“ด้วยฮูหยินน้อยฉู่มีข้อจำกัดหลายอย่างทางร่างกาย กอปรกับตั้งครรภ์เด็กแฝด ไม่อาจให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น ทั้งยามให้กำเนิดก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจจะทำให้กลายเป็นหนึ่งศพสามวิญญาณ”“ท่ามกลางความอับจนหนทาง ถึงได้จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกเช่นนี้”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงมองไป ก็ได้เห็นว่าหลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นนางชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป “อย่างที่พวกท่านทราบ วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ข้าไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้มีคนที่ผ่าท้องเอาเด็กออกแล้ว แต่เหตุใดวิธีนี้ถึงไม่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางกัน?”หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตที่เอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกคิดดูเล็กน้อย แล้วลองตอบหยั่งเชิงไปว่า “เพราะทำให้คนตายได้หรือ?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด วิธีการผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย”“การผ่าท้องเอาเด็กออกในสมัยก่อน มักผ่าท้องเอาบุตรออกมาจากท้องมารดาหลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นชีวิต” “เช่นนี้ทั้งรักษาชีวิตชีวิตหนึ่งไว้ได้ ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้ายถึงขั้นที่ผ่าท้องคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จนทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่ชีวิต”“วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกของข
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็รอให้ฮูหยินน้อยฉู่พ้นจากการอยู่ไฟไป แล้วพวกท่านค่อยไปถามนางดูก็ได้”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวสรุปในท้ายที่สุด“ดังนั้น การผ่าท้องเอาเด็กออกจึงเป็นวิธีการที่อยู่ในสถานการณ์ที่ทำอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้วถึงจะนำมาใช้ ด้วยวิธีนี้ยังมีอันตรายอยู่”“พวกท่านจะเอาไว้เป็นตัวเลือดสุดท้ายได้ แต่ไม่ควรนำมาเป็นตัวเลือกแรก”การแพทย์และอนามัยในยุคนี้นั้นยังด้อยอยู่มากจริง ๆที่อวิ๋นฝูหลิงกล้าทำการผ่าคลอด ก็เพราะมีนิ้วทองคำอยู่ในมิติ กอปรกับประสบการณ์การผ่าตัดของนางเมื่อชาติก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่กล้าชะล่าใจเพียงแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด อวิ๋นฝูหลิงก็ต้องใช้ความคิดและจิตใจไปตั้งไม่รู้มากน้อยเท่าไร พยายามรักษาความสะอาดทางอนามัยในห้องผ่าตัดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนางยังต้องคอยจับตามองอาการฟื้นตัวของฮูหยินน้อยฉู่หลังผ่าตัดอีกด้วยด้วยกลัวว่าหากประมาทเลินเล่อไปเพียงอย่างเดียว บาดแผลจะติดเชื้อและอัดเสบ จนกระทบต่อการฟื้นฟูนางกลัวมากว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แล้วเกิดมีหมอไร้จรรยาบรรณผู้ขวัญกล้าเทียมฟ้า นำความสำเร็จในการผ่าท้องเอาเด็กออกของนางในครั้งนี้ไปอวดอ้าง
เฉิงชงรู้สึกสนใจการผ่าตัดเปิดหน้าท้องของอวิ๋นฝูหลิงอย่างยิ่งจนในที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโอวหยางหมิงและจงฮุยอยู่ในขั้นธรรมดาทั่วไป จะลดทิฐิเป็นฝ่ายเข้าหาพวกนั้น แล้วให้ทั้งคู่พาตัวเองไปจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินด้วยกันก็ทำไม่ได้อีกทั้งเฉิงชงก็ไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินนี้ จะให้ไปเยือนถึงประตูเรือกันโต้ง ๆ เพื่อขอเรียนรู้ถึงที่เลยก็ไม่เป็นการดีเขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แล้วจึงไปพบหมอหญิงติงสกุลติงกับสกุลเฉิงมีความสัมพันธ์กันมานาน อีกทั้งยามหมอหญิงติงอยู่ในสำนักหมอหลวงก็ได้รับการดูแลจากเฉิงชงไม่น้อยบัดนี้อวิ๋นฝูหลิงขอให้โอวหยางหมิงหาหมอหญิงสักสองสามคนมาช่วยงาน ประจวบเหมาะกับที่หมอหญิงติงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเฉิงชงต้องการให้หมอหญิงติงจดจำขั้นตอนการผ่าตัดทุกขั้นทุกตอนไว้อย่างละเอียดยิบ ห้ามขาดห้ามเกิน พอกลับมาก็ค่อยเล่าต่อให้เขาฟังอีกทีจนในที่หมอหญิงติงนั้นใจไม่สู้อวิ๋นฝูหลิงเพิ่งจะลงมีด นางก็ตกใจกับเลือดสด ๆ ที่ทะลักออกมาเต็มสองตาจนถูกคนหามออกไปนอกห้องผ่าตัดเสียอย่างนั้นหลังจากหมอหญิงติงกลับไป ก็ได้แต่บอกกล่าวการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดบางส่วนเท่าที่ตนเองเ
ครั้นอวิ๋นฝูหลิงได้ยินคำว่าจวนเซียงกั๋วกง ก็นึกขึ้นได้ว่าจ้าวเสวียซือผู้เป็นเหมือนพี่น้องของเซียวจิ่งอี้ก็เป็นคุณชายสามของจวนเซียงกั๋วกงเช่นกันเจี่ยงซื่อภรรยาคุณชายรองจวนเซียงกั๋วกงผู้นี้ จึงนับได้ว่าเป็นพี่สะใภ้รองของจ้าวเสวียซือเจี่ยงซื่อมีดวงตาโตรับกับคิ้วหนา มีความองอาจผึ่งผายแฝงอยู่ในระหว่างคิ้วต่อมาพอได้พูดคุยกันแล้ว อวิ๋นฝูหลิงถึงได้รู้ว่าเจี่ยงซื่อเกิดในตระกูลทหาร มิน่าเล่า นางถึงได้มีกลิ่นอายองอาจของพยัคฆ์สาวจากตระกูลทหาร ทั้งนิสัยก็ยังง่าย ๆ สบาย ๆส่วนวั่นซื่อฮูหยินสามแห่งจวนตงชางปั๋วนั้น กลับมินิสัยไม่ค่อยพูดค่อยจาทว่าอวิ๋นฝูหลิงก็ยังชอบพระชายาองค์ชายห้ามากเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี ในเมื่อบังเอิญพบกันแล้ว ก็เดินเล่นในสวนด้วยกันไปเสียเลยขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น อวิ๋นฝูหลิงก็หันไปเห็นว่าเจี่ยงซื่อกับวั่นซื่อกำลังเจ้ากระทุ้งข้า ข้ากระทุ้งเจ้าเข้าโดยบังเอิญ ดูเหมือนว่าทั้งคู่ต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับอยากให้อีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากพูดแทนมากกว่าเจี่ยงซื่อที่จู่ ๆ ก็สบเข้ากับดวงตาของอวิ๋นฝูหลิงที่มองมา พลันดูขวยเขินขึ้นมาพระชายาองค์ชายห้าเห็นดังนั้น กลับหัวเราะออกมา
อวิ๋นฝูหลิงรู้จักเทียบยาของเวชสำอางอยู่ไม่น้อยภายใต้การบริหารของตระกูลอวิ๋นเมื่อชาติก่อนนั้น ก็มีบริษัทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เน้นการทำเวชสำอางเป็นหลักอยู่เครื่องบำรุงผิวที่อวิ๋นฝูหลิงใช้อยู่เดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นของที่นางทำขึ้นเองทั้งนั้นเพียงแต่เพราะเรื่องราวที่สุมอยู่บนศีรษะของอวิ๋นฝูหลิงก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางยุ่งมากพอแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดจะบุกเบิกเส้นทางของความสวยความงามนี้บัดนี้ทันทีที่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมา จึงไม่อาจหยุดยั้งได้อีก นึกถึงตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เซียวจิ่งอี้ก็ให้คนมาซื้อของมาล่วงหน้าไว้ให้นางมากมาย นอกจากเสื้อผ้าปิ่นปักผมต่างหูพวกนี้แล้ว ยังรวมไปถึงชาดและแป้งน้ำด้วยอวิ๋นฝูหลิงเคยเห็นชาดและแป้งที่สตรีในยุคนี้ใช้กันมาก่อน มีหลายอย่างที่มีตะกั่วผสมปนเปอยู่ด้วยหากใช้ไปนานวันเข้า จะทำให้ใบหน้าเสียหายฉะนั้นตอนนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงให้คนเก็บของพวกนั้นไป ไม่เคยหยิบออกมาใช้เลยสักครั้งเดียวหากนางทำเครื่องบำรุงผิวที่ใช้แล้วไม่เพียงทำลายผิวหน้า แต่ยังทำให้ผิวพรรณของคนผู้นั้นสดใสและแข็งแรงออกมาได้ จะต้องได้รับการต้อนรับมากแน่นอนเพียงแต่เรื่องที่สุมอยู่บน
