ในตอนนี้เซินฝูนั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่โถงเรือน มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเชือกเซียน และขาข้างหนึ่งถูกล่ามเอาไว้กับเสาเรือนโดยเชือกเซียนเช่นกัน
ส่วนตัวต้นเรื่องอย่างโจวหมิงนั้นกล่าวว่าจะไปหาสำรับเย็นมาให้ ในขณะที่โจวหมิงเดินไปจัดการเรื่องตามที่บอก เซินฝูก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากหน้าเรือน
"เจ้าว่าอย่างไรนะ?"
"ข้ามัดเอาไว้"
"เจ้าบ้านี่!"
ก่อนที่โจวหมิงจะเดินเข้ามาก็เป็นหวังซิ่นเจียที่พุ่งเข้ามาก่อน เมื่อเห็นสภาพของเซินฝูที่โดนล่ามเอาไว้แล้วก็แทบจะออกไปตบตีโจวหมิงสักหลายๆที
"เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆสินะ"
โจวหมิงที่เดินตามเข้ามาทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา ในขณะที่เซินฝูส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือกจากหวังซิ่นเจียสุดฤทธิ์ ในตอนนี้คงมีแค่ขาทองคำผู้นี้เท่านั้นที่จะช่วยได้
"ปลดพันธนาการเสีย โจวหมิง"
"ไม่"
โจวหมิงไม่สะทกสะท้านกับสายตาของสหายสนิทที่ส่งมาอย่างข่มขู่ วางสำรับเย็นของลูกศิษย์ตัวน้อยลงตรงหน้า
"กินเสียสิ เดี๋ยวข้าจะให้คนมาเตรียมที่นอนให้"
"โจวหมิง แก้มัดเสีย"
หวังซิ่นเจียมองภาพตรงหน้าอย่างปลงตก พลางคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน คราวก่อนก็ไม่ใช่ส่งสาส์นมาบอกแล้วหรือว่าเซินฝูนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่เซินฝูอยู่กับหวังซิ่นเจียนั้น เจ้าตัวแสดงออกอย่างชัดเจนมาตลอดเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ของตระกูลจ้าว และเรื่องของเจิ้งซีเพ่ย
ดังนั้นหวังซิ่นเจียจึงรับประกันได้ว่าไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคตอันใกล้ไกลเซินฝูก็คงไม่หลงหน้ามืดตามัวไปกับคำกล่าวของคนตระกูลจ้าวหรือเจิ้งซีเพ่ยอย่างแน่นอน
"ไม่"
โจวหมิงจับจ้องลูกศิษย์ของตนที่พยายามส่งสายตาของความช่วยเหลือจากหวังซิ่นเจีย แต่ว่าโจวหมิงนั้นไม่คิดจะใจอ่อน
"ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเซินฝูเปลี่ยนไปแล้ว"
คำว่าเปลี่ยนไปของโจวหมิงและหวังซิ่นเจียนั้นดูไม่คล้ายกันนัก
หากว่ากันตามตรงแล้ว ถ้าโจวหมิงไม่วิตกจริตกับเรื่องของเซินฝูมากจนเกินไป ก็คงเข้าใจเนื้อหาในสาส์นนั้นได้ไม่ยาก
แต่เพราะภาพที่พรากชีวิตของศิษย์รักไปยังคงติดตา เพราะเป็นเช่นนั้นเลยไม่อาจวางใจได้
"ข้าเห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเดิม"
หวังซิ่นเจียอยากจะหนีกลับยอดเขามันเสียตอนนี้ แต่เพราะสายตาอ้อนวอนราวกับสุนัขไม่มีเจ้าของนั้น ทำให้ไม่อาจเมินเฉยได้
"อาหมิง ดูเหมือนข้าจะไม่ได้เล่าเรื่องของศิษย์รักเจ้าให้ฟัง ดังนั้นแก้มัดคนก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่"
โจวหมิงเหลือบมองหวังซิ่นเจียด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจนัก สลับกับมองเซินฝูที่ทำหน้าอ้อนวอนตนเองเช่นกันก็นึกใจอ่อนขึ้นมา
แต่ว่า..
