กัสกับเขื่อนรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นวันแรก ที่ทั้งสองต้องมาซ้อมบทละครกัน ซึ่งเขื่อนจะรับบทวินส่วนกัสรับบทนิว ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้แอบหลงรักผู้ชายคนเดียวกันคือมีนรับบทโดยพีครุ่นพี่ชมรมละครเวที โดยมีเจนนี่เป็นผู้กำกับส่วนเกรซเป็นแอ็คติ้งโค้ช
“ฉากแรกเป็นฉากพบรัก วินเดินมาชนมีนหน้าคณะวิศวะ เมื่อทั้งสองเดินชนกันปุ๊บ สายตาจะประสานจ้องมองกัน”เจนนี่อธิบายฉากต่างๆ โดยละเอียดให้ฟัง ส่วนเกรซนั้นจะมาสอนการแสดงอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน
กัสนั่งดูเขื่อนกับพีคอย่างมีนัยแอบแฝง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับการแสดง ยิ่งเห็นพีคประคองร่างไม่ให้เขื่อนล้มลง กัสถึงใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ
“โอเค ผ่าน”เจนนี่สั่งหยุดทันที เมื่อเขื่อนและพีคเล่นฉากนี้จบ
ในช่วงเวลานี้กัสยังเหม่อลอยมองเขื่อนและพีคด้วยความสับสน กัสยืนนิ่งใจล่องลอยไปไกล จินตนาการว่าถ้าเป็นตัวของเขาเองจะเล่นฉากนี้อย่างไร
“น้องกัส ถึงคิวน้องต้องแสดงแล้วนะ มัวเหม่ออะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานแล้วนะ”เจนนี่เดินเข้ามาใกล้ๆกันพร้อมสะกิดที่แขน
“อ่อ กัสขอโทษ”
“ไม่ต้องเกร็งหรือคิดอะไรมาก ทำตัวตามสบายเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง นี่มันเป็นแค่ซ้อมเฉยๆ”เจนนี้ยิ้มให้กำลังใจ
“ครับ”
“ต่อไปเป็นฉากของนิวกับมีนจะเดินมาชนกันจนหกล้ม หลังจากนั้นมีนจะก้มลงมาประคองร่างของนิวลุกขึ้น ซึ่งแตกต่างจากวินที่ไม่หกล้ม”เจนนี่อธิบายรายละเอียดต่างๆให้กัสฟัง ส่วนเกรซเช่นเดิมสอนการแสดงให้ออกมาจากอินเนอร์ ทว่าเกรซถึงกับประหลาดใจเมื่อเริ่มซ้อมการแสดง กัสทำได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากหกล้มแล้วพีคมาช่วยประคองร่าง สายตาของกัสนั้นบ่งบอกความในใจมาหมดสิ้น
“กัส สุดยอดมาก เหมือนรักแรกพบจริงๆ สายตาของกัสนั้นบอกทุกสิ่งทุกอย่าง”เจนนี่พูดขึ้นทันทีเมื่อจบฉากนี้
เขื่อนก็เช่นเดียวกันเขาเห็นสายตาของกัสที่จ้องมองพีคนั้น มันเป็นสายตาแฝงความรู้สึกอะไรบางอย่างไว้ข้างใน จนเขื่อนแอบคิดไม่ได้ว่ากัสนั้นรักพีคจริงๆ
“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ พีคไปส่งน้องๆหน่อย นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”เจนนี่พูดขึ้น
“อือ เดี๋ยวเราไปส่งเองอยู่ห้องเดียวกันด้วย ส่งรวดเร็วพร้อมกันสองคนเลย”พีคยิ้มทีเดียวให้ทั้งกัสและเขื่อน
เมื่อทั้งสามคนมาถึงรถของพีค กัสและเขื่อนยืนคู่กันด้วยใบหน้านิ่งเฉย ส่วนพีคตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้คนไหนนั่งหน้า ด้วยความที่เขื่อนเป็นคนตรงๆง่ายๆเขาจึงเดินไปเปิดประตูท้ายเข้าไปนั่งข้างหลัง ส่วนกัสเมื่อเห็นเขื่อนนั่งหลังแล้ว เขาจึงเดินอ้อมไปด้านข้างอีกฝั่ง เพื่อนั่งข้างหลังเช่นกัน
“อ้าว ตกลงไม่มีใครนั่งคู่กับพี่เลยเหรอ พี่มันน่ารังเกียจขนาดนั้นเชียว”
“เปล่าหรอกครับ กัสไปนั่งหน้าซิ”เขื่อนเอ่ยขึ้น
กัสมองหน้าเขื่อนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปยังหน้ารถ พร้อมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งหน้ากับพีค
“ต้องแบบนี้ซิ เมื่อกี้พี่เหมือนคนขับรถแท็กซี่เลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่”กัสเอ่ยขึ้น
“กัสกับเขื่อนนี่สนิทกันมากดูรักใคร่กันดี พี่เห็นแล้วชื่นใจ รู้จักกันมากี่ปีแล้วล่ะ”
“ตั้งแต่มัธยมแล้วครับ” กัสเอ่ยขึ้น
“ก็หลายปีอยู่นะ”
พีคพยายามคุยกับทั้งสองคน หาเรื่องคุยไปเรื่อยแต่กัสและเขื่อน ถามคำตอบคำ ไม่พูดเหมือนตอนมาส่งทีละคน
“ถึงแล้วนะ น้องๆ”
“ขอบคุณครับ”กัสและเขื่อนพูดพร้อมกัน
กัสและเขื่อนลงจากรถแล้วเดินคู่กันไปยังห้องเช่าของพวกเขา โดยมีสายตาของพีคจ้องมองทั้งสองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เขายังไม่สามารถยอมรับความรู้สึกนี้ได้ซักเท่าไรนัก
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงห้องก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะมีความรู้สึกบางอย่างมาขวางกั้นไว้ เขื่อนหลังจากอาบน้ำเสร็จเขานอนในทันที ส่วนกัสยังมีงานเขียนนิยายต่อ เขาจึงนั่งหน้าโน๊คบุ๊ดอีกครั้ง พร้อมใส่จินตนาการดำเนินเรื่องราวในนิยายไปข้างหน้าเรื่อยๆ
แม่ทัพวิศรุฒพายิวล่องเรือเพื่อมายังเมืองศิลานคร ส่วนบรรดาทหารในกองทัพนั้นได้ล่วงหน้าไปก่อนเขาหลายวันแล้ว สาเหตุที่แม่ทัพวิศรุฒมาช้าเพราะมัวแต่ช่วยยิวจากเสือเข้ม ในช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่เรือมีแต่กินแล้วก็นอนจนมืดอีกครั้ง
“เมื่อไรจะถึงบ้านเมืองนายซะที”ยิวเอ่ยขึ้น
“ถามทำไมอยากเป็นเมียข้าใจจะขาดแล้วรึ”
“นายนี่มันจริงๆเลยคิดแต่เรื่องนี้แหละ”
“ข้าพาเอ็งมาก็เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้อย่าหวังข้าจะลำบากลำบนไปช่วยเอ็งมาทำไม”
“นายคิดดีแล้วเหรอ จะเอาเราเป็นเมียไม่อายคนอื่นเขาหรือไง”
“ใครบอกข้าจะเอาเอ็งออกหน้าออกตาล่ะ ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว เอ็งก็เป็นเมียลับๆของข้าก่อนที่ข้าแต่งงานแค่นั้นเอง”
“ท่านแม่ทัพเห็นข้าเป็นอะไรคิดจะย่ำยีอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
“ใช่ เอ็งเป็นเชลยศึก ข้าจะทำอะไรเอ็งก็ได้”
“ดีแต่พูดไม่เห็นทำอะไรซะที ทำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”ยิวบ่นพึมพำ
“ข้าทำไม่เป็นไง ข้าเลยอยากลองให้เอ็งสอนข้าหน่อย”
“พูดค่อยๆยังได้ยินอีก”
“ข้าเป็นทหารหูข้าดี”
“ดีแต่หูไม่ว่า”
“ดีแต่หูอะไร ข้าไม่เข้าใจเอ็งช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจทีซิ”
“หูดีปากดีจมูกดีทุกอย่าง”
“ใช่ ข้าดีทุกอย่าง”แม่ทัพวิศรุฒอมยิ้ม
“รำคาญนอนดีกว่า”ยิวล้มตัวลงนอน
“พึ่งจะมืดเองจะรีบนอนไปไหน มาเล่าเรื่องบ้านเมืองของเอ็งให้ข้าฟังหน่อย”
“อยากฟังเรื่องอะไรล่ะ มานอนฟังก็ได้เราเจ็บหัว เอาแขนมาให้เราหนุนหน่อย”
“เรื่องมากจริงเชลยคนนี้”แม่ทัพวิศรุมล้มตัวลงนอนหงาย พร้อมกับกางแขนออก
ยิวยกศีรษะขึ้นหนุนแขนท่อนใหญ่ มีแต่มัดกล้ามแต่เวลาหนุนศีรษะแล้ว ยิวรู้สึกได้ว่านุ่มกว่าหมอนเสียอีก
“เล่าได้หรือยัง”แม่ทัพวิศรุฒเอ่ยขึ้น
“มีตั้งหลายเรื่อง นายอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
“เอ็งไม่น่าถาม ข้าอยากรู้ว่าที่บ้านเมืองของเอ็ง ผู้ชายกับผู้ชายเขารักกันได้ด้วยเหรอ แล้วเขาอยู่กันฉันสามีภรรยาด้วยไหม เอ่อ เวลามีอะไรกันเขาทำกันอย่างไร ข้อนี้ข้าสงสัยมากที่สุด”
“หึ หึ หึ”ยิวหัวเราะเบาๆ
“เอ็งหัวเราะอะไร”
“ก็หัวเราะความไร้เดียงสาของท่านแม่ทัพนั้นแหละ”
“เอ็งเล่ามาเลยไม่ต้องหัวเราะข้าหรอก ข้าอยากรู้จะแย่แล้วว่าบ้านเมืองเอ็งเป็นเช่นไร”
“บ้านเมืองเรานะ รักไม่จำกัดเพศ รักคือรัก ไม่ว่าจะเพศไหนก็รักกันได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายรักกับผู้ชาย ผู้หญิงรักกับผู้หญิง ไม่เฉพาะแต่ผู้ชายกับผู้หญิงหรอก แต่ก็ต้องยอมรับความจริงส่วนหนึ่งว่า เป็นส่วนน้อยนะที่ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน ส่วนใหญ่ก็เหมือนบ้านเมืองท่านแม่ทัพนี่แหละ ชายหญิงรักกันมีลูกมีครอบครัว”
“ไม่มีใครว่าอะไรเหรอผู้ชายกับผู้ชายรักกัน”
“มันก็มีบ้างนิดหน่อย แต่สวนใหญ่รับกันได้ เพียงแต่อย่าสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น เหมือนเพศชายหญิงทั่วไปนั่นแหละ”
“ข้าสงสัยเอ็งรักผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ก็ผู้ชายน่ะสิ”
“แล้วเอ็งจะรักข้าไหมล่ะ”แม่ทัพวิศรุฒหันหน้ามามองยิวด้วยความใคร่สงสัย
ยิวนอนคิดยังไม่พูดอะไรออกมา เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้มีความรู้สีกรักแม่ทัพวิศรุฒแต่อย่างใด แต่ถ้าตอบตามความจริงก็กลัวแม่ทัพวิศรุฒจะทิ้งเขาไว้กลางลำน้ำ อีกใจหนึ่งถ้าแกล้งบอกรัก เกิดแม่ทัพคิดว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายฆ่าเขาทิ้งแล้วจะทำไง ยิวคิดไม่ตกบอกท่านแม่ทัพไม่ถูก
“เอ็งยังไม่บอกข้าเลย”
“แม่ทัพถามแต่เรา ตัวแม่ทัพเองจะรักเราไหม”
“ข้าไม่รู้นะตอนนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ข้าทำใจไม่ได้แน่ๆ”
“เปลื่ยนเรื่องพูดดีกว่า บ้านเมืองเรายังมีอะไรอีกเยอะนะ ที่ท่านแม่ทัพยังไม่รู้”
“ตอนนี้ข้ายังไม่อยากรู้ แต่ข้าอยากรู้ว่าเวลาผู้ชายกับผู้ชายเขาแสดงความรักกันเขาทำกันอย่างไร”
“เหมือนทำกับผู้หญิงนั่นแหละ กอดหอมแก้มจูบทำนองเดียวกัน”
“น่าเกลียดตายชักไม่กลัวฟ้าผ่าเหรอ”
“โอ๊ย ไม่ผ่าหรอกลองไหมล่ะ”
“ข้าไม่กล้าหรอกเดี๋ยวฟ้าผ่าขึ้นจะยุ่งไปกันใหญ่”
“มันจะผ่าได้ไงฝนก็ไม่ตกอยู่บนเรือมีหลังอีกต่างหาก ฟ้าไม่เห็นหรอกว่าเราทำอะไรกัน”
“เอ็งจะทำอะไรข้า หรือว่าให้ข้าทำอะไรเอ็ง”
“เดี๋ยวเราทำเองท่านแม่ทัพอืดอาดยึดยาด”
ทันทีที่ยิวพูดจบเขาก็พลิกตัวตะแครงหันหน้ามาหาแม่ทัพวิศรุฒ หลังจากนั้นเขากอดร่างแม่ทัพวิศรุฒตรงเนินอก ยิวยิ้มนิดนึงแล้วยกศีรษะขึ้นโน้มไปจูบแก้มของท่านแม่ทัพวิศรุฒ
“บัดสีบัดเถลิงเอ็งมาทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน”แม่ทัพวิศรุฒพูดอย่างไม่พอใจ แต่ส่วนลีกเขารู้สึกดีอยู่เหมือนกัน
“อ้าว ท่านแม่ทัพให้เราเป็นฝ่ายทำนี่ บ้านเมืองเราเวลาแสดงความรักกันเขาทำกันแบบนี้แหละ ถ้าท่านไม่ชอบเราไม่กอดท่านแม่ทัพก็ได้”ยิวกำลังจะยกแขนออกจากเนินอกของแม่ทัพวิศรุฒ
“เอ็งกอดข้าอย่างนี้ก็ได้ เพราะข้าเรี่มรู้สึกหนาว”แม่ทัพวิศรุฒไม่ได้รู้สึกหนาวแต่อย่างใด แต่ร่างกายของเขานั้นขนลุกด้วยความซ่านไปทั้งเรือนร่าง มันเป็นความรู้สึกที่เขาชอบมาก
“ติดใจซิท่า”ยิวอมยิ้ม
“เปล่าซักหน่อย”
“เปล่าก็เปล่า”ยิวขยับศีรษะให้อยู่บนวงแขนเหมือนเดิม
“ข้าลองหอมแก้มเอ็งได้ไหม”แม่ทัพวิศรุฒหันมามองหน้ายิว
“อยากหอมก็หอมเลย”
“ทำไมเอ็งไม่หวงตัวบ้างเลยล่ะ”
“ทำไมต้องหวง ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำ มัวแต่หวงตัวก็อดกันพอดี”
“เอ็งนี่พูดแปลกๆ”
“อยากทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวเราหลับตาไม่มองหรอก”ยิวหลับตาทันที
แม่ทัพวิศรุฒลังเลว่าจะหอมแก้มยิวดีหรือไม่ เพราะยิ่งเขามองใบหน้าอันใสสว่างขาวผ่องดังอิสตรี ใจของเขาอยากจะเข้าไปกอดหอมให้ชื่นใจ แต่อีกใจหนึ่งร่างนี้ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นชายเหมือนอย่างเขา แต่ด้วยความงามของใบหน้ายิว แม่ทัพวิศรุฒไม่สามารถอดใจไหว เขาจึงชะโงกศีรษะขึ้นแล้วค่อยๆก้มลงหอมแก้มอันขาวเป็นยองใย เพียงริมฝีปากของเขาสัมผัสแก้มยิว แม่ทัพวิศรุฒอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้ ไม่อยากถอนริมฝีปากออกจากแก้มอันนุ่มนวลของยิว แต่เขาก็ต้องตัดใจถอนใบหน้าออกห่างจากแก้มของยิว
“เอ็งรู้สึกอย่างไงบ้าง”แม่ทัพวิศรุฒมองใบหน้าของยิว ที่กำลังหลับตาพริ้ม
“เอ็ง สงสัยหลับไปซะแล้ว ข้าก็ลืมถามว่าเอ็งชื่ออะไร ข้าจะเรียกเองว่าโสพลก็แล้วกัน เพราะเอ็งบอกข้าตอนที่อยู่เมืองโสรยา”
แม่ทัพวิศรุฒอยากจะหอมแก้มยิวอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำ เขาจึงล้มตัวลงนอนครุ่นคิด ถ้าเกิดถึงบ้านเมืองของเขาแล้ว แม่ทัพวิศรุฒยังคิดไม่ออกว่าจะบอกคนอื่นว่าชายผู้นี้คือใคร
กัสหยุดเขียนแล้วอมยิ้มกับตัวละครของเขา วันนี้เขามีความสุขมากจึงเขียนบทให้หวานเข้าไว้ก่อน กัสปิดโน๊ดบุ๊คและหันหน้าไปมองเขื่อนที่กำลังหลับอย่างสบายใจ เขามองหน้าเขื่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมครุ่นคิดว่าเขื่อนนั้นรู้สึกเช่นไรกับพีค
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว