุกสิ่งอย่างล้วนคุ้นตา ทุกสิ่งอย่างช่างคุ้นเคยจนเซินฝูไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
ในตอนที่เซินฝูกลับเข้าร่างของตนเอง เซินฝูจำได้ว่าไม่มีน้ำตาจะเสียให้กับความทรงจำใดๆของตระกูลจ้าวแม้แต่น้อย กลับกันเพียงแค่มองเห็นทางเดินที่คุ้นตาก็พาลน้ำตาไหลออกมาแล้ว
จวนตระกูลจ้าว ไม่มีสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์
ต่างจากยอดเขาที่สองของสำนักเจี๋ยเอิน...
ที่แห่งนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวที่เซินฝูมี คนที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาเป็นทั้งอาจารย์และบิดาให้กับเซินฝู
ในตอนที่ได้ประจักษ์ว่าเซินฝูเมื่อชาติก่อนนั้น แท้จริงแล้วยังเป็นเด็กโง่คนหนึ่งที่ต้องสั่งสอนให้มากกว่านี้ก็แทบใจสลาย
ผู้ครองยอดเขาที่สองของสำนักเจี๋ยเอิน รับรู้ได้ถึงการมาของเซินฝูตั้งแต่แรก แต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร
แต่ใครจะรู้ดีเท่าตัวของโจวหมิง ว่าแท้จริงแล้วในใจของตนร้อนรนมากเท่าไหร่
หวังซิ่นเจียกล่าวว่าจะพาเซินฝูมาส่งก่อนจะเข้ายามเว่ย แต่รอจนแล้วจนรอด กระทั่งเข้ายามเซินแล้วก็ยังไม่เห็นคน
ส่งคนลงไปดูก็พบว่าตอนนี้เกิดปัญหานิดหน่อย โจวหมิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นแทบจะถลาลงเขาไปช่วยศิษย์รักของตน
แต่เท่าที่ดูตอนนี้ เซินฝูมายืนอยู่ตรงนี้ได้ คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
โจวหมิงเพียงมองไปยังเซินฝูด้วยสายตานิ่งๆ เซินฝูเองก็ยืนตัวแข็งไม่กล้าขยับตัว ต่างจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง โจวหมิงเองก็รู้ดีว่าสายตาของตนนั้นทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อยในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับโดนข่มขู่
"จ้าวเซินฝู"
เซินฝูสะดุ้งเฮือก แอบนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินโจวหมิงเรียกตนว่าจ้าวเซินฝู
"มานี่"
จะหนีตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ายอดเขาที่สามอย่างไรก็คงไม่ต้อนรับ อีกทั้งเพียงแค่ก้าวขาไปผิดทิศ โจวหมิงสะกิดเท้าทีเดียวก็ถึงตัวของเซินฝูแล้ว
ดังนั้นจึงค่อยๆเดินเข้าไปหาโจวหมิงที่นั่งรอด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม แสดงให้โจวหมิงรับรู้ว่าเซินฝูนั้นรู้สึกผิดจากใจจริง
เมื่อเดินมาถึงศาลาแล้วเซินฝูก็ยังไม่กล้าเข้าไปนั่งอยู่ดี โจวหมิงจึงส่งสายตากดดันให้เซินฝูเดินเข้ามานั่งลงตรงข้าม
ชุดน้ำชาถูกเตรียมเอาไว้รอ เนิ่นนานเสียจนเย็นชืดไปหมด
โจวหมิงเหลือบมองคนที่ทำตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า เมื่อครู่ก่อนที่จะได้ถลาลงเขาไป ได้ข่าวจากสายลับว่ากลุ่มศิษย์ใหม่ที่เดินทางมาพร้อมกับหวังซิ่นเจียกำลังสนุกอย่างสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะศิษย์ใหม่ขั้นนภาที่ใช้พัด...
และเจ้าเด็กที่ว่านั่นนั่งทำหน้าเจี๊ยมเจี้ยมอยู่ตรงหน้าโจวหมิงแล้ว ในตอนนั้นโจวหมิงเมื่อได้ฟังก็มีสีหน้ามืดครึ้ม
ในตอนนี้ก็หรี่ตามองอย่างจับผิด เจ้าเด็กนี่เสแสร้งทำท่าทางเช่นนี้ให้ผู้ใดดูกัน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่สองที่เซินฝูไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ได้แต่เหลือบตามองนู่นนี่ไม่พูดไม่จา ดวงตากรอกไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ท่าทีเช่นนี้ทำโจวหมิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเกิดหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย
"ยกน้ำชาสิ"
โจวหมิงพยายามข่มไม่ให้ตนเองตวาดด่าออกไปจนเซินฝูขวัญกระเจิงตั้งแต่ยังไม่ทันยกน้ำชาฝากตัวเป็นศิษย์
เมื่อเซินฝูได้ยินดังนั้นจึงรีบเข้ามายกน้ำชาให้โจวหมิงทันที
แม้ว่าน้ำชาที่เตรียมเอาไว้จะเย็นชืดไปแล้ว แต่โจวหมิงก็ยังยกชาจิบไม่ได้บ่นอะไร เซินฝูโล่งใจ คิดว่าเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว โจวหมิงคงไม่ได้เอามาคิดใส่ใจ
แต่ทันใดนั้นเอง โจวหมิงก็ลุกพรวดขึ้นยืน พร้อมกับแส้ในมือที่เซินฝูไม่เห็นมันเสียนานแล้ว เซินฝูสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นว่าโจวหมิงเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วก็พยายามจะถดตัวหนี
"ลูกเต่าจ้าวเซินฝู! ไอ้เด็กไม่รักดี วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายอีกรอบเลยดีหรือไม่!!"
"ทะ ท่านอาจารย์ เดี๋ยว.."
"ไม่มีเดี๋ยว!! เด็กอย่างเจ้าต้องฟาดให้ตาย!!"
แต่แส้ที่โจวหมิงถืออยู่นั้นไม่ได้ฟาดลงที่ผิวเนื้อของเซินฝูแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะอารมณ์โกรธของโจวหมิง ยามที่สะบัดแส้ทำให้รอบข้างเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ในตอนนี้ศาลาที่อยู่คู่ยอดเขาที่สองมานานนับร้อยปีแทบจะแยกออกเป็นสี่ส่วนเนื่องจากอารมณ์ที่รุนแรงของเจ้ายอดเขาในตอนนี้
"ทะ ท่านอาจารย์ อายุก็มากแล้ว หากโมโหเช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกาย"
"เหอะ อย่างเจ้าน่ะห่วงข้าด้วยหรือ! หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำอะไรลงไป ห้ะ!!"
"ข้า..."
"ไม่ต้องพูด! ข้าให้เจ้าพูดแล้วหรือ!!"
อารมณ์ฉุนเฉียวของโจวหมิงย่อมเป็นของจริงอย่างแน่นอน แม้ว่าแส้ที่ฟาดลงมาเรื่อยๆนั่นจะไม่ได้โดนตัวเซินฝูแม้แต่น้อย แต่ข้าวของรอบตัวนั้นค่อยๆพังลงทีละอย่างสองอย่าง เป็นผลจากโทสะของผู้เป็นอาจารย์
"ข้าหรืออุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูจนได้ดี! เสียของยิ่งนักเจ้าเด็กโง่!!"
ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วยิ่งเจ็บปวดใจ แม้ในตอนนี้จะได้รับรู้แล้วว่าศิษย์รักของตนเองได้กลับมาอยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆแต่ก็ยังอดโมโหไม่ได้
"ชาตินี้อย่าหวังว่าจะได้กลับไปแคว้นจินอีกเลยเจ้าลูกเต่า!"
จบคำพูดเชือกเซียนเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ารัดร่างเล็กๆของเซินฝูไว้อย่างรวด เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ว่าเซินฝูจะแสดงสีหน้าตื่นตระหนก หรือรู้สึกตัวว่าโดนมัดเอาไว้ก็ช้าไปแล้ว
"ท่านอาจารย์..."
"อยู่แต่ในเรือนนั่นแหละถึงจะดี"
โจวหมิงเมื่อเห็นว่าคนไร้ทางสู้แล้วก็พออกพอใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าตอนนี้เซินฝูจะทำหน้าเหมือนว่าโลกจะถล่มลงมาแล้วก็ตาม
"ท่านอาจารย์ฟังข้าก่อน.."
"ยังต้องฟังอะไรอีก หากปล่อยเจ้าลอยไปลอยมาเช่นเดิม ไม่พ้นเกิดเรื่องเช่นเดิมอีก"
"แต่ข้า..."
"ไม่มีแต่ ข้าคิดมาอย่างดีแล้ว"
โจวหมิงไม่คิดฟังคำโต้แย้งใดๆจากปากลูกศิษย์ของตน ยิ่งได้เห็นใบหน้าวัยเยาว์ของเซินฝูยิ่งตอกย้ำเรื่องเมื่อชาติก่อน ในชาติที่แล้วเพราะโจวหมิงทำผิดพลาด ไม่รู้ว่าบอกสอนเช่นไรจึงได้ไปในทิศทางนั้น ดังนั้นจนกว่าจะหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้ เซินฝูจะต้องอยู่ในเรือนไปก่อน
แม้วิธีนี้จะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดี หากเป็นเช่นนี้อีกสักสามปี... ไม้สิ สักห้าปี เซินฝูคงจะเลิกนึกถึงเรื่องของคนแซ่จ้าวกับคนแซ่เจิ้งไปเสียหมด หลังจากนั้นค่อยบอกสอนกันใหม่
"ท่านอาจารย์ แต่ข้า..."
"จ้าวเซินฝู"
โจวหมิงทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าของเซินฝู มือบอบบางราวกับอิสตรีของโจวหมิงยื่นมาลูบใบหน้าที่แสนคิดถึงของศิษย์รักอย่างแผ่วเบา ราวกับเกรงว่าหากจับต้องแรงกว่านี้เซินฝูที่อยู่ตรงหน้าจะสลายหายไป เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน
"ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องมีจุดจบเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง"
แววตาที่เจ็บปวดเหลือคณานับของโจวหมิงจ้องมองมายังที่เซินฝูอย่างไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้ ชาติก่อนนั้นเรียกได้ว่าเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นอย่างดี ดียิ่งกว่าบิดาสารเลวอย่างจ้าวจวิ้นซานไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เซินฝูเองก็ทดแทนบุญคุณเป็นอย่างดี ทั้งเก่งกาจ และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ชื่นใจ
แต่กระนั้นก็ไม่สามารถหลุดออกจากบ่วงที่เรียกว่าครอบครัวได้เลย เซินฝูในชาติก่อนนั้นยึดติดกับครอบครัวมากจนไม่สนใจสิ่งอื่น
ในอนาคตอันใกล้นิดเซินฝูจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และตระกูลจ้าวย่ิงมาทวงถามบุญคุณอย่างแน่นอน หากเอาเซินฝูซ่อนเอาไว้ แล้วบอกกับตระกูลจ้าวว่าเซินฝูตายไปตั้งแต่ตอนขึ้นเขา คงทำให้ตระกูลจ้าวไม่มาข้องเกี่ยวอีก
แต่ที่โจวหมิงไม่ได้รับรู้ด้วยคือเซินฝูนั้นจัดการตัดบ่วงของตระกูลจ้าวออกไปแล้ว และเรื่องนี้เป็นความประมาทของหวังซิ่นเจียที่ไม่กล่าวให้ชัดเจนว่าที่เซินฝูเปลี่ยนไปนั้นเป็นเรื่องอะไร
เมื่อโจวหมิงเห็นว่าเซินฝูในชาตินี้ตอนทดสอบได้ระดับที่สูงกว่าชาติก่อน อีกครั้งได้ครอบครองปราณธาตุที่สองตั้งแต่ยังไม่เข้าสำนักก็ยิ่งหวั่นใจ คิดว่าเรื่องที่เปลี่ยนไปนั้นหมายถึงเซินฝูนั้นแข็งแกร่งกว่าเดิม
มาถึงตอนนี้เซินฝูเริ่มคิดแล้วว่ามันแปลกๆ...