"หากเจ้าเล่าไม่เข้าหู เซินฝูจะโดนขังไว้ที่นี่สามปี"
โจวหมิงไม่ยินดีจะแก้มัดคน เพราะเกรงว่าอาจจะมีเรื่องราวที่ฟังดูแล้วขัดใจอยู่บ้าง หากมีสักส่วนที่ทำให้โจวหมิงคิดว่าในอนาคตเซินฝูจะยอมตกปากรับคำของใดๆของคนพวกนั้นแล้วล่ะก็ โจวหมิงจะจับคนล้างสมองและสอนสิ่งใหม่เข้าไปแทน
เซินฝูได้แต่ภาวนาให้หวังซิ่นเจียไม่พูดจาเลอะเทอะ
เรื่องราวของเซินฝูในช่วงเวลาที่อยู่กับหวังซิ่นเจียถูกเล่าออกมาอย่างไม่มีติดขัด หวังซิ่นเจียได้พบกับเซินฝูในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเสียเหลือเกิน
ในวันที่เด็กหนุ่มหนีออกจากจวนมา หวังจะช่วยหาคนแสดงละครตบตาตระกูลจ้าวเรื่องวิญญาณของเมิ่งหรูซี และได้พบกับหวังซิ่นเจียที่เดินทางเข้าเมืองหลวงแคว้นจิน ตามคำขอของโจวหมิงในตอนนั้น
ในตอนที่หวังซิ่นเจียไปที่บ้านตระกูลจ้าวนั้น เรียกได้ว่าคนในตระกูลต่างพากันหวาดกลัวสิ่งที่เซินฝูสร้างขึ้นมาจนไม่เป็นผู้เป็นคน ติงมี่เซียนถึงขั้นต้องหอบเอาบุตรชายไปสะเดาะเคราะห์ที่วัดบนเขา
เซินฝูนั้นนอกจากจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวแล้ว ยังทำลายทรัพย์สินของตระกูลจ้าวไปเสียหลายอย่าง เรือนรับรองที่ถูกเผาจนเหลือแต่ตอ ทรัพย์สินของเมิ่งหรูซีที่ติงมี่เซียยึดไปเป็นของตน ตำแหน่งคุณชายใหญ่ของจ้าวซินเหอ ล้วนแล้วถูกเซินฝูใช้เท้าบดขยี้เสียจนไม่เหลือชิ้นดี
แม้ว่าในภายหลังจ้าวซินเหอจะได้กลับมาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าวอีกครั้ง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลจ้าวก่อนหน้านั้นฉาวเกินจะปิดไว้ได้ คนทั้งแคว้นจินต่างนำไปเล่าลือกันอย่างสนุกปาก สร้างความอับอายให้แก่ตระกูลจ้าวเป็นอย่างมาก
และเรื่องของเจิ้งซีเพ่ยที่โจวหมิงเป็นกังวลก็เช่นกัน ในชาตินี้เซินฝูคงไม่กลับไปทำตัวโง่งมเช่นวันวาน นอกจากเจิ้งซีเพ่ยจะหมั้นหมายกับจ้าวฉิงม่านเอาไว้แล้วนั้น เซินฝูยังปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างหยาบคาย
หากหลังจากนี้มีวาสนาต่อกัน เห็นทีว่าจะเป็นวาสนาแค้นเสียมากกว่า เพราะเรื่องในวันนั้นเจิ้งซีเพ่ยถูกเซินฝูและหวังซิ่นเจียหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล เจิ้งซีเพ่ยอับอายถึงขั้นต้องรีบหนีกลับไป
ฟังมาถึงตรงนี้แล้วโจวหมิงรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของตนเองไม่ได้โง่งมเช่นชีวิตก่อนอีกแล้ว
"หากหวังซิ่นเจียกล่าวเช่นนั้นก็ดี"
โจวหมิงยอมปลดพันธนาการเชือกเซียนให้เซินฝู
"แต่หากข้าเล็งเห็นว่าเรื่องมันเปลี่ยนล่ะก็..."
