เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย
“นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ”
หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้
“ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา
“มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!”
“เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก”
“ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่างตีเหล็กเอาไว้ นางก้าวเท้าตามบ่าวรับใช้ได้สองสามก้าวก็นึกอะไรบางอย่างออก ล้วงมือในอกเสื้อหยิบตลับยาออกมา จังหวะหมุนตัวกลับส่งเสียงเรียกพร้อมปาตลับยาในมือออกไป
“หันซู!”
ปฏิกิริยาของหันซูรวดเร็วตามที่เยว่ซินคิดไว้ไม่ผิด เขาหันกลับมายกมือขึ้นรับตลับยาไว้ได้ทัน หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้แล้วตะโกนออกไป
“นั้นเป็นยาสมานแผลสูตรลับที่ประเมินค่ามิได้ ทาบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นจะทำให้รอยแผลจางลง” นางเห็นแววตาลังเลของพ่อบ้านแล้วก็หัวเราะออกมา “ลองทดสอบดูก็ได้ มิใช่ยาพิษหรอก อ้อ! ใต้เท้าฉู่ ลานด้านหลังยังว่างอยู่ ข้าขออนุญาตทำคอกเลี้ยงไก่นะ”
“เลี้ยงไก่?”
“ตอนเย็นมีบะหมี่ไข่กับเกี๊ยวกุ้งด้วย ท่านอยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม”
“กุ้ง?” หันซูประหลาดใจ นางซื้อกุ้งมาจากที่ใด
“อืม กุ้งแม่น้ำ แล้วตอนเย็นข้าจะไปกินข้าวด้วย” นางไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบอะไร รีบเดินเร็วๆ ไปพบคนที่นัดหมายไว้
“หันซู” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” หันซูมัวแต่นึกถึงอาหารที่จะได้กินเย็นนี้ก็ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะ
“กลืนน้ำลายของเจ้าเสีย”
“ขอรับ!” หันซูรีบกลืนน้ำลายลงคอทันที
ฉู่ห่าวหรานกลอกตาแล้วระบายลมหายใจเบาๆ “เจ้าตรวจสอบยาตลับนั้น”
“ขอรับ” เขาเปิดตลับยาขึ้นดมกลิ่นแต่ยังไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงจะมีพิษ
“เจ้าคิดว่านางมีวรยุทธ์หรือไม่”
“จะลองหาทางทดสอบนางดูขอรับ นายท่านคิดว่านาง...”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเหอเยว่ซินตัวจริงเป็นเช่นไร หรือสิ่งที่เราได้ยินเป็นเพียงการปล่อยข่าวให้เชื่อว่านางเป็นเช่นนั้น”
ฉู่ห่าวหรานกล่าวไปตามที่คิด แต่ถ้อยคำที่นางเอ่ยกับเขานั้น ทุกถ้อยคำกรีดลึกที่หัวใจของเขา จนเผลอกำมือแน่น ทว่าความเจ็บปวดนั้นกลับทำให้เขาแค่นยิ้มออกมา
นางคิดว่าจะเปลี่ยนอะไรได้หรือ?
อุดมการณ์เหล่านั้นมันเป็นเพียงภาพเพ้อฝันในวันวาน
เอาเถอะ เขาจะลองเล่นสนุกกับนางดูสักหน่อย หรือเป็นเพราะฮ่องเต้ยังคงเคลือบแคลนในตัวเขาอยู่ เขาวางมือลงบนหน้าขาของตัวเอง ต้องสูญเสียเท่าไหร่ จึงจะยืนยันได้ว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์!
หญิงสาวหยิบหน้าไม้ขึ้นมาดู โยนใส่มือขวาสลับใส่มือซ้าย และลองสะบัดไปมาทดสอบว่าเหมาะกับมือของตนหรือไม่
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหรือไม่”
“อืม” นางพยักหน้ารับแล้วหยิบลูกศรขึ้นดู หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย หากจะทำได้ดีกว่านี้คงต้องใช้เงินซื้อวัสดุที่ดีมากกว่านี้ ซึ่งนั้นเป็นปัญหาของนาง “ตะขอที่สั่งไว้ล่ะ”
“ข้าทำตัวอย่างมาให้แม่นางดูก่อน ถ้าไม่แก้ไขอะไรจะทำมาให้เพิ่มขอรับ”
มือเรียวเล็กยื่นไปรับตะขอเหล็ก มันเหมือนเบ็ดตกปลาแต่มีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ
“ฝีมือท่านอาหยวนไม่เลวเลยจริงๆ” นางกล่าวจากใจจริงแล้วหยิบถุงเงินส่งให้ “ช่วยหาหินลับมีดให้ข้าสักอันสิ”
“เอ่อ...ได้ ได้ขอรับ”
ช่างตีเหล็กรับปาก แม้จะประหลาดใจกับสตรีร่างเล็กและแปลกหน้าผู้นี้ ทว่าเมื่อได้เห็นฝีมือขับไล่หมาป่าของนางแล้ว ต้องยอมรับว่านางไม่ใช้สตรีธรรมดา การที่นางถามหา ‘หน้าไม้’ ‘ตะขอเหล็ก’ หรือแม้แต่ ‘หินลับมีด’ ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด
“ท่านอาหยวนฝีมือดีขนาดนี้ เหตุใดหลบซ่อนตัวเองในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้เล่า” นางถามคล้ายหยั่งเชิงคล้ายชวนคุยอย่างไม่ต้องการคำตอบจริงจังนัก ทว่าคนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มภายใต้หนวดเครารุงรังบนใบหน้าจางหายไปในทันที แม้ไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เยว่ซินสัมผัสได้ นางยังคงระบายยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าคนดีมีฝีมืออาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวงกันเสียหมด คนในหมู่บ้านชนบทก็คงยากไร้ช่างฝีมือดี อันที่จริงต้องขอบคุณท่านอาที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้”
“แม่นางเยว่ซินกล่าวเกินไปแล้ว” เขาพูดพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “หากมีเรื่องใดโปรดเรียกใช้งานข้าได้ทุกเวลา”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว ท่านทำตะขอเพิ่มให้ข้าอีกห้าอันนะ”
“ได้ๆ เสร็จแล้วข้าจะเอามาให้พร้อมหินลับมีด”
“รบกวนท่านอาแล้ว”
เยว่ซินเดินไปส่งช่างตีเหล็กที่หน้าคฤหาสน์ อันที่จริง นางไม่ได้ตั้งใจเดินไปส่ง แต่เดินไปดูบริเวณหน้าคฤหาสน์ต่างหาก ตามจริงนางควรนั่งคุยเจรจากับเขาเสียที แต่มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด นางยกมือขึ้นนับนิ้วว่าใช้เวลาหมดไปกี่วันแล้ว ป่านนี้ ‘เหอเยว่ซิน’ คงเดินทางไปถึงจุดหมายใช้ชีวิตกับคนรักของนางแล้ว
คิดถึงตอนนี้นางก็เผลอยิ้มออกมา
อันที่จริง ราชครูผู้นี้ก็ดูมิใช่คนเลวร้ายสักเท่าไร และดูไม่ใช่คนโง่อะไรนัก เหตุใดไม่สงสัยในตัวนาง แม้นางมีรูปโฉมงดงามไม่น้อย แต่เขาน่าจะพบพิรุธในตัวนาง เยว่ซินยกมือขึ้นม้วนปลายผมของตนเองเล่นพลางเดินขึ้นไปบนเขา นางชอบภูเขาลูกนี้มาก อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เสมือนครัวขนาดใหญ่ ธารน้ำตกที่ไหลจากภูเขาหล่อเลี้ยงคนเบื้องล่าง หากทำการเพาะปลูกดีๆ หาวิธีผันน้ำไปใช้ย่อมสร้างประโยชน์ได้มากมาย คนในหมู่บ้านมีราวสามร้อยคนเท่านั้น หากจะนำของป่าไปขาย ต้องคำนวนเวลาในการในเดินทางให้ดี ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เที่ยงวันคงไปถึง แต่ในเมืองคึกคักมาก นางจำได้ว่าตอนที่เดินทางผ่านมานั้นเห็นผู้คนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาก
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