"ท่านอาจารย์ คุณชายหวังไม่ได้บอกท่านเรื่องข้าหรือ"
"เรื่องอะไร? เรื่องที่เจ้าแข็งแกร่งกว่าช่วงเวลาเดิมเมื่อชาติก่อน ข้ารู้แล้ว"
เซินฝูเริ่มเดาทางได้ว่าการต้อนรับสุดประหลาดของโจวหมิงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
"แล้วเรื่องของข้ากับตระกูลจ้าวเล่า?"
"หมายความว่าอย่างไร ตระกูลเส็งเครงนั่นข่มขู่อะไรเจ้า บอกข้ามา!"
ชัดเจน...
"ตระกูลน่าตายนั่น ให้ข้าจัดการเสียสิ้นชื่อไปซะก็ดี!!"
ไปกันใหญ่แล้ว นอกจากจะมีสหายที่ทำตัวแปลกๆแล้ว โจวหมิงเองก็ไม่ฟังผู้ใดเช่นกัน ตอนนี้หากเซินฝูกล่าวว่าอยากบั่นคอคนตระกูลจ้าวทิ้งเสียให้หมด โจวหมิงคงพุ่งลงจากเขาไปจัดการไม่คิดหน้าคิดหลัง
"ท่านอาจารย์ ท่านใจเย็นก่อนเถอะ"
ในตอนนี้นอกจากจะอยากจะจับโจวหมิงมาเขย่าให้ได้สติแล้ว ยังอยากจะปล่อยหมัดใส่หน้าของหวังซิ่นเจียอีกด้วย
"ท่านอาจารย์ ข้าตัดขาดกับตระกูลจ้าวแล้ว"
"เห็นหรือไม่ ข้าว่าแล้วเชียว ไอ้พวกหมาแซ่จ้าว... เจ้าว่าอย่างไรนะ..."
โจวหมิงแสดงสีหน้าเหมือนคนง่งมออกมาเมื่อประมวลผลคำพูดของเซินฝูได้แล้ว
"เลิกเรียกจ้าวเซินฝูเถอะขอรับ ตอนนี้ข้าไม่มีแซ่แล้ว"
แสลงหูนัก ตั้งแต่เข้ามาโจวหมิงเอาแต่เรียกจ้าวเซินฝูไม่หยุด อีกทั้งยังไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆอีก
"จริงหรือ..."
"ขอรับ นับจากตัดขาดกันแล้ว ข้าและตระกูลจ้าวไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว"
โจวหมิงมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ถามต่อแม้แต่ครึ่งคำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นยังส่งสายตาไม่ไว้วางใจให้เห็นอยู่
ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจเซินฝู แต่ไม่ไว้วางใจตระกูลจ้าวต่างหาก
เรื่องที่ป่าชั้นต้นเมื่อครู่ก็เหมือนกัน สายลับรายงานมาว่าเป็นมือสังหารที่ถูกจ้างวานมาโดยคนแซ่แจิ้ง
"แล้วเรื่องคนแซ่เจิ้ง..."
"ข้าและเจิ้งซีเพ่ยไร้วาสนาต่อกัน ในชาตินี้เจิ้งซีเพ่ยเป็นคู่หมายของจ้าวฉิงม่าน บุตรสาวคนโตของตระกูลจ้าว"
แต่ละชื่อที่เอ่ยออกมาทำเอาโจวหมิงต้องเบ้หน้าอย่างรังเกียจ เมื่อชาติก่อนนั้นก็จำได้เป็นอย่างดีว่าผู้ใดที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่เซินฝูบ้าง อีกทั้งชาตินี้ไม่รู้ว่าผีสางตนใดดลใจให้เจิ้งซีเพ่ยได้เคียงคู่กับจ้าวฉิงม่าน
แต่เป็นเช่นนั้นก็ไม่เลว
สุนัขแซ่เจิ้งแต่งกับสุนัขแซ่จ้าว
มีบุตรออกมาคงเป็นลูกสุนัขที่มีเลือดชั่วของทั้งสองตระกูล คงเติบโตเป็นสุนัขที่น่าชังไม่น้อย
"หากเข้าใจแล้วก็ปล่อยข้าเถอะขอรับ"
โจวหมิงเมื่อได้ยินเรื่องโดยรวมแล้วก็ใจเย็นลง กลับมามีท่าทีสงบนิ่งเช่นก่อนหน้านี้ แต่ในตอนที่เอื้อมมือจะปลดเชือกให้เซินฝูก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน
แม้เซินฝูจะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะเป็นอย่างที่เซินฝูกล่าว บางทีที่เซินฝูพูดเช่นนั้นเพียงต้องการให้โจวหมิงใจเย็นลงและปล่อยให้เซินฝูเป็นอิสระ
อีกทั้งตอนนี้เซินฝูเพิ่งจะอายุสิบห้าหนาว สูงพ้นเอวโจวหมิงแค่ไม่เท่าไหร่ นับว่ายังเป็นเด็กน้อยในสายตาของผู้เป็นอาจารย์ เช่นนั้นควรจะดูแลอย่างใกล้ชิด
โจวหมิงหรี่ตามองเด็กตรงหน้าที่ทำหน้าตาดีใจเมื่อตนจะได้เป็นอิสระแล้วก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนี้เซินฝูยังเล็กนัก อาจจะยังดูแลตนเองไม่ได้ เช่นนั้นโจวหมิงจะต้องเป็นผู้ปกป้องดูแล จนกว่าจะเติบโตมากพอที่จะดูแลตนเองได้ และไม่หลงกลสุนัขแซ่เจิ้งกับสุนัขแซ่จ้าวอีก อย่างนั้นโจวหมิงจึงพอจะวางใจได้บ้าง
"หนึ่งปี..."
"ขอรับ?"
"เจ้าอยู่ในเรือนสักปีเถอะ หากข้าเห็นว่าเจ้าจะไม่ทำตัวโง่งมเช่นเก่าแล้วข้าจึงจะวางใจ"
โจวหมิงไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆต่อไป อุ้มลูกศิษย์ตัวน้อยขึ้นพาดบ่า เดินอาดๆตรงไปยังเรือนที่อดีตเคยเป็นของเซินฝูในชาติก่อน และชาตินี้โจวหมิงเองก็ตระเตรียมเรือนนี้เอาไว้ให้เช่นเดิม
"ท่านอาจารย์!!"
เซินฝูดิ้นขลุกขลักอย่างไม่ยินยอม ไม่ใช่ว่าเรื่องเมื่อครู่นั่นพูดกันเข้าใจไปแล้วหรือ เหตุใดจึงยังมีท่าทีกังวลเช่นนี้อยู่อีก
สองศิษย์อาจารย์ตรงไปยังเรือนที่เป็นเป้าหมายด้วยความทุลักทุเล เซินฝูไม่ยินยอมที่จะโดนขังไว้แต่ในเรือน แต่เพราะเชือกเซียนที่รัดเอาไว้นั้นทำให้ไม่สามารถใช้พลังได้แม้แต่นิดเดียว
"แบบนี้ไม่ถูกต้องนะขอรับ!"
"ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำให้มันถูกต้องเอง ชีวิตหนึ่งปีในเรือนของเจ้าจะไม่แย่อย่างแน่นอน ข้าจะให้บ่าวของเจ้ามาหาบ่อยๆ"
นั่นมันใช่ปัญหาที่ไหนกันล่ะ!!
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