เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ
“ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ”
ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่
ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่าคนบนเรือนนั้นคงตื่นแล้ว แม้น้ำตาจะรินไหลแต่ก็เลือกแล้วที่จะไป
.
.
...กริ๊งงงงง...กริ๊งงงงง...
เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทำให้ลินลดาสะดุ้งตัวตื่นในทันที ดวงตาหวานทว่าแฝงไว้ด้วยความอิดโรยมีแววขุ่นเคืองชั่วครู่ แต่แล้วก็รีบปรับเป็นปกติโดยเร็ว คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ใครจะโทรมาแต่เช้า.. ในเมื่อก็รู้อยู่ว่าเรา..ทำงานกลางคืน”
คำสุดท้ายนั้นเพียงคิดไว้ในใจ ก่อนที่ร่างอวบอัดจะรีบเคลื่อนกายลงจากเตียงเพื่อไปรับเสียงที่ยังแผดลั่นอย่างคนต้นสายนั้นร้อนรนเสียกว่าใคร
“สวัสดีค่ะ..”
เสียงที่เปล่งออกมาตามสายนั้นมีผลทำให้มือไม้อ่อนแรง ลินลดาปล่อยเนื้อกายให้ลู่ลงสู่พื้นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้ ดวงตาหวานเบิกโพลงพลางละล่ำละลักกรอกเสียงพูดลงไปทั้งที่ตัวเองก็แทบจะหัวใจแตกสลายอยู่แล้ว
“แม่..ใจเย็นๆ ไว้ หนูจะจัดการเองจ้ะ.. ไม่ต้องห่วง หนูจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องลำบาก แม่ไม่ต้องห่วง จ้ะ.. จ้ะ..”
น้ำตาที่ปริ่มจะไหลต้องรีบสะกดทิ้งก่อนจะรีบจัดการตัวเองให้พร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่คงมาถึงไม่เกิน 7 โมงเช้าของวันนี้ เธอต้องรีบเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนที่ลูกจะมาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น
.
.
“ลินลดาคาเฟ่” ป้ายชื่อที่บ่งบอกเหมือนกับสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษ ดวงตาหวานที่ทอประกายสีเขียวหม่นจ้องมองป้ายชื่อนั้นนิ่ง ไอร้อนผะผ่าวที่เกิดขึ้นเหมือนจะรู้สึกได้ที่ดวงตาและปลายจมูกรั้น ลลิลหลับตาชั่วครู่เรียกแรงฮึดให้กับตัวเองเมื่อความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นมันปะปนไปด้วยความประหม่าและไม่แน่ใจว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะยินดีต้อนรับเธอหรือไม่
“สู้! ไอ้ลิล สู้! อุตส่าห์นั่งรถมาถึงนี่แล้วจะกลัวอะไรอีก ลองสักตั้ง คิดซะว่าจะได้ไม่เสียเที่ยวรถ”
ลลิลทำท่าสู้ๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินสำรวจรอบๆ บริเวณหน้าร้าน ประตูทางเข้าที่ปิดมิดชิดพร้อมทั้งเขียนกำกับเวลาปิด-เปิดเอาไว้ทำให้ลลิลเกิดความไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยู่ที่นี่หรือเปล่า ร้านอาหารกึ่งสปาในความคิดของเธอช่างแตกต่างไปจากสิ่งที่เห็นอย่างสิ้นเชิง สภาพด้านนอกที่ปลูกต้นไม้ประดับไว้ตามรั้วพร้อมติดไฟสีต่างๆ ที่เห็นนั้น ทุกๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจับจนหนาเตอะ รวมทั้งแผ่นป้ายไฟนีออนที่ประดิษฐ์อักษรไว้เป็นคำอ่านชวนวาบหวามนั้นด้วย มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่แม่และยายบ่งบอกว่าเป็น “ร้านอาหาร”
“สาว สวย ขาว อึ๋ม sexy”
ลลิลย้อนกลับมาที่ประตูด้านหน้าอีกครั้ง เมื่อสำรวจดูทุกทางก็ไม่เห็นว่าจะมีช่องทางใดที่จะเข้าไปข้างในได้นอกเสียจากประตูทางเข้านี้เท่านั้นก่อนที่จะแนบสายตากับบานประตูใหญ่ที่แม้จะมืดแต่ก็ยังมองเห็นสภาพด้านในได้อย่างรางเลือน โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดตามมุมต่างๆ รวมทั้งเวทีเล็กๆ ด้านใน ทำให้ลลิลต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ร้านอาหารจริงๆ” ความกังวลใจกับสภาพภายนอกแทบจะหมดไปในทันทีถ้าไม่เพราะ..
“โอ๊ะ! ว๊าย!..”
บานประตูที่ถูกดึงจากด้านในทำให้ลลิลเสียหลักเอนไปข้างหน้าด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เท่าที่ร่างบางนั้นกลับเอนไปซบแผงอกกว้างของใครบางคนที่กำลังรวบร่างของเธอไว้ทั้งตัว ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้ใบหน้าจึงแหงนขึ้นมองโดยอัตโนมัติ ทว่าสิ่งที่เห็นกลับทำให้เธอตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่า แก้มนวลเหมือนจะมีสีระเรื่อขึ้นในทันทีเพราะเจ้าของดวงตาคมเข้มนั้นอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบจนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ นั้น
ภคินถึงกับชะงักไปชั่วครู่กับสิ่งที่เห็น เด็กสาวที่ล้มหน้าคะมำลงมาที่อกของเขา ความรีบทำให้เขากระชากบานประตูเปิดเร็วเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกำลังแนบร่างอยู่กับบานประตูนี้ แต่จากสภาพของเธอก็คงจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะเล่นถลามาตามแรงกระชากถึงขนาดนั้น ทว่าดวงตากลมโตที่นัยน์ตานั้นให้สีเขียวหม่นๆ ที่มองเห็นอยู่ห่างไม่ถึงคืบนี้กลับทำให้เขาต้องขอบคุณความเพลียที่ทำให้เขาเผลอหลับไปจนเช้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นของสวยๆ งามๆ ยามเช้าแบบนี้
ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง “บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..” “แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...” ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ... “เล้า..ไก่..” “อือฮึ!..”แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกา
ขอบตาหวานและปลายจมูกรั้นๆ แดงระเรื่อที่เห็น ทำไมนะเขาถึงคิดว่าเธอเหมือนพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ทว่าเพราะแก้มเปล่งที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขานี้ สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างตะลึงมองเขาเช่นกันนั้นมันน่าจูบเสียจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ “อุ๊บ!..อื้อ..” ความอุ่นวาบฉกทาบประทับที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นในทันที ลลิลเบิกตาโตอย่างตกใจ ใบหน้าส่ายไปมาไม่ยอมขณะที่ฝ่ามือยันแผงอกเขาและดิ้นรนให้อ้อมแขนรัดนั้นคลายออก ทว่ายิ่งดิ้นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุกเร้ามากยิ่งขึ้น ลิ้นชำนาญงานชอกชอนดันดูดความอ่อนเดียงสาอย่างจาบจ้วง ลลิลรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเมื่อรับรู้ได้ว่าการหายใจกับอากาศที่ได้รับเริ่มจะไม่สัมพันธ์กัน “หึหึหึ.. ไก่ยังบินไม่เป็นเลยนี่ ท่าทางจะต้องสอนกันอีกนาน” ภคินรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อประสบการณ์สอนสั่งให้รู้ว่า “ไก่หลง” ตัวนี้ช่างอ่อนเดียงสานัก “จูบแรก” ของเธอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นรางวัลยามเช้า ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะเป็นลมจนมือเท้าอ่อ
เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ “ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ” ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่
เสียงเพลงเคล้าคลอบาดอารมณ์เหมือนวันก่อนจนดูคล้ายจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว ทั้งแสง สี เสียง ล้วนถูกจัดสรรให้สำหรับปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำให้กระเจิงไปกับแรงยั่วเย้าทั้งจากน้องนางข้างเคียง ทั้งจากนักร้องและแดนเซอร์บนเวที ดวงตาคมเข้มกวาดมองทั่วทั้งคาเฟ่ทว่าไม่เห็นเจ้าของคนงามออกมาเยื้องกายด้วยมาดนางพญาเหมือนเช่นเคย“พี่คะ มีใครเคยบอกพี่หรือเปล่าคะ ว่า..พี่หล่อม๊ากมาก.. พี่หล่อที่สุดในบรรดาแขก..ที่หนูเคยรับ”สาวน้อยวัยไม่น่าเกิน 20 เบียดกระแซะหน้าอกอวบกับท่อนแขนเขา ขณะที่นิ้วมือกรีดกรายอยู่บริเวณเรียวปากและไล่เรื่อยลงมาตามลำคอแกร่งจนถึงแผงอก ความหยุ่นนุ่มสัมผัสรุกเร้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะเสนอในสิ่งที่เขาอยากจะสนองเสียรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรอคอย“คะ..คุณคิน ขอโทษครับที่ผมมาช้า”นุติในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รีบกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะถูกโทรจิกให้มาเจอที่สถานที่แห่งนี้โดยด่วน! ภายใน 10 นาที แค่บึ่งรถออกจากบ้านมาถึงที่นี่ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว แถมยังต้องขับรถไปคิดถึงหน้าบึ้งๆ นี้ไป แล้วเขาจะทำได้ไงภคินโน้มร่างระหงลงมาหาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ใบหน้างามเหมือนจะเง้า
น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”“พ่อครับ!”“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะ
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ทว่าพุงพุ้ยที่ยื่นออกมานั้นทำให้ร่างสูงดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น บุคลิกนิ่งๆ ที่มีเพียงสายตาที่กวาดมองรอบด้านอย่างจะประเมินมองสถานการณ์ ภายใต้ชุดตำรวจครึ่งท่อนนั้นยิ่งทำให้คนของอีกฝ่ายต้องทำท่าแขยงๆ ไม่กล้าจะทำตามที่นายสั่ง “เฮ้ย! กูสั่งให้รุมมันไง ทำไมมึงถึงไม่ทำ” “ฮะ..เฮีย เอาจริงหรือครับ ผมกลัวปืนผู้กำกับ” ไอ้ลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าหันมาบอกปากคอสั่น ขณะที่ดวงตาหวาดๆ ของมันส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ล้อมรอบผู้กำกับบัญชาให้อยู่เฉยๆ อย่าได้ทำอะไรวู่วาม “โธ่โว๊ย! แค่ตำรวจแก่ๆ คนนึง พวกมึงก็ป๊อดซะแล้ว ต้องให้ถึงมือกูทุกที” เสียงพูดอย่างไม่เกรงกลัวใครเอ่ยบอกก่อนจะดันลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ให้พ้นทาง เสี่ยพงศกรมองดูผู้กำกับบัญชาที่อยู่ในวงล้อมลูกน้องเขาอย่างเป็นต่อ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนยกยิ้ม ดวงตาคมปานเหยี่ยวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อจ้องมองผู้กำกับวัยใกล้เกษียณที่จ้องประสานสายตาไม่หลบเช่นกัน “ผู้กำกับ วันนี้มันคิวผม ผู้กำกับจะมาชุบมือเปิบได้ไง โน่น! เด็กใหม่ๆ เยอะแยะ ทำไมต้