เห็นสีหน้าสับสนของคนตรงหน้า มีนาก็รู้ว่าแผนของเธอบรรลุจุดประสงค์แล้ว เธอยกยิ้ม เอ่ยเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนเมื่อเห็นว่าพนักงานเสริฟถือจานอาหารมาพอดี“อาหารมาแล้ว ทานกันก่อนเถอะค่ะ”พนักงานเสริฟนำจานอาหารมาวางบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นหอมของอาหารทะเลลอยอบอวลไปทั่วโต๊ะ แต่ความอึดอัดที่แผ่คลุมระหว่างผู้หญิงสองคนกลับไม่จางหายไปแม้แต่น้อยมีนาใช้ส้อมจิ้มเนื้อปลาเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองลินดาอีกครั้ง รอยยิ้มของเธอแฝงไว้ด้วยความพอใจ “คุณลินดาคะ ฉันดีใจนะที่เราเข้าใจกันได้แบบนี้”เธอว่าพลางถอนหายใจ“โลกมันไม่ใจดีกับผู้หญิงอย่างเราเสมอไปหรอก โดยเฉพาะเวลาที่เราพยายามจะรักใครสักคนด้วยความจริงใจ”คำพูดนั้นแฝงไปด้วยอารมณ์สะท้อนอดีต ทว่ากลับถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันอย่างแนบเนียน ลินดาวางช้อนลงเบาๆ ก่อนยิ้มบางเจือความเศร้า“บางที... ความจริงใจก็อาจไม่มีความหมายเลย ถ้ามันไปตกอยู่ในมือของคนที่ไม่เห็นค่า”“ถูกต้องเลยค่ะ” มีนาพยักหน้าลินดาทำทีเหมือนยอมรับ หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบช้าๆ กลบรอยยิ้มบางที่แทบมองไม่เห็นบนริมฝีปากในใจของเธอกลับกำลังสังเกตุทุกสีหน้า และน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามไว้ผู้หญิงตรงหน้านั้
“ฉันเป็นคนรักของพีระค่ะ เราคบกันมาหลายปีแล้ว”ประโยคนั้นทำให้บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็งในพริบตา ลินดานิ่งงัน เธอเบิกตาเล็กน้อย แสดงสีหน้าตกใจปนสับสนอย่างแนบเนียนที่สุดหญิงสาวกะพริบตาถี่ราวกับพยายามประมวลผลคำพูดเมื่อครู่ ดวงหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มกลับเม้มแน่นจนแทบขาวซีด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยเค้นคำพูดแผ่วเบาออกมา“…อะไรนะคะ”มีนาไม่ตอบทันที เธอแค่ยิ้มบางๆ แล้วหลุบตาลงมองอาหารที่เพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้ชวนคุณมาทำให้ลำบากใจหรอกนะ” เสียงของเธอสั่นน้อย ๆ “แค่อยากบอกความจริงไว้... เท่านั้นเองค่ะ”ลินดายังคงทำหน้าตกตะลึง ดวงตาไหววูบอย่างสมจริง ขณะเอ่ยตะกุกตะกัก“...ฉันไม่รู้เลยค่ะ ฉันขอโทษ...” เสียงของเธอขาดช่วง คล้ายคนสติหลุดไปชั่วขณะ “ถ้ารู้ ฉันไม่มีทาง...”“ไม่เป็นไรค่ะ” มีนาขัดขึ้นทันทีด้วยเสียงนุ่ม “ฉันไม่ได้โทษคุณ”น้ำเสียงนั้นให้ความรู้สึกปลอบประโลมมากพอให้ใจคนฟังสงบ ลินดาหลุบตาลงดั่งคนที่รู้สึกผิด เธอไม่พูดอะไรต่อสักคำ ท่าทางเหมือนหญิงสาวที่พึ่งถูกตบหน้าด้วยความจริงที่ไม่น่าคาดคิดในขณะที่มีนากำลังเล่นบทภรรยาหลวงที่ถูกทรยศ ลินดาก็กำลังวิเคราะห์ท
มีนาเอียงแก้วกาแฟในมือเบาๆ พลางจ้องฟองน้ำแข็งที่ลอยวนช้าๆ แววตาเธออ่อนลงเพียงเล็กน้อย ราวกับพึงพอใจกับแรงกดดันที่ตนสร้างขึ้นอย่างแยบยลลินดาเพียงมองหญิงสาวตรงหน้าเงียบๆ ราวกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร เธอทำท่าเหมือนจะตอบคำถาม แต่ก็คล้ายรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ จนไม่รู้จะตอบย่างไรเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่มีนาจะยิ้มบาง เปลี่ยนน้ำเสียงให้สดใสขึ้นอย่างแนบเนียน“งั้นคุณลินดาดื่มแก้วนี้แทนนะคะ ฉันดันแย่งแก้วของคุณไปแล้ว”เธอว่ากลั้วหัวเราะ ก่อนจะเลื่อนแก้วสตอรเบอร์รี่ปั่นให้อีกฝ่ายแทนลินดาเอ่ยของคุณแล้วรับมาช้าๆ ใช้หลอดคนเกล็ดน้ำแข็งในแก้วที่เริ่มละลาย แล้วค่อยๆ ดื่มลงไป“จะว่าไป คุณลินดานี่เก่งนะคะ ดื่มอเมริกาโน่ได้ด้วย ฉันน่ะไม่ถูกกับกาแฟเลยค่ะ มันขมจะตาย” มีนายังคงเอ่ยชวนคุยเจื้อยแจ้ว ขณะวางแก้วอเมริกาโน่ไว้อีกทางโดยไม่แตะมันอีก“ฉันก็เพิ่งรู้นะคะ ว่าคุณพีระจะชอบอเมริกาโน่ใส่ไซรัปครึ่งปั๊มเหมือนกัน”น้ำเสียงนั้นฟังดูมีอะไรบางอย่าง ทว่าลินดาแสร้งทำเป็นไม่สังเกต เอ่ยตอบกลับอย่างพาซื่อ“นั่นสินะคะ ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันค่ะ”ท่าทางเหมือนคนไม่รู้อะไรสักอย่างของลินดาทำเอามีนาต้องลอบ
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น เสียงเคาะแป้นพิมพ์ในห้องทำงานเงียบลงทีละเครื่อง แสงแดดยามเย็นลอดผ่านกระจกสูงบานใหญ่ สาดเป็นเงาทอดยาวเข้ามาในห้องออฟฟิศพนักงานบางส่วนเริ่มทยอยเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ลินดายังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอเหมือนคนกำลังยุ่งกับการตรวจสอบประวัติผู้สมัครงานใหม่ แต่ในใจนั้นกลับกำลังนับเวลาอยู่เงียบๆเพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นหน้าจอแสดงชื่อที่เธอคุ้นเคยมีนาริมฝีปากของลินดายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยนิดจนแทบออกไม่ออก ก่อนจะคลี่ออกอย่างเป็นธรรมชาติทันทีที่เธอกดรับสาย“สวัสดีค่ะคุณมีนา” น้ำเสียงของเธอคล้ายเต็มไปด้วยความแปลกใจ แฝงความระมัดระวังเล็กน้อย ทว่าปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกที“ยังไม่เลิกงานเหรอคะ”น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนจนชวนให้รู้สึกแปลก ลินดาหรี่ตาลงเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงนุ่มนวลเป็นมารยาท ยังคงไม่พูดอะไรมากเกินไปเพื่อรอให้อีกฝ่ายเอ่ยจุดประสงค์ออกมาก่อน“กำลังจะกลับพอดีค่ะ”“ดีเลยค่ะ” มีนาพูดต่อด้วยจังหวะเนิบช้า เสียงเรียบนิ่งแต่แฝงบางอย่างที่อ่านไม่ขาด“เย็นนี้ว่างไหมคะ พอดีฉัน... อยากชวนคุณไปกินข้าวเย็นด้วยกันสักมื้อ”
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ของอาคารสำนักงานใหญ่กลางกรุงเทพฯ ลินดาเดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีสดใสตามปกติ แต่ภายในใจกลับไปได้เรียบง่ายดั่งที่แสดงออกเธอกำลังเฝ้ารอและสิ่งที่เธอรอก็ปรากฏออกมาชัดเจนผ่านบรรยากาศในสำนักงานบรรยากาศในเช้าวันนี้ช่างอบอวลไปด้วยความสงสัยและกระแสข่าวลือ พนักงานแต่ละคนกระซิบกระซาบกันตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเต็มตัว และหัวข้อสนทนาเดียวที่ทุกคนเอ่ยถึงคือ... การลาออกอย่างกะทันหันของมีนา“เธอลาออกเมื่อคืนเลยเหรอ” เสียงของพนักงานสาวจากฝ่ายธุรการดังขึ้นขณะยืนรอเครื่องชงกาแฟ อีกคนพยักหน้า“ใช่ เห็นว่าเก็บของกลับไปหมดแล้วด้วยนะ” น้ำเสียงของเจ้าตัวแผ่วลง แต่ยังบ่งบอกชัดถึงความงุนงงใครจะคิดว่าจู่ๆ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันมานานจะลาออกไปโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆหากไม่ใช่ว่ามีนากลับมาที่ออฟฟิศตั้งแต่เช้าเพื่อเก็บของ บางทีหลายคนอาจจะคิดว่าเธอโดนอุ้มฆ่าไปแล้วก็ได้ลินดาเดินผ่านโต๊ะทำงานของพนักงานคนอื่นๆ ตามปกติ พร้อมกันนั้นก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่เงียบสงัดและสายตาที่มองมาทางเธอราวกับพยายามจะหาคำตอบในสายตาของทุกคนแล้ว ด้วยฐานะคนรักคนปัจจุบันของรอ
อีกฝากหนึ่งภายในคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง บรรยากาศทั่วทั้งห้องเงียบสงัดอย่างผิดปกติ ราวกับความเย็นชาแทรกซึมอยู่ในทุกตารางนิ้วมีนาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เส้นผมยาวสลวยถูกรวบไว้เรียบร้อย ใบหน้าสะสวยฉายแววเย็นชาเจือความเย้ยหยันเย้ยหยันตนเองที่รักผิดคน แถมยังหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเขาไม่ทางทิ้งเธอตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับพีระ มีนาก็รู้อยู่แล้วว่าคนแรกที่เขาสงสัยจะต้องเป็นเธอ แต่หญิงสาวไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่เชื่อใจเธอขนาดนี้ทั้งที่พีระรู้ดีว่าทั้งคู่ร่วมมือกันมานานขนาดนี้ การที่ใครคนหนึ่งพัง นั่นหมายความว่าอีกคนจะพังไปด้วย แต่ในสถานการณ์ที่ควรร่วมมือกันแบบนี้ เขากลับคิดว่าเธอเป็นศัตรูดวงตาคมเข้มของหญิงสาวฉายความมั่นคงและทรงพลัง ภายในนั้นบรรจุไว้ด้วยความกรุ่นโกรธและเคืองแค้นในเมื่อคุณไม่เชื่อใจฉันก่อน ก็อย่าคิดว่าฉันใจร้ายล่ะเสียงเปิดประตูดังกริ๊กดังขึ้นกลางความเงียบ พีระเดินเข้ามาในห้องช้าๆ เมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพกำลังลากกระเป๋าออกจากห้อง เขาเพียงชะงักไปนิด ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเย็นชา“คุณจะไปไหน”เสียงของเขาเย็นชาราวกับคนแปลกหน้า ร่างสูงในชุดสูทยังคงมีเค้าลางของความเหนื่