พระชายาองค์ชายใหญ่ที่เดิมทียังคงสีหน้าราบเรียบ ในที่สุดก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยนางจดจ้องเงาหลังที่เดินจากไปของพระชายาองค์ชายสาม ในตาพลันทอแววรังเกียจระคนโกรธเคืองคำพูดพวกนั้นที่พระชายาองค์ชายสามพูดออกมาเมื่อครู่นี้ แม้จะเป็นการเสี้ยม แต่กลับเป็นความจริงทุกประโยคเดิมทีเซียวจิ่งอี้ก็ได้รับความโปรดปรานถือหางจากฮ่องเต้เซียวจิ่งอี้อยู่แล้ว บัดนี้ได้อวิ๋นฝูหลิงเข้ามาช่วยเขาเอาชนะใจคนอีกแรง จะไม่สั่นคลอนเขาได้ยากกว่าเดิมหรือ?ก่อนนี้พระชายาองค์ชายใหญ่ดูแคลนอวิ๋นฝูหลิงด้วยคิดว่าแม้นางสตรีสูงศักดิ์จากจวนโหว ทว่าว่ากันแล้วก็เป็นเพียงหมอชนชั้นแรงงานเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้จวนจี้ชุนโหวก็สูญสิ้นหลงเหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้น เป็นแค่เปลือกหุ้มว่างเปล่า ไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจแม้แต่นิดเดียวเซียวจิ่งอี้แต่งอวิ๋นฝูหลิงเป็นพระชายาเอก เกินกว่าครึ่งต้องเป็นเพราะหลงใหลในความงามจนถึงขั้นเสียสติเป็นแน่ด้วยตำแหน่งพระชายาอ๋องนี้นั้นมิได้ธรรมดาสามัญ ไม่อาจเลือกใครมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ตามใจชอบสำหรับเหล่าองค์ชายที่มีใจแย่งชิงบัลลังก์แล้ว ตำแหน่งนี้นำมาแลกเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองได้มีตระกูล
พระชายาองค์ชายใหญ่กับพระชายาองค์ชายสามต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ทว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่รู้อะไรเลยหลังจากงานเลี้ยงเลิกลา อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะกล่าวอำลา ใครจะรู้ว่าอวี๋หมัวมัวข้างกายองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อจะมาเชิญกะทันหันท่าทีของอวี๋หมัวมัวนอบน้อม “พระชายาอี้อ๋อง องค์หญิงใหญ่มีเรื่องอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว ท่านเชิญทางนี้…”อวิ๋นฝูหลิงประหลาดใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ พยักหน้าให้อวี๋หมัวมัวก็กล่าว “รบกวนหมัวมัวนำทาง”หลังจากงานเลี้ยง องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อเริ่มเหนื่อยล้านางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวหลวมใส่สบาย กำลังดื่มชาในห้องของตัวเองระหว่างรออวิ๋นฝูหลิงผ่านไปไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างนอก จากนั้นเสียงของอวี๋หมัวมัวก็ดังขึ้นที่นอกประตู “องค์หญิงใหญ่ พระชายาอี้อ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”“ออกไปให้หมด!”องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อกวักมือไล่คนรับใช้ในห้องออกไป หลังจากนั้นเข้าไปดึงอวิ๋นฝูหลิง ไปนั่งที่เก้าอี้นวมด้วยตัวเอง “มา พวกเรามานั่งคุยกัน”องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อดึงอวิ๋นฝูหลิงมานั่งด้วยกันอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าท่าทีขององค์หญิงใหญ่ที่มีต่อนางในวันนี้สนิทสนมเกินไปนอกจากองค์หญิง
