INICIAR SESIÓN“แล้วใครจะดูแลคุณย่ากับคุณปู่ละคะ?” เชือกฟางถามอย่างเป็นห่วงที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง
“ย่าและคุณปู่มีคนดูแลมากมาย ไหนจะโนอาห์ แอนนี่ เอ็ดเวิร์ด พวกเขาก็เวียนมาหากันโดยตลอด จริงมั้ย?”
“ค่ะ เชือกฟางเข้าใจแล้วค่ะ แล้วเชือกฟางต้องเดินทางเมื่อไหร่ค่ะ”
“ย่าจะให้ทนายเร่งจัดการ เชือกฟางต้องเดินทางโดยทันที เพราะตอนนี้ที่ประเทศไทยกำลังจะเปิดภาคเรียนการศึกษา ย่าไม่อยากให้ เชือกฟางต้องขาดช่วงในการเรียนนะจ๊ะ”
เชือกฟางเดินตามไอเดนด้วยความเหม่อลอย คิดถึงคุณย่าหนูนาที่เธอไม่ได้กอดท่านนานเหลือเกิน เพราะการเลื่อนการเดินทางไปอังกฤษออกไปนั้นก็รวมถึงการเดินทางไปอเมริกาด้วย
“คิดถึงคุณย่าละสิ” เชือกฟางเลื่อนสายตาและสติของตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อเสียงของไอเดนก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“รู้ได้ไง?”
“ก็หน้าเธอไม่ต่างกับลูกสุนัขยามมันคิดถึงเจ้าของ”
“ว่าเชือกฟางเป็นสุนัขเหรอ?”
“ใช่!” ไอเดนยักคิ้วใส่เชือกฟาง ที่มักจะทำหน้าตูมใส่เขา ยามที่ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่แบบนี้ดีกว่าหน้าเศร้าๆของเธอตั้งเยอะ “รีบกลับกันเถอะ คุณตากับคุณยายคงเป็นห่วงแล้ว...อ๊ะ!”ไอเดนคิ้วขมวดหลี่ตามองที่ท่อนแขนของเชือกฟาง “เกิดอะไรขึ้น!”
“เอ่อ!...เชือกฟางซุ่มซ่ามเอง” เชือกฟางหลบตาตอบไอเดน เมื่อเขาเห็นล่องรอยบนแขนของเธอ
“ซุ่มซ่าม!...นี่มันรอยเล็บข่วนชัดๆ...บอกมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่มีอะไร เชือกฟางซุ่มซ่ามเอง...” เชือกฟางสะบัดแขนให้หลุดจากการจับของไอเดน และเดินต่อทันทีอย่างรวดเร็ว ไอเดนทำเพียงมองตามอย่างสงสัย และเขารู้เช่นกันว่าเชือกฟางไม่มีทางบอกอย่างแน่นอนว่าใครรังแกเธอตลอดสองปีที่เชือกฟางมาอยู่ที่เมืองไทย เขาคงต้องสืบอย่างเอาจริงเอาจังเสียที เพราะถึงแม้ไม่บ่อยที่เชือกฟางมีล่องรอยแบบนี้ แต่เขาก็เห็นหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งที่ถามเธอก็เอาแต่เดินหนีแบบนี้เรื่อยไป
เชือกฟางกระชับเป้ที่สะพายและเร่งฝีเท้าของตัวเอง หลีกหนีจากการต้องตอบคำถาม เธอรู้จักไอเดนเป็นอย่างดีในช่วงสองปีมานี้ ไอเดนเป็นคนที่ไม่ยอมคนและยอมลงกับใครง่ายๆ เขาสามารถมีเรื่องกับทุกคนได้อย่างไม่มีการไตร่ตรองแม้สักนิด เพียงแค่เหตุผลว่าเขาไม่ผิดและไม่เคยรังแกใครก่อน ที่นี่เป็นโรงเรียนนานาชาติของจังหวัดที่ค่าใช้จ่ายสูงมากต่อภาคเรียน เด็กส่วนใหญ่จึงมาจากครอบครัวที่ฐานะดี และเกินครึ่งเป็นลูกครึ่งไทยกับหลายๆเชื้อชาติ อย่างไอเดนเองก็เป็นลูกเสี้ยวไทย-อเมริกัน เขาพูดและสื่อสารได้สองภาษาระดับความสามารถเท่าเทียมกัน แต่เขาจะไม่ใช้ภาษาไทยกับเธอเลย ถึงแม้เธอจะไม่มีเชื้อสายทางนี้ แต่เธอก็ได้รับการเลี้ยงดูจากคุณย่าหนูนาที่ท่านสอนภาษาไทยให้กับเธอและเมื่อเธอมาอยู่เมืองไทย นอกจากในโรงเรียนกับไอเดนแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่เธอก็จะใช้ภาษาไทย และชื่อเล่นนี้คุณย่าหนูนาก็เป็นคนตั้งให้เธอ ชื่อจริงของเธอคือ เซเลน่า ซึ่งเธอคือเด็กที่ได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวนี้เท่านั้น
ไอเดนกับเชือกฟางกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น โรงเรียนกับบ้านอยู่ห่างกันเกือบหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งเชือกฟางก็ไม่ได้มีปัญหาในการที่ต้องเดินทางด้วยเท้าทั้งไปและกลับตั้งแต่เธอมาเรียนที่นี่ และเธอก็ไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง เธอจะเดินไปและกลับจากโรงเรียนเป็นประจำกับไอเดน และนี้ก็เป็นเรื่องใหม่ที่เธอเองพึ่งรู้ว่า ไอเดนต้องการแบบนี้ตั้งแต่เธอมาอยู่เมืองไทย เพราะก่อนหน้านี้จะเป็นลุงกายเสียส่วนใหญ่ที่คอยรับส่ง ไอเดน ซึ่งเรื่องนี้เธอก็รู้มาจากคุณยายนีออน
คุณยายยืนรอรับเธอและไอเดนที่หน้าประตู เธอกับไอเดนกลับไม่เป็นเวลา เพราะนั้นขึ้นอยู่กับไอเดน ว่าเขาจะเล่นกีฬาหลังเลิกเรียนนานแค่ไหน และวันนี้ถือว่าพวกเธอกลับเร็ว ทั้งๆที่นี่เป็นช่วงฤดูสอบปลายภาค
“ไปล้างมือและไปกินข้าวเย็นกัน” คุณยายนีออนพูดออกมาอย่างใจดีเสมอ เมื่อไอเดนและเชือกฟางทำความเคารพและเข้าไปหอมแก้ม คุณยายเหมือนที่ทำตามปกติ และบนโต๊ะอาหารที่พร้อมกันทุกคนรวมถึง ลุงกายด้วย เชือกฟางจะเรียก กาย ผู้ติดตามและคุ้มครองไปเดนมาตั้งแต่เกิด ลุงกายจะต้องมาร่วมรับประทานเป็นปกติ เพราะสำหรับไอเดนแล้ว ลุงกายไม่ได้เป็นเพียงบอร์ดิการ์ดประจำตัว ลุงกายเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของเขาที่ไอเดนทั้งเคารพและรักมากคนหนึ่ง เพราะกายติดตามและเป็นหนึ่งในผู้คนที่เลี้ยงดูไอเดนมาโดยตลอด
“หนูขอตัวก่อนนะคะ พรุ่งนี้หนูมีสอบสองวิชา อยากจะทบทวนหนังสือก่อนเข้านอนนะคะ” เชือกฟางกล่าวออกมา เมื่อทานมื้อเย็นไปเพียงเล็กน้อย นั้นเพราะเธออึดอัดที่ไอเดนเอาแต่จ้องจับผิดเธอตลอด
“ไอเดน แกล้งอะไรเชือกฟางอีกใช่มั้ย?” นีออนหันไปถามหลานชายโดยทันที เมื่อเชือกฟางวิ่งขึ้นข้างบนไปแล้ว
“ทำไม?...อยากจะแกล้งอะไรเขาอีกละ...” “เปล่าสักหน่อย...ยายนั้นมาฟ้องคุณย่าเหรอครับ” “คิดว่าเชือกฟางทำแบบนั้นเหรอ” ไอเดนยิ้มและส่ายหน้า ถึงเขาจะเจอกับเชือกฟางได้ไม่นาน แต่เขารู้ว่าเชือกฟางไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน “นะครับคุณย่า” “จะดูแลเขาได้เหรอ?” หนูนาถามกลับทันที “ได้ครับคุณย่า” หนูนายิ้มให้กับหลานชาย หนูนามองเข้าไปในดวงตาของไอเดน เธอรู้ว่าไอเดนคิดยังไง และเมื่อไอเดนกล้ามาคุยกับเธอ นั้นก็แสดงให้เธอรู้ว่า ไอเดนคิดยังไงโดยที่ไม่ต้องมีคำพูดมากมาย “คุณปู่และย่าภูมิใจในตัวหลาน
“ไอเดน ฉันชอบเธอ” ไอเดนเบิกตากว้างขึ้น อย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้จากผู้หญิงอีกคน เชอร์รี่บอกออกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เธออยากจะบอกไอเดนมาตั้งนาน เธอไปขอให้เชือกฟางร่วมมือ ให้เปิดทางให้เธอได้อยู่กับไอเดนเพียงลำพัง แต่... “เธอควรจะหาทางเองดีกว่า” เชือกฟางบอกกับเชอร์รี่ไป หลังจากที่เชอร์รี่บอกให้เชือกฟางกลับบ้านไปเองตามลำพัง ไม่ต้องรอไอเดน “เชือกฟางมันจะยากอะไรนักหนา เธอก็กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปบอกไอเดนแทนเธอเองว่า เธอฝากมาบอกว่ากลับแล้ว” “ไม่ได้!” เชือกฟางตอบเชอร์รี่เพียงแค่นั้น เพราะถ้าเธอขืนทำแบบนั้น ชีวิตเธอคงไม่สงบไปอีกสักพักเป็นแน่ “ทำไมไม่ได้” &ldq
“อุ้ย!” คริสตี้ร้องออกมา เมื่อเธอพยายามจะปิดประตูแต่ฝ่ามือของเอริคก็ดันมันไว้อย่างรวดเร็ว และแน่นอนเธอต้านแรงของเขาไม่ได้ “คุณมาที่นี่ทำไม...” คริสตี้เอ่ยถามด้วยเสียงที่เธอคิดว่าดังมากแล้ว“เป็นอะไรเหรอเปล่า?” เอริคกลับตอบคำถามของเธอด้วยการตั้งคำถามกลับ เพราะคริสตี้ดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด “ออกไปนะ!” คริสตี้ไม่สนใจฟังและไม่สนใจใบหน้าที่ดูเป็นกังวลอย่างชัดเจนถ้าเธอจะสังเกตุ และมองใบหน้าของคนตรงหน้าตรงๆ “กินอะไรเหรอยัง?” เอริคหลี่ตามองและตั้งคำถามอีกครั้ง ไม่สนใจคำไล่ของเธอ “ออกไปนะ!...” คริสตี้อ่อนแรง อ่อนเพลีย เธอเหมือนจะเป็นลม และเธอก็เจ็บปวดเมื่อยตามร่างกาย เธอคงกำลังจะไม่สบาย “อ๊ะ!” เอริคขยับรับร่างที่กำลังจะล้มหมดสติได้ทัน 
เฮเลนที่ลอบมองจากหน้าต่าง ล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมา และกดโทร.ออกทันทีเมื่อเจ้านายขับรถออกไป “คุณมุก...เรื่องน่าจะเลยเถิดไปมากกว่าที่คุณอลันคาดไว้แล้วล่ะคะ” เฮเลนเอ่ยบอกปลายสายทันที เมื่อได้รับเสียงตอบรับมา “เอริค ทำอะไรเหรอคะ?” ปิ่นมุกถามกลับทันที ในขณะที่เธอและ อลันอยู่ที่ญี่ปุ่น “ป้าคิดว่า คุณเอริคมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นที่เป็นลูกบุญธรรมของดีน เลอนาร์ด...และตอนนี้คุณเอริคก็ออกจากบ้านไปตามลำพังแล้วค่ะ” “ตายจริง!...ขอบคุณนะคะเฮเลน คนที่ก่อเรื่องต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ พี่อลันทำเกินไปแล้ว...มุกฝากเฮเลนช่วยดูแลเธอคนนั้นหน่อยนะคะ... คริสตี้เป็นเด็กดี...มุกได้แต่หวังว่าเอริคจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำลงไป...แต่ตอนนี้มุกต้องไปจัดการคนที่สร้า
“คริสตี้ ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอให้ดี...” เอริคพูดพร้อมกับที่เขาจัดการตัวเองโดยการเอาเกราะป้องกันที่ยังคงมีคราบเลือดพรหมจรรย์ของเธอติดอยู่ให้เห็นจางๆออกไป “เธอต้องกลับไปบอกพ่อของเธอว่า วันนี้เธอมาทำหน้าที่ของเธอที่บ้านของฉัน และมันยังไม่เรียบร้อย พรุ่งนี้เธอต้องเดินทางมาที่นี่อีก...” เอริคแต่งตัวไปพร้อมๆ กับพูดในสิ่งที่คริสตี้ต้องทำ เขาหยิบเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาจากพื้นและวางบนลงเตียง “...แต่งตัวซะ” เอริคสั่งการทันที เมื่อคริสตี้ยังไม่ขยับ แต่เธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด คริสตี้ขยับร่างกายที่บอบบางและอ่อนล้านั้นทันทีเท่าที่เธอจะสามารถขยับได้เร็วพอแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวดมาก เสียงพูดของเขายังดังต่อไป โดยที่เขาไม่แม้แต่จะมองเธอเลย คริสตี้รีบแต่งตัวตามคำสั่งนั้น เธอไม่มีคำถามต่อคำสั่งนั้น แต่... “ฉันยังต้องมาที่นี่อีกเหรอ?” คริสตี้ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ&
สองมือของเอริคไล้เลื่อนไปยังมือเล็กที่เกร็งดึงรั้งผ้าปูที่นอนดั่งกับต้องการหาหลักที่ยึดเหนี่ยว มือที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ากอบกุมมือเล็กไว้ ก่อนที่ เอริคจะทำลายกำแพงนั้น ‘พรหมจรรย์’ “อื้มมมมม...” เสียงร้องในคอของคริสตี้ดังออกมา พร้อมกับดวงตาที่ปิดลงอีกครั้ง น้ำตาของเธอไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อโพรงสาวถูกล่วงล้ำโดยแก่นกายของเขาจนแนบสนิทกันและกัน เอริคดูดรั้งริมฝีปากของเธอ เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดและอาการเกร็งของเธอทั่วทั้งเรือนร่างภายใต้ร่างกายเขา ให้ตายเถอะ! เอริคเกลียดความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ เพราะเขาพยายามหักห้ามตัวเอง เขาจะไม่ปลอบประโลมเธอเด็ดขาด คริสตี้ร้องออกมาเพียงครั้งเดียว จากความเจ็บปวดที่เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าเซ็กส์ มันมีดีอะไร ในเมื่อตอนนี้เธอทรมานกับสิ่งที่ได้รับอยู่ ร่างกายเธอแทบจะระเบิดออกมา ยามที่เขาเข้ามาในกายเธอ เธอเจ็บจนเกินบร

![สมิงดำ [มาเฟียร้ายรัก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