ครั้งหน้าหากมีอีกโจวหมิงคิดเอาไว้แล้วว่าจะขังเซินฝูเอาไว้สักห้าปี
"ข้าจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง"
"เหอะ"
โจวหมิงสะบัดหน้าหนี เซินฝูส่งสายตาไปที่หวังซิ่นเจียด้วยความซาบซึ้ง หวังซิ่นเจียเพียงแค่แอบปัดมือเบาๆอย่างไม่คิดอะไรมาก
เรื่องแค่นี้ แลกกับการที่เซินฝูไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ถึงสามปีห้าปีนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆแล้ว หวังซิ่นเจียที่เป็นสหายสนิทกับโจวหมิงนั้น คงจะถูกเค้นความไปด้วย
เรื่องน่าปวดหัวของโจวหมิงน่ะ ขอให้มันจบลงเพียงเท่านี้เถอะ อย่างไรคนก็ได้ลูกศิษย์ของตนเองกลับมาแล้ว
"ท่านอาจารย์ ข้าขอถามได้หรือไม่"
เซินฝูรู้สึกคับข้องใจเรื่องที่ตนเองได้ย้อนเวลากลับมาในตอนที่อายุสิบสองหนาว อีกทั้งยังย้อนเวลากลับมาพร้อมกับความทรงจำจากชาติก่อน
แม้จะชอบคิดอยู่บ่อยครั้งว่าตนเป็นลูกรักสวรรค์ แต่ว่าแท้จริงแล้วจะต้องมีเรื่องราวมากกว่าแค่ย้อนเวลากลับมาเฉยๆอย่างแน่นอน นอกจากนั้นก่อนที่จะออกจากแคว้นจินนั้นหวังซิ่นเจียเป็นผู้ยอมรับเองว่าทั้งตนเองและโจวหมิงต่างก็รู้เรื่องนี้
อีกทั้งอาจจะมีคนที่รู้เรื่องนี้มากกว่าพวกตนสามคน เพราะชายปริศนาที่มอบคัมภีร์ให้เมื่อสองปีก่อนก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องที่เซินฝูย้อนเวลากลับมาเช่นกัน
ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่ว่าเซินฝูเป็นลูกรักสวรรค์อย่างที่ชอบกล่าวขำๆเป็นแน่
"เรื่องนั้น..."
"ข้าจะเล่าเอง"
อย่างไรแล้วเรื่องนี้เซินฝูก็ควรได้รับรู้ วันหนึ่งย่อมไม่ใช่ความลับ หวังซิ่นเจียที่ใจหนึ่งอย่างกล่าว แต่อีกใจอยากรอเวลาเหมาะสมเสียก่อน แต่สำหรับโจวหมิงนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง
โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นเจ้าของชีวิตอย่างเซินฝู
"แต่เล่าวันนี้คงไม่เหมาะนัก เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆรีบกินเสีย พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน"
โจวหมิงเลื่อนสำรับเมื่อครู่ให้เซินฝู ก่อนจะบอกว่าจะเดินไปส่งหวังซิ่นเจีย และจะให้บ่าวมาจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย
เซินฝูพยักหน้ารับไม่ถามอะไรเพิ่มเติม เมื่อโจวหมิงเห็นดังนั้นแล้วจึงได้แยกตัวออกมาพร้อมกับหวังซิ่นเจีย
"ที่พูดมาเป็นความจริงใช่หรือไม่"
หากกล่าวกันตรงๆ โจวหมิงยังไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นักว่าเซินฝูจะยอมตัดขาดกับตระกูลจ้าวได้ หากอ้างอิงจากชาติก่อนที่ไม่ว่าจะอะไรก็ตระกูลจ้าว อีกทั้งยังมีเรื่องคนรักน่าตายของเซินฝูอีก แต่ตอนนี้คงต้องเรียกว่าอดีตคนรักมากกว่า
"ข้าไม่โกหกเจ้าอยู่แล้ว"
หวังซิ่นเจียประหลาดใจด้วยซ้ำที่ต้องมาเห็นภาพเซินฝูถูกล่ามเอาไว้กับเสาเรือน หากเป็นตอนปกตินั้นโจวหมิงคงไม่ทำอะไรประหลาดๆเช่นนั้นเป็นแน่
อีกทั้งยังไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างโจวหมิงจะถึงขั้นเสียสติคิดจะล่ามคนเอาไว้ในเรือนได้ด้วยซ้ำ
"ทั้งคนตระกูลจ้าว ทั้งสุนัขแซ่เจิ้งนั่น... เขาไม่อาลัยเลยหรือ?"
เรื่องที่ได้ยินจากปากของหวังซิ่นเจียนั้น ดูเชื่อได้กึ่งหนึ่ง เชื่อไม่ได้อีกกึ่งหนึ่ง แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วโจวหมิงจะใช้เวลากว่าสิบปีถึงจะหาวิธีพาเซินฝูกลับมาได้
แต่สำหรับคนที่ตายไปอย่างเซินฝูนั้น กลัวว่าจะเป็นเพียงฝันแค่หนึ่งตื่นเท่านั้น
เพียงเท่านั้นก็สามารถตัดขาดจากสิ่งที่ชาติก่อนอาวรณ์นักหนาได้เชียวหรือ
"เขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เช่นนั้นก็รอดูอีกสักหน่อยเถอะ"
หวังซิ่นเจียนั้นไม่อาจเข้าใจความรู้สึกที่ต้องสูญเสียผู้ที่เป็นดั่งบุตรชายไปเช่นโจวหมิง แต่ยังจำภาพน่าอดสูของรองเจ้าสำนักในวันนั้นได้ดี
ดังนั้นแม้ปากจะบอกว่าเซินฝูนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และคงไม่ทำอะไรโง่งมเช่นชาติก่อนอีกก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงแค่คำพูดหลักลอยไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าในอนาคตเซินฝูจะกลับไปเป็นเช่นนั้นอีก
แต่จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกับเซินฝูนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เนิ่นนาน แต่ท่าทีไม่แยแสของเซินฝูที่มีต่อคนทั้งสองตระกูลนั้นก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้บ้าง และหวังซิ่นเจียเองก็ภาวนาให้เซินฝูอย่าได้เปลี่ยนไปจากนี้เลย
ไม่เช่นนั้นโจวหมิงคงไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆอย่างแน่นอน
และคนที่ช่วยพูดอย่างหวังซิ่นเจีย ย่อมได้รับโทษทัณฑ์อย่างเจ็บแสบแน่นอน
"เซินฝูมีบ่าวสองคนใช่หรือไม่"
"หากไม่รวมพ่อบ้านหยางก็มีสองคน"
ทั้งโจวหมิงและหวังซิ่นเจียต่างก็รู้จักพ่อบ้านหยางอยู่แล้ว เพราะหลังจากการตายของเซินฝู ตัวพ่อบ้านหยางก็กล่าวว่าเมื่อเซินฝูไม่อยู่แล้ว พ่อบ้านหยางเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับใช้ตระกูลจ้าว
อีกทั้งเมื่อชาติก่อน หลังจากที่เซินฝูสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองแล้ว พ่อบ้านหยางก็เข้าข้าง ประคบประหงมเซินฝูอย่างออกนอกหน้าจนบุตรของจ้าวจวิ้นซานคนอื่นๆได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจให้
เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ทำได้
คิดจะสู้กับอัจฉริยะในรอบพันปีอย่างเซินฝู ก็เท่ากับเร่งเวลาตาย แม้ว่าชาติก่อนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าฟันพี่น้องตนเองก็ตาม
"คราวนี้ดูน่ามองกว่าชาติก่อนใช่หรือไม่"
แม้ว่าพ่อบ้านหยางจะเข้าข้างเซินฝูอย่างออกนอกหน้า แต่ว่าโจวหมิงในตอนนั้นที่เรียกได้ว่าขาดสติเต็มขั้น ในยามที่โจวหมิงอาละวาดที่จวนตระกูลจ้าวและวังหลวงแคว้นจินนั้น หากไม่ใช่เพราะว่าคนอาละวาดจนพอใจแล้ว ต่อให้เจ้ายอดเขาทั้งสิบเอ็ดคนพยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจรับปากได้ว่าจะจบเรื่องได้โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
พ่อบ้านหยางเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส คมกระบี่ของโจวหมิงฟันเข้าที่ใบหน้าของพ่อบ้านหยางจากขมับด้านซ้ายผ่านดวงตาจนมาถึงปลายคาง และเนื่องจากการโจมตีครั้งนั้น ทำให้พ่อบ้านหยางตาบอด และมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่บนใบหน้า
แต่ถึงอย่างนั้น พ่อบ้านหยางก็ยังคงติดตามมากับโจวหมิง...
ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือ ติดตามมากับศพของเซินฝู
โจวหมิงที่ทำใจยอมรับในการสูญเสียครั้งนั้นไม่ได้ ไม่ยินยอมให้ตระกูลจ้าวเป็นผู้ฝังร่างของเซินฝูและพาร่างไร้วิญญาณของศิษย์รักกลับมายังยอดเขาที่สอง
พ่อบ้านหยางนอกจากจะคอยดูแลโจวหมิงแล้ว ยังต้องคอยดูแลร่างของเซินฝูที่อยู่ในเรือนใกล้กัน หากไม่ได้อยู่ข้างกายโจวหมิง พ่อบ้านหยางก็จะนั่งพึมพำโทษตัวเองอยู่ข้างๆร่างไร้วิญญาณของคุณชายใหญ่ของตน
แต่ความรู้สึกของพ่อบ้านหยางนั้นไม่เหมือนกันกับโจวหมิง
พ่อบ้านหยางเพียงรู้สึกผิดกับเรื่องราวที่ผ่านมา ต่างกับโจวหมิงที่สูญเสียลูกศิษย์ที่เลี้ยงดูมาราวกับบุตรในอาทรณ์
"เกลี้ยงเกลาเชียวล่ะ"
"ช่วยไม่ได้ ใครให้มาขวางเล่า"
โจวหมิงไม่ได้มีความรู้สึกผิดกับพ่อบ้านหยางแต่อย่างใด เมื่อชาติก่อนชดใช้กันไปแล้ว อีกทั้งชาตินี้ก็ไม่ได้มีสิ่งใดติดค้างกัน
"จะเล่าจริงหรือ"
หวังซิ่นเจียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย โจวหมิงเพียงแค่เหลือบมองสหายเล็กน้อย ก่อนจะยืนยันในความคิดของตนเช่นเดิม
"อย่างไรเขาก็ต้องรู้"
แม้ว่าในระหว่างที่เซินฝูหลับไปเพียงหนึ่งตื่นนั้น มีคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นสิบปีเพื่อหาวิธีให้เซินฝูกลับมาอย่างไม่ลดละ
แม้ว่าในภายหลังเซินฝูจะต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวเป็นต้นเหตุก็ตาม
"เจ้ากลับไปได้แล้ว"
โจวหมิงเอ่ยปากไล่ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี หวังซิ่นเจียเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป
ท้องฟ้าในยามย่ำค่ำสวยงามราวกับมีมนต์สะกด แต่ทุกครั้งที่มองมันโจวหมิงรู้สึกว่างเปล่ามาโดยตลอด กระทั่งในวันนี้ได้รับสิ่งล้ำค่าในชีวิตกลับมา
"ไม่เลว..."
โจวหมิงจึงได้คิดว่าท้องฟ้ายามอัสดงเช่นนี้ก็งดงามไม่เบา
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