แรกเริ่มราชบุตรเขยยังปฏิเสธ กอดนางสาบานว่าชาตินี้จะรักแค่นางคนเดียว พวกเขามีฉยงอวี้คนเดียวก็พอแล้วแต่ต่อมา ท้ายที่สุดราชบุตรเขยก็เข้าห้องนอนของผู้หญิงคนอื่น รับอนุภรรยาเข้าจวนคนแล้วคนเล่า คำสาบานที่มีต่อนางก็ถูกลืมจนหมดแม้องค์หญิงฉางเล่อจะเสียใจ กลับทำอะไรไม่ได้อย่างไรก็ตาม ที่สุดของความอกตัญญูคือการไร้ผู้สืบสกุลองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อต้องทนทุกข์ลำบากกับการไม่มีลูกชาย เมื่อมาถึงตัวลูกสาว เห็นพวกเขาสามีภรรยาไม่รักใคร่ปรองดอง มองจากในมุมของนาง ก็รู้สึกว่าสาเหตุมาจากการที่ไม่มีลูกอีกทั้งในมุมมองของนาง การที่อวิ๋นฝูหลิงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาอี้อ๋อง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากนางให้กำเนิดลูกชายให้เซียวจิ่งอี้ และลูกชายคนนี้ยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้จิ่งผิงมากถ้าหากไม่มีลูกชายคนนี้ อวิ๋นฝูหลิงคิดจะนั่งตำแหน่งพระชายาอี้อ๋อง ไม่ง่ายเช่นนั้นแน่นอนนี่ไม่ใช่ว่าองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อดูถูกอวิ๋นฝูหลิง และไม่ใช่ว่ามีอคติอะไรกับอวิ๋นฝูหลิงแต่เป็นข้อจำกัดทางการรับรู้และความคิดขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่ออวิ๋นฝูหลิงคาดเดาถูกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อเชิญนางมา ในเมื่อไม่ใช่รักษาให้ตั
ยามที่กินบะหมี่ เมื่อตะเกียบสัมผัสกับน้ำบะหมี่ ก็ถูกพิษในตะเกียบ แทรกซึมเข้าไปในน้ำน้ำบะหมี่ที่เดิมทีไม่มีพิษ ก็กลายเป็นมีพิษโดยพลันหลังจากอวิ๋นฝูหลิงอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าน้ำบะหมี่ชามนั้นมีพิษได้อย่างไรเซียวจิ่งอี้หัวเราะเยาะคราหนึ่ง และกล่าวว่า “ช่างความคิดดีเสียจริง!”เขามองเวินเจา ในแววตาราวกับกำลังรู้สึกสงสารเห็นใจยามนี้เวินเจาก็เข้าใจโดยสมบูรณ์แล้วเช่นกันไม่ใช่เซียวจิ่งอี้ที่วางแผนร้ายต่อเขา แต่เป็นคนของพวกตนเองที่หมายจะฆ่าเขา!เมื่อได้เห็นความเวทนาในแววตาของเซียวจิ่งอี้อีกครั้ง หัวใจของเวินเจาก็ราวกับถูกลูกศรนับหมื่นทิ่มแทง ความเชื่อที่ยึดมั่นมานานพังทลายลงโดยพลันทั้งร่างของเขาก็พังทลายลงทันที ทันใดนั้นก็พุ่งพรวดกระโจนเข้าไปหาทั้งสองคนนั้นที่วางยาพิษ“เพราะเหตุใด?”“ข้าคือนายน้อยของพวกเจ้า!”“พวกเจ้ากล้าทรยศ หมายจะลอบสังหารกษัตริย์ได้อย่างไร!”“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร?”เหล่าองครักษ์ด้านข้างลงมือว่องไว ควบคุมตัวเวินเจาได้ทันเวลาเวินเจาแม้จะถูกคนกดไว้ แต่กลับยังดิ้นรนคำรามอย่างห้ามไม่ได้เรื่องเช่นนี้ เกรงว่าไม่ว่าเปลี่ยนไปเป็นผู้ใด ก็ล้วนไม่อาจยอมรับได้ทั
เซียวจิ่งอี้มองร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่าง ก็เข้าใจทันทีเขาชี้ไปทางเทียนเฉวียนเทียนเฉวียนเข้าใจความนัย และเดินไปทางสตรีผู้ช่วยคนนั้นโดยพลันหลังจากตรวจสอบใบหน้าของนางครู่หนึ่ง ก็ลอกหน้ากากหนังมนุษย์แผ่นหนึ่งออกมาเทียนเฉวียนทำแบบเดิม ไม่นานก็ลอกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของผู้ช่วยอีกคนออกมาผู้ดูแลมองไปที่ใบหน้าไม่คุ้นเคยของทั้งสองคนภายใต้หน้ากากหนังมนุษย์ ก่อนจะมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเพื่อนบ้านด้านข้างซึ่งเย็นเฉียบแล้ว ในใจไหนเลยจะยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีกเจ้าคนชั่วสมควรตายนี่ สังหารผู้ช่วยที่เขาเชิญมา และปลอมตัวเป็นพวกเขาเข้ามาในจุดพักแรมทางการโชคดีที่เป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงนักโทษหากวันนี้ผู้ที่ถูกวางยาพิษคืออี้อ๋อง...แผ่นหลังของผู้ดูแลจุดพักแรมทางการเย็นวาบขึ้นมา ไม่กล้าคิดต่อในขณะนั้นเอง เวินเจาก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาสายตาของเขาพร่ามัว ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดไปขณะหนึ่งไม่นานเขาก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองหมดสติไป เพราะปวดท้องน้อยมากจนทนไม่ไหว อีกทั้งยังมีเลือดสีดำไหลออกมาจากปากและจมูกของเขาไม่หยุดเช่นนั้นเขาตายแล้วหรือ?ถูกคนวางยาพิษจนตายหรือ?ผู้ใดหมาย
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า