LOGIN-เรือนเฟิ่งอวี้-
ไอร้อนจากอ่างอาบน้ำลอยระเหยขึ้นมาเป็นกลุ่มควันสีขาวบางๆ หลิวหรงผิงนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำพลางนึกถึงสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
ฟังจากคำบอกเล่าของสตรีทั้งสองที่น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าของร่างนี้แล้ว คือเธอน่าจะทะลุมิติเข้ามาอยู่ในยุคโบราณแต่ยังหาสาเหตุของการทะลุมิติเข้ามาในยุคนี้ไม่ได้
เธอจำได้เพียงว่าคืนนั้นเธอกำลังทำงานอยู่ในห้องทดลองลับของมหาวิทยาลัยX กลางกรุงปักกิ่ง พวกเธอทำงานกันไม่มีวันหยุดเพราะต้องทำการทดลองตัวยาชนิดใหม่ที่เชื่อว่าหากสำเร็จแล้วจะสามารถช่วยรักษาโรคร้ายได้ด้วยตัวยาเพียงชนิดเดียว
การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนเช่นทุกวัน ทว่าเมื่อเวลาย่างเข้าสู่กลางดึกก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝันขึ้น
"พวกเธอรีบออกไปเร็วเข้า!"
เสียงสุดท้ายของหัวหน้าศูนย์วิจัยยาเปล่งร้องออกมาท่ามกลางกลุ่มควันและเปลวไฟที่กำลังรุกรามเผาไหม้ห้องทดลองลับแห่งนี้
ห้องทดลองยาที่ควรจะมีระบบป้องกันภัยในทุกรูปแบบแต่เหตุไฉนถึงได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้กัน หลิวหรงผิงได้เพียงแค่คิดในใจก่อนจะรีบเข้าไปดึงตัวของเพื่อนสนิทของเธอให้ออกไปจากห้อง
ทว่าทั้งคู่ไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูไปก็ถูกแรงของระเบิดนั้นสะท้อนไปยังร่างของพวกเธอส่งผลให้ทั้งคู่ลอยกระทบกับผนังห้องอย่างแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกลับมีใครบางคนตั้งใจที่จะคร่าชีวิตของคนที่รู้เห็นเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น
“โครม! ตึง!”
“กรี๊ดดดดดด!”
เสียงกรีดร้องของใครบางคนดังแว่วเข้ามาในหูของหลิวหรงผิงและแล้วภาพทั้งหมดที่เคยมองเห็นก็ดับวูบไปพร้อมๆ กับสติสัมปะชัญญะที่เริ่มหมดลงเรื่อยๆ เมื่อตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้แล้ว
‘เพราะเธอถูกแรงระเบิดที่สะท้อนใส่ร่างจนตายไปแล้ววิญญาณของเธอจึงทะลุมิติมาอยู่ในที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ แล้วอิงเอ๋อเล่าจะเป็นอย่างไรบ้าง’
“พระชายา”
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับคืนมาอีกครั้ง
หลิวหรงผิงเงยหน้าขึ้นไปมองดูหญิงสาวที่อายุน่าจะราวๆ สิบสี่สิบห้าปี ใบหน้าอ่อนหวานนั้นกำลังเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างนึกสงสัยไม่ต่างจากนางในเวลานี้
“เป็นอะไรไปหรือเพคะ หิวงั้นหรือ”
“ข้า...”
“นี่เสี่ยวเถาเจ้ารีบไปเตรียมอาหารมาให้พระชายาเร็วเข้า”
“รู้แล้วๆ”
“ดะ เดี๋ยวสิ! ข้ายังไม่ได้...”
ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังวุ่นวายในการจัดเตรียมสิ่งของและอาหารให้นางจนไม่สนใจที่นางร้องบอก หลิวหรงผิงจึงปิดปากลงเช่นเคยจ้องมองทุกการกระทำของพวกนางที่เอาแต่เดินไปเดินมา
แม้จะวุ่นวายแต่กลับทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่คนเดียวในสถานที่ที่ไม่รู้จักเช่นนี้
'ก็พออุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง'
หลังอาบน้ำชำระล้างกลิ่นกายเหม็นสาบนั้นไปจนหมดสิ้นแล้วนางก็ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงนอนหลังงามไม่คิดจะขยับกายแม้เพียงนิด
ร่างบางยังคงนอนนิ่งจ้องมองขื่อบนเพดานห้องอยู่อย่างนั้นมาร่วมครึ่งชั่วยาม[1] แล้ว
แม้จะอยู่ในฐานะชายาจวิ้นอ๋องแต่เรื่องราวที่นางพอจะจดจำผ่านความทรงจำของเจ้าของร่างนี้ได้นั้นกลับไม่น่าอภิรมย์นัก
นางหันไปมองหญิงสาวสองคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เตียงนอนพลางจ้องมองมาที่นาง แววตามีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้ามองหน้าข้านานแล้วนะ ทำไมมีอะไรติดหน้าข้ากระนั้นหรือ”
“หามิได้เพคะ พระชายาหายแล้วจริงๆ น่ะหรือเพคะ”
“ก็ใช่น่ะสิตอนจมลงก้นบ่อหัวของข้าฟาดกับโขดหินอย่างแรงเลยนะไม่หายก็ให้มันรู้ไปเถอะ”
“เช่นนั้นบอกกับท่านอ๋องดีหรือไม่เพคะเผื่อว่าท่านอ๋องจะ….”
“จะอะไร จะโปรดปรานข้าขึ้นมากระนั้นหรือ หึ! ไม่มีทางเสียหรอกคนจิตใจหยาบกระด้างเช่นนั้นมีหรือจะรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็น”
“แต่ว่า”
“เรื่องที่ข้าหายดีแล้วพวกเจ้าจงเก็บเอาไว้เป็นความลับ รู้กันเพียงแค่พวกเราสามคนเถอะ”
“เอ่อ แต่ว่า”
“เอาน่าทำตามที่ข้าบอก ให้พวกเขารู้ว่าข้าเป็นแบบนี้น่ะดีแล้วจะได้ไม่มาวุ่นวายกับข้านัก”
เสี่ยวเถากับซิ่วอิงทำได้เพียงแค่พยักหน้าให้นางเท่านั้นหญิงสาวทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะปิดปากเงียบ
พวกนางเองก็พอจะรู้ว่าจวิ้นอ๋องและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ชื่นชอบพระชายาของตนเองสักเท่าใดนัก และยิ่งพระชายากลายเป็นคนสติไม่ดีก็ยิ่งชอบกลั่นแกล้งเข้าไปใหญ่
'ทิ้งไว้แบบนี้จะเป็นผลดีกับพระชายาจริงๆ น่ะหรือ'
“จะว่าไปแล้วจวิ้นอ๋องนี่ก็น่ารังเกียจเสียจริง”
“พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นนะเพคะ หากคนในจวนได้ยินเข้าแล้วนำไปบอกท่านอ๋องท่านอาจถูกลงโทษได้”
“ข้าแต่งมาเป็นพระชายาไม่ใช่บ่าว ยังต้องกลัวสิ่งใดอีก”
พูดจบก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะจ้องหน้าสาวใช้ทั้งสองนิ่ง
“เจ้าบอกว่าคนที่คอยกลั่นแกล้งข้าคือน้องสาวของอ๋องจวิ้นงั้นหรือ”
“คือว่า”
“แล้วคืนนั้นข้าเข้าไปอยู่ในเล้าหมูได้อย่างไร”
ไม่ทันได้ตอบคำถามแรก คำถามสองก็เข้ามาพร้อมกันติดๆ หญิงสาวทั้งสองเอาแต่อ้ำอึ้งไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาเพราะกลัวจะถูกตัดลิ้นเอาง่ายๆ
“คือว่าพระชายาเรื่องนี้”
“พูดมาเถอะน่า”
“คืนนั้นที่ท่านพลัดตกลงไปในบ่อน้ำท่านอ๋องสั่งให้คนนำร่างของท่านขึ้นมาจากก้นบ่อ ก่อนที่จะ…”
“จะอะไร”
“จะจับท่านโยนเข้าไปในเล้าหมู บอกว่าเผื่อท่านจะมีสติมากกว่านี้เพคะ”
“ข้าเป็นคนนะไม่ใช่หมู เขาบ้าไปแล้วหรือ!”
- - - - - - - - - -
[1] ครึ่งชั่วยาม = 1 ชั่วโมง
ท่าทีที่เหินห่างของนางก็ยิ่งทำให้เขาปวดใจไม่น้อยอยากที่จะเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าแต่ก็ทำได้เพียงแคยับยั้งใจเอาไว้เท่านั้น“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดี”“ผิงเอ๋ออย่าทำห่างเหินกับข้าเช่นนี้สิ”“ข้ากับท่านในเวลานี้เกี่ยวข้องอันใดกันอย่างนั้นหรือถึงได้ใช้คำว่าห่างเหิน”“เจ้าตั้งครรภ์เหตุใดถึงไม่บอกข้า”“ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนพูดเองหรอกหรือว่าไม่ว่าอย่างไรจะให้สายเลือดของท่านปะปนกับคนสกุลหลิวไม่ได้”“คือว่าข้าไม่ได้….”“จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนพูดกระนั้นหรือ ครั้งแรกตอนเข้าหอกับข้าครั้งที่สองตอนอยู่ที่เมืองลี่หนานคิดว่าข้าโง่เขลาถึงกลับจดจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”“อันที่จริงนี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วท่านกับข้าก็ห่างเหินกับคำว่าสามีภรรยาไปแล้ว และท่านเองก็มาอยู่ที่นี่แล้วดังนั้นหนังสือหย่าของข้าได้แล้วหรือยัง”“เจ้าอยากหย่ากับข้ามากกระนั้นหรือ”“ใช่”หลิวหรงผิงตอบเขาไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเขาเลยสักเพียงนิด จวิ้นอ๋องกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะชายตามองไปยังสองคนที่เหลือในห้องเย่หยุนฟางที่เห็นแววตาเย็นเยือกของเขาจ้องมองมาก็เข้าไปสะกิดเซี่ยเว่ยหมิงในทันที ก่อนที่ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งฟังบทสนทนาของคนทั้งค
เสียงลากกระบี่ดังขึ้นไปตามทางเดินของจวนนำพาความรู้สึกเย็นยะเยือกรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น จนบ่าวรับใช้ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าโผล่หน้าออกมาดูเลยสักคน ร่างสูงยืนจังก้าจ้องมองเจ้าเมืองฉางอันที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหน้าเรือนใหญ่“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งบอกมาว่านางอยู่ไหน”“ขะ ข้าไม่รู้เรื่อง”“เจ้าเมืองฉางอัน ท่านคงใช้ชีวิตอยู่มานานมากจนไม่เสียดายชีวิตนี้ของท่านแล้วสินะ”เป็นเยี่ยอ๋องที่พูดขึ้นก่อนจะเข้าไปนั่งยองๆ ใกล้เขา เจ้าเมืองฉางอันที่ถูกซ้อมปางตายในเวลานี้แทบจะพูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่แล้วเพราะความละโมบของเขานำพามาซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เพราะมีสตรีนางหนึ่งมาขอให้เขากระทำการบางอย่างบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระสนมเสียนเฟยหากว่าเขาทำสำเร็จจะได้รางวัลเป็นทองคำหนึ่งล้านตำลึงและได้แต่งงานกับองค์หญิงห้าหรือก็คือองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ถึงวัยออกเรือนแล้วนั่นเองแม้จะอายุห่างกับเขาราวพ่อลูกแต่เพราะความหลงใหลในรูปโฉมและเงินทองทำให้เขาไม่สนใจถูกผิด ช่วยเหลือนางโดยการลักพาตัวสตรีนางหนึ่งและเด็กชายอีกคนที่เขาไม่คิดจะสืบที่มาที่ไปของคนทั้งคู่ก่อนเลยสักเพียงนิดมาไว้ที่จวนแห่งนี้
ภายในห้องรับรองนั้นเยี่ยอ๋องที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่างโดยไม่ยอมขยับกายไปไหนอยู่นั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า“นางดูแปลกๆ ท่านแน่ใจนะว่านางจะช่วยพวกเราได้จริงๆ พี่สี่นี่ได้ยินหรือไม่”เยี่ยอ๋องจ้องมองใบหน้าคมคายของผู้เป็นพี่ชายที่เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูท่าว่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเมื่อครู่นี้“พี่สี่….องค์รัชทายาท!”“เบาๆ สิเจ้าอยากคนให้แตกตื่นมากนักหรืออย่างไรกัน”“ข้าเรียกท่านนานแล้วแต่ท่านก็เอาแต่เหม่อลอยเป็นอะไรไปอย่าบอกนะว่าสนใจสตรีผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” จวิ้นอ๋องหันไปจ้องมองน้องชายของเขาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก“ข้าว่านะเยี่ยอ๋องพวกเราไม่ต้องส่งคนออกไปตามหาพวกนางหรอก”“ท่านจ้างวานนางไปแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือไม่เล่า”“ไม่ใช่เช่นนั้น ตงหยางเจ้าเข้ามาในนี้ที”“ขอรับใต้เท้า” เสียงของตงหยางดังขึ้นหน้าประตูห้องก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้ามาด้านใน“ส่งคนไปสะกดรอยตามเย่หยุนฟางเอาไว้หากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบมารายงานข้า”“ขอรับ” เขารับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องรับรองตามมาด้วยเหวินหงที่ถูกเยี่ยอ๋องสั่งการให้ตามเขาไป
-โรงเตี๊ยมเหมยหลัน เมืองฉางอัน-“ข้าก็บอกไปแล้วว่าให้พวกเจ้าพักผ่อนก่อนไม่ต้องรีบมาอย่างไรเล่า”“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ข้าทำได้”เมื่อมู่อิงเถายังคงยืนยันหนักแน่นหลิวหรงผิงก็หันไปมองเย่หยุนฟางด้วยความจนใจ“เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพวกข้าเรื่องอะไรงั้นหรือ”“พักนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองมากมายนัก”“ไหนเจ้าบอกว่าตรวจสอบดีแล้วอย่างไรเล่า”“ก็ตรวจสอบไปแล้วไม่พบพิรุธอันใดถึงได้มายืนสนทนากับพวกเจ้าได้อย่างไรเล่า”เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปมองตามมาด้วยร่างอ้วนท้วนของฉางไห่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับรองก่อนจะสังเกตเห็นว่าเย่หยุนฟางก็อยู่ในห้องนี้เช่นกัน“นายหญิงท่านก็อยู่ด้วยหรือขอรับ”“วิ่งหน้าตาตื่นมาเช่นนี้มีเรื่องสำคัญอะไร”เย่หยุนฟางหันไปถามคนของตัวเองก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย“มีคนมาขอพบแม่นางหลิวขอรับ”“ใคร/ใคร”ทั้งหลิวหรงผิงและเย่หยุนฟางต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน ฉางไห่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้นางก่อนจะบอกว่าคนผู้นั้นรอนางอยู่ด้านล่างแล้วเย่หยุนฟางหันไปมองหลิวหรงผิงแววตามีความกังวลอยู่ไม่น้อย หลิวหรงผิงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านสีหน้าที่วิตกกังวลก่อนหน้
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ







