น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย
“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”
“พ่อครับ!”
“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”
แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว
“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”
ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมดังเดิม
“ขอบคุณครับ”
เรือนหลังเล็ก หรือ บ้านหลังน้อย บ้านที่ภคินตั้งใจสร้างให้คุณนิ่มภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว แม่ลูกที่ช่วยกันตั้งชื่อบ้านและก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้ใช้ชื่อไหน แต่สุดท้ายคุณนิ่มเองกลับไม่มีโอกาสได้อยู่ ภควัฒน์มองตามเบื้องหลังแกร่งที่เดินลับไปตามแนวกกบาหลีที่ปลูกเรียงรายไว้ตามสะพานไม้ที่ทอดยาวสู่ตัวบ้าน ดวงตาคมเข้มที่ทอดแบบให้ลูกชายได้ไม่ผิดเพี้ยนมีแววยิ้มในสีหน้า
“ปัญหาเล็กน้อยต้องฝ่าไปให้ได้”
ภควัฒน์ยิ้มเมื่อนึกไปถึงชายหนุ่มที่เขาอุ้มชูไม่ต่างจากลูกชายอีกคน “นุติ” จะต้องช่วยได้ หากภคินหัวดื้อไม่ยอม เขาก็จะใช้เจ้านุตินี่แหละให้เป็นประโยชน์ ภคินจะต้องรู้และยอมรับลินลดาไม่ต่างจากเขา เพราะปัญหาอันดับแรกของเขาก็คือ ลินลดาไม่ยอมรับในข้อเสนอนั้นต่างหาก
.
.
“ยายจ๋า.. นะจ๊ะยาย ลิลอยากไปฝึกงานกับแม่”
เสียงหวานออดอ้อนพลางคลอเคลียใบหน้าไปมาบนหน้าอกอุ่นยวบของผู้เป็นยาย เสียงเว้าวอนน่าสงสารเพราะไม่ว่าอย่างไร ยายมุกดาก็ไม่อนุญาตให้เธอลงไปฝึกงานที่ร้านอาหารของมารดา
“ลิล ไม่ได้หรอก ลิลรู้หรือลูกว่าร้านของแม่เขาน่ะอยู่ตรงไหน ถ้ายายปล่อยให้ลิลไปแล้วไปหลง หรือมีใครมาฉุดไปขาย ยายจะทำยังไง”
เสียงแหบชราเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ทั้งห่วงและหวง ห่วงทั้งร่างกายและห่วงทั้งความรู้สึกถ้าลลิลได้รู้ความจริงว่าร้านอาหารที่ลินจงบอกนั้นไม่ใช่แบบที่วาดฝันไว้หลานสาวจะมีสภาพเป็นอย่างไร
“โธ่! ยายจ๋า ลิลน่ะอายุ 20 แล้วนะ อีกไม่กี่เดือนก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว แค่สมุทรปราการลิลไปถูก มีแค่ที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ของแม่ก็พอแล้ว ไม่มีใครเคยบอกยายเลยหรือจ๊ะว่าหลานยายมุกดาน่ะฉลาดเป็นกรด ฉลาดมาก..”
“และก็ฉลาดแกมโกงด้วย”
“โธ่! ยายจ๋า นะนะ..ให้ลิลไปนะ ลิลอยากลองไปอยู่ที่อื่นบ้าง ลิลต้องฝึกงานก่อนจบนะจ๊ะ”
“โรงงานแถวบ้านเราก็มีนี่ลูก ฝึกแถวนี้ก็ได้ เดี๋ยวยายจะไปคุยกับผู้ใหญ่ให้เขาช่วยฝากเข้า เงินเดือนเราไม่เอาก็ได้ แค่ได้ฝึกงานก็พอ นะลูกนะ ฝึกที่บ้านเรานี่แหละ ไม่ต้องไปไกลถึงที่นั่นหรอก”
มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะหลานสาวไปมา ทำไมแกจะไม่รู้ว่าที่ลลิลต้องการจะไปฝึกงานนั้นเป็นเพราะว่า “คิดถึง” 3 ปีแล้วที่ลินจงไม่กลับมาบ้าน “ฉันงานยุ่งนะแม่” สิ่งที่มักจะบอกออกมาเสมอ แต่คนเป็นแม่เหมือนกันทำไมจะไม่รู้ เพราะว่าลลิลโตเป็นสาวแล้วน่ะซิ สิ่งที่เห็นอาจจะทำให้เข้าใจในงานของลินจงได้ไม่ยาก เสียงร้องไห้ของลูกสาวที่ส่งผ่านตามสายโทรศัพท์มันสะท้อนใจแกอย่างแรง
“แล้วเมื่อไรแกถึงจะเลิก เมื่อไร เงินทองเราก็พอมีพอกินแล้วนี่ ลิลเองมันก็จะเรียนจบแล้ว มันจะเลี้ยงแม่เลี้ยงยายได้แล้ว เลิกเถอะลินจง อย่าให้ลิลมันรู้เลยว่าแม่ของมันทำงานอะไร”
คำที่แกบอกลูกสาวมีเพียงเสียงร้องไห้ที่ตอบกลับมา ยายมุกดาโอบกอดหลานสาวไว้แนบอก หัวอกคนเป็นแม่คนเป็นยายสั่นสะท้านเพราะแกเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ลินจงไม่ยอมเลิกกิจการทั้งที่ก็กลัวลูกจะรู้
“เชื่อยายนะลิล ฝึกงานที่บ้านเรานี่แหละลูก ว่าแต่จะเริ่มฝึกกันเดือนไหนล่ะ ยายจะได้ไปคุยกับผู้ใหญ่เขาไว้เนิ่นๆ”
“เอ่อ..อีก 2 เดือนจ้ะยาย”
“เอ..แต่เห็นผู้ใหญ่แกบอกว่านังผึ้งมันจะฝึกสิ้นเดือนนี้แล้วนะ”
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่จ๊ะ ผึ้งเขาเลือกคนละคณะกับลิล ก็เลยฝึกไม่เหมือนกันจ้ะ”
ลลิลซบใบหน้าลงกับอกอุ่นของยาย น้ำเสียงอู้อี้เอ่ยบอกขณะที่หัวใจเต้นรัวเร็ว “โกหก” เพราะเธอโกหก ยังไงเธอก็ต้องลงไปหาแม่ให้ได้ เสียงยายที่พูดโทรศัพท์กับแม่ไปร้องไห้ไปยังก้องอยู่ในหู อะไรคือสิ่งที่แม่ต้องเลิก เธอจะต้องรู้ให้ได้และงานที่แม่ทำมันคืออะไร เธอยังมีเวลากว่าครึ่งเดือนที่จะแจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาถึงสถานที่ฝึกงาน ไปดูก่อนคงไม่เป็นไร
ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง “บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..” “แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...” ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ... “เล้า..ไก่..” “อือฮึ!..”แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกา
ขอบตาหวานและปลายจมูกรั้นๆ แดงระเรื่อที่เห็น ทำไมนะเขาถึงคิดว่าเธอเหมือนพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ทว่าเพราะแก้มเปล่งที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขานี้ สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างตะลึงมองเขาเช่นกันนั้นมันน่าจูบเสียจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ “อุ๊บ!..อื้อ..” ความอุ่นวาบฉกทาบประทับที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นในทันที ลลิลเบิกตาโตอย่างตกใจ ใบหน้าส่ายไปมาไม่ยอมขณะที่ฝ่ามือยันแผงอกเขาและดิ้นรนให้อ้อมแขนรัดนั้นคลายออก ทว่ายิ่งดิ้นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุกเร้ามากยิ่งขึ้น ลิ้นชำนาญงานชอกชอนดันดูดความอ่อนเดียงสาอย่างจาบจ้วง ลลิลรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเมื่อรับรู้ได้ว่าการหายใจกับอากาศที่ได้รับเริ่มจะไม่สัมพันธ์กัน “หึหึหึ.. ไก่ยังบินไม่เป็นเลยนี่ ท่าทางจะต้องสอนกันอีกนาน” ภคินรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อประสบการณ์สอนสั่งให้รู้ว่า “ไก่หลง” ตัวนี้ช่างอ่อนเดียงสานัก “จูบแรก” ของเธอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นรางวัลยามเช้า ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะเป็นลมจนมือเท้าอ่อ
เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ “ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ” ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่
เสียงเพลงเคล้าคลอบาดอารมณ์เหมือนวันก่อนจนดูคล้ายจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว ทั้งแสง สี เสียง ล้วนถูกจัดสรรให้สำหรับปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำให้กระเจิงไปกับแรงยั่วเย้าทั้งจากน้องนางข้างเคียง ทั้งจากนักร้องและแดนเซอร์บนเวที ดวงตาคมเข้มกวาดมองทั่วทั้งคาเฟ่ทว่าไม่เห็นเจ้าของคนงามออกมาเยื้องกายด้วยมาดนางพญาเหมือนเช่นเคย“พี่คะ มีใครเคยบอกพี่หรือเปล่าคะ ว่า..พี่หล่อม๊ากมาก.. พี่หล่อที่สุดในบรรดาแขก..ที่หนูเคยรับ”สาวน้อยวัยไม่น่าเกิน 20 เบียดกระแซะหน้าอกอวบกับท่อนแขนเขา ขณะที่นิ้วมือกรีดกรายอยู่บริเวณเรียวปากและไล่เรื่อยลงมาตามลำคอแกร่งจนถึงแผงอก ความหยุ่นนุ่มสัมผัสรุกเร้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะเสนอในสิ่งที่เขาอยากจะสนองเสียรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรอคอย“คะ..คุณคิน ขอโทษครับที่ผมมาช้า”นุติในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รีบกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะถูกโทรจิกให้มาเจอที่สถานที่แห่งนี้โดยด่วน! ภายใน 10 นาที แค่บึ่งรถออกจากบ้านมาถึงที่นี่ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว แถมยังต้องขับรถไปคิดถึงหน้าบึ้งๆ นี้ไป แล้วเขาจะทำได้ไงภคินโน้มร่างระหงลงมาหาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ใบหน้างามเหมือนจะเง้า
น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”“พ่อครับ!”“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะ
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ทว่าพุงพุ้ยที่ยื่นออกมานั้นทำให้ร่างสูงดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น บุคลิกนิ่งๆ ที่มีเพียงสายตาที่กวาดมองรอบด้านอย่างจะประเมินมองสถานการณ์ ภายใต้ชุดตำรวจครึ่งท่อนนั้นยิ่งทำให้คนของอีกฝ่ายต้องทำท่าแขยงๆ ไม่กล้าจะทำตามที่นายสั่ง “เฮ้ย! กูสั่งให้รุมมันไง ทำไมมึงถึงไม่ทำ” “ฮะ..เฮีย เอาจริงหรือครับ ผมกลัวปืนผู้กำกับ” ไอ้ลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าหันมาบอกปากคอสั่น ขณะที่ดวงตาหวาดๆ ของมันส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ล้อมรอบผู้กำกับบัญชาให้อยู่เฉยๆ อย่าได้ทำอะไรวู่วาม “โธ่โว๊ย! แค่ตำรวจแก่ๆ คนนึง พวกมึงก็ป๊อดซะแล้ว ต้องให้ถึงมือกูทุกที” เสียงพูดอย่างไม่เกรงกลัวใครเอ่ยบอกก่อนจะดันลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ให้พ้นทาง เสี่ยพงศกรมองดูผู้กำกับบัญชาที่อยู่ในวงล้อมลูกน้องเขาอย่างเป็นต่อ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนยกยิ้ม ดวงตาคมปานเหยี่ยวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อจ้องมองผู้กำกับวัยใกล้เกษียณที่จ้องประสานสายตาไม่หลบเช่นกัน “ผู้กำกับ วันนี้มันคิวผม ผู้กำกับจะมาชุบมือเปิบได้ไง โน่น! เด็กใหม่ๆ เยอะแยะ ทำไมต้