แสงแดดยามเช้าในฤดูฝนทออ่อนผ่านกลุ่มไม้สูง สะท้อนลงบ่อปลาเบื้องหน้าเป็นระลอกระยิบระยับ เสียงจิ้งหรีดเรไรยังไม่จางหายดี
นายและบ่าวที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่ตรงชานไม้หน้าครัวเล็ก ๆ ด้านข้างเรือนไม้เก่า พื้นไม้กระดานแห้งที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากควันไฟและสมุนไพรอบตลบ บรรยากาศเช้านี้อบอวลไปด้วยความละมุนละไมที่ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ให้มากความ “คุณเปรม หั่นหัวหอมให้หน่อยครับ เดี๋ยวผมจะตำพริกไว้รอ” เสียงอินเอ่ยขณะใช้สากครกไม้ตำพริกขี้หนูและกระเทียมอย่างคล่องแคล่ว แววตาเหลือบมองเปรมที่ยืนง่วนอยู่กับเขียงเล็ก ๆ ริมระเบียง “นี่เจ้ากำลังวานข้า หรือใช้ข้าเป็นบ่าวกันแน่” เปรมแกล้งบ่น น้ำเสียงเจือแววขำขันก่อนจะยื่นมือมาดึงผ้าขาวม้าที่เอวของอินเบา ๆ จนอีกฝ่ายแทบสะดุ้ง “อย่าเล่นสิขอรับ ผมเคืองนะ” อินแกล้งตีไหล่เปรมเบาๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกวนใส่ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “เคืองหรือเขินกันแน่ ข้าว่าแก้มเจ้ามันแดงกว่าไฟเตาเสียอีก” อินเงยหน้าขึ้นจากครกอย่างไว เห็นดวงตาคุณเปรมมองมาด้วยแววล้อเลียนปนเอ็นดู ใจเขาเลยเหมือนโดนตำแรงกว่าในครกเสียอีก “ผมจะตำป่นก็ป่นไม่ลงแล้วครับ ถ้าจะมาแซวกันเช้าตรู่แบบนี้” “ก็อยากให้เจ้าหน้าแดงเล่นนี่นา… ข้าชอบ” เปรมว่าเบา ๆ ก่อนจะหลบตาเล็กน้อย แล้วเงียบกันไปพักหนึ่ง มีเพียงเสียงหัวหอมถูกสับดังสับ…สับ… จนกระทั่ง— “คุณเปรมครับ ระวัง…!” เปรมหั่นเพลินจนเผลอบาดนิ้วตัวเอง อินรีบวางสากแล้วคว้ามือมาเช็ดเลือดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเป่าเบา ๆ ที่ปลายนิ้ว “คนอะไร หั่นหัวหอมยังบาดตัวเองได้” “ก็เจ้าทำข้าเสียสมาธินี่” เปรมพึมพำเบา ๆ “ปากก็ว่า แต่ตาข้าก็มองแต่เจ้า…” อินเงียบไป หัวใจเต้นแรงจนเกือบลืมว่ามีข้าวรอหุงอยู่ “…พูดแบบนี้ ระวังผมจะคิดว่าคุณจีบนะครับ” เปรมหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าจีบเจ้าอยู่จริง ๆ นี่นา อินเอ๊ย…” เสียงหัวเราะปนกลิ่นตะไคร้ลอยกรุ่นในอากาศเช้าวันนั้นจึงอบอวลไม่ใช่แค่กลิ่นเครื่องแกง แต่ยังคลุ้งไปด้วยความรักในครัวเล็ก ๆ ของเรือนไม้ที่คนสองคน… ตกหลุมกันและกันแบบไม่มีเงื่อนไข ขณะที่บรรยากาศอบอุ่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนั้น จู่ ๆ เปรมก็หยุดนิ่งไป รอยยิ้มบนริมฝีปากหุบลงทันใด ดวงตาคู่นั้นเหลือบไปยังพุ่มไม้ด้านข้างที่ไหววูบอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะยกมือทำสัญญาณให้เงียบ "ชู่ เงียบก่อน... มีคนแอบดูเราอยู่" เสียงพูดเบา ๆ ของเปรม ทำเอาอินที่กำลังจะหยิบข้าวสารชะงักมือทันที ดวงตาเรียวคมตวัดตามองตามเปรมไปในทิศทางเดียวกัน เสียงไหวในพุ่มไม้ขยับอีกครั้ง เสียงแห้ง ๆ ของกิ่งไม้กระทบกันคล้ายเสียงฝีเท้าแผ่วเบา เปรมไม่รีรอ คว้าเอา “มีดอีโต้” ที่เสียบไว้ตรงข้างครัว กระชับแน่นในมือ ก่อนจะปาดพรวดเข้าไปในพุ่มไม้โดยไม่ลังเล เสียงพุ่มไม้แตกดัง "พรืด!" แล้วสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในก็หยุดสั่นไหวทันที อินที่ไม่มั่นใจในสถานการณ์ ก็คว้าท่อนไม้ที่พาดอยู่ตรงข้างแคร่มาถือแน่นไว้เช่นกัน แววตาเขาชัดเจนเต็มไปด้วยความระแวดระวัง บรรยากาศเงียบลงจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง... แล้วไม่นานนัก ก็มีร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ทั้งเงอะงะและน้อยใจในคราเดียวกัน "คุณพี่เปรม... จะฆ่าแกงกันเลยหรือไร" เสียงบุรุษหนุ่มแต่งกายเรียบร้อย ใบหน้าขาวจัดดูสะอาดสะอ้าน ผมเรียบแปล้ตามแบบขุนนางผู้ดี ร่างนั้นคือ "หลวงวิษณุ" ผู้เป็นสามีของแม่หญิงปิ่นแก้ว น้องสาวแท้ ๆ ของเปรมนั่นเอง "พ่อณุ หรอกรึ?" เปรมขานชื่อออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงโล่งใจปนเหนื่อยใจ ก่อนจะวางอีโต้ลงแล้วเดินเข้ามาใกล้ "เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงไปหลบในพุ่มไม้... ช่างไม่สมกับเป็นน้องเขยข้านัก!" หลวงวิษณุทำหน้ามุ่ยทันใด ยกมือปัดเศษใบไม้ออกจากผ้าแพรที่คลุมไหล่ไว้ "ข้าก็แค่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าข้าออกมาหาพี่เปรม พอเห็นพี่กำลัง… เอ่อ… หยอกล้อกับบ่าวหนุ่มอยู่อย่างสนิทสนม ข้าก็ไม่กล้าออกไปขัด" เปรมถึงกับถอนหายใจเฮือกยาว ปิดหน้าตัวเองเบา ๆ คล้ายระอาในท่าทีและวาจาของน้องเขย อินยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบ ๆ แต่ในใจกลับกระอักกระอ่วนแปลก ๆ ดวงตาคมมองหลวงวิษณุอย่างไม่ชอบใจ ถึงจะเคยเห็นหน้ากันมาก่อนหน้าแล้ว แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เย็นชาแผ่จากคนตรงหน้า รอยยิ้มของหลวงวิษณุดูดี ดูสุภาพ แต่ก็เหมือนแฝงนัยแปลกประหลาดไว้ทุกครั้งที่มองมา อินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนมองเปรมที่กำลังทักทายหลวงวิษณุด้วยท่าทีห่วงใย แม้ใบหน้าจะยังติดแววเหนื่อยใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ และในขณะที่อินแสร้งก้มหน้าล้างข้าวในกระบอกไม้ต่อ เขาก็รับรู้ได้ดีว่า... ต่อจากนี้ คงไม่มีเช้าอันสงบสุขเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว แม้มื้อเช้าจะถูกจัดวางอย่างสวยงามบนถาดไม้ขัดเงา ประดับด้วยผักเครื่องเคียงสีสด ข้าวสวยร้อน ๆ ถูกตักเป็นพูนขาวคล้ายปุยเมฆหอมกรุ่น แต่สำหรับอิน รสชาติกลับจืดชืดอย่างประหลาดในวันนี้ ข้าวในปากไม่ต่างจากเศษฝุ่นแห้งแล้งในลมว่าวฤดูแล้ง เพราะแทนที่จะมีเสียงหัวเราะหยอกล้อ บทสนทนาเบาสบายที่เคยมีแต่สองเขากับคุณเปรม... ตอนนี้กลับกลายเป็นบทสนทนาของบุคคลที่สาม ที่แทรกตัวเข้ามาอย่างแนบเนียนจนชวนให้รู้สึกแปลกแยก เสียงพูดคุยของคุณเปรมและ “หลวงวิษณุ” หรือ ผู้เป็นน้องเขย ดังเบา ๆ อยู่ที่ชานไม้ด้านหน้า โต๊ะไม้เตี้ยถูกจัดเป็นวงล้อมข้าวของอย่างเรียบร้อย แต่บรรยากาศกลับหนักอึ้งเหมือนหมอกยามเช้าที่ลอยปกคลุมยอดไม้ “... ข้ามิคิดว่าจะพบเจ้า ณ ที่เช่นนี้” เปรมเอ่ยเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเจือเย็นชานิด ๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้กับผู้ใดนัก “ข้าแปลกใจยิ่งนัก ว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าหลบอยู่ที่นี่ แม่ปิ่นแก้วเป็นผู้บอกกระนั้นหรือ?” อินที่นั่งอยู่อีกมุมของชาน เงยหน้าขึ้นมอง เปรมเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบ แต่ในดวงตากลับวาวขึ้นเหมือนจับความคลางแคลงไว้ใต้ฝาปิดน้ำเดือด หลวงวิษณุชะงักไปเล็กน้อย ริมฝีปากคล้ายจะขยับตอบ แต่กลับชะงักคล้ายกำลังหาคำตอบที่นุ่มนวลที่สุด “ข้า... เอ่อ มิได้มาจากปากคุณปิ่นแก้วดอกขอรับ เมียข้ายังมิทราบด้วยซ้ำว่าท่านพี่ของหล่อนอยู่ที่นี่” “แล้วเจ้าทราบได้อย่างไร?” เสียงของเปรมฟังดูราบเรียบ แต่ชัดเจนว่ากำลังวัดใจ—ไม่ต่างจากคมดาบแตะคอหอยอย่างเงียบงัน หลวงวิษณุหัวเราะเบา ๆ อย่างกลบเกลื่อน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบลื่นแต่แฝงด้วยความหลักแหลม “โลกนี้ไม่มีที่ใดซ่อนเงาจันทร์ได้หมดดอกขอรับ... ต้นไทรใหญ่เพียงใด ก็ยังมีเถาวัลย์เลื้อยพัน แม้ท่านเปรมจะคิดว่าไร้ผู้ใดติดตาม—แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่ากลิ่นชะมดในสมุนไพรอบตัวท่านลอยไปไกลถึงหน้าวัดท้ายบาง” เปรมนิ่งไปครู่หนึ่ง คำตอบของหลวงวิษณุแฝงทั้งเล่ห์และปัญญา นุ่มนวลแต่กระทบใจ เขารู้ในทันทีว่าน้องเขยของเขา…มิใช่เพียงคนในเรือน แต่เป็นคนของใครอีกคนเช่นกัน ทว่าภายนอก เขากลับยิ้มบาง ๆ ราวกับมิได้ถือโทษ “เข้าหูไว ตาไว ยิ่งกว่าแมวกลางค่ำกลางคืนเสียอีกนะ…” หลวงวิษณุหัวเราะเบา ๆ พลางรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่... ท่านทำกับข้าวเองหรือ? หอมยิ่งนัก กลิ่นข้าวใหม่กับน้ำพริกนี่ ใครเป็นผู้ตำ?” อินเงยหน้าขึ้นมาอย่างชะงัก ๆ ไม่คิดว่าคนมาใหม่จะพูดถึงเขา ก่อนจะยิ้มเก้อ ๆ “ผมเองขอรับ... คุณเปรมช่วยหั่นเครื่อง” “ฝีมือเยี่ยมมาก กลิ่นเครื่องปรุงแทรกกับกลิ่นฟืนได้ละเมียดแท้ ๆ เห็นแล้วอยากให้บ้านข้าหุงข้าวเช่นนี้บ้าง” เปรมพยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้แย้ง แต่สายตาที่มองหลวงวิษณุกลับเต็มไปด้วยการจดจำ เขาอาจไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ในใจเขา... บันทึกไว้ชัดเจนแล้วว่าคนตรงหน้ามิใช่เพียง 'แขกแวะมา' แต่คือหมากตัวหนึ่งบนกระดานที่กำลังวางเกมล้อมรอบเขาอยู่เงียบ ๆ หลังคำชมเรื่องฝีมือครัวจบลง หลวงวิษณุก็ยังไม่ขยับไปไหน เขาวางมือลงเบา ๆ บนตัก ก่อนจะปรายตามองเปรมอย่างแนบเนียนผ่านไอน้ำร้อนจากถ้วยน้ำแกง “คุณพี่เปรม... หากบ้านเรือนที่ข้าอยู่ มีคนหุงข้าวเช่นนี้ ทำกับข้าวเช่นนี้ ทำความสะอาดบ้านเรือนเรียบร้อยอย่างที่นี่บ้าง คงอยู่บ้านมากขึ้น ไม่เที่ยวเตร่ไปตามจวนเพื่อนหรอกขอรับ” อินเหลือบตาขึ้นมอง ทั้งแปลกใจทั้งเคลือบแคลง แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไร นอกจากยื่นช้อนให้คุณเปรมเงียบ ๆ เปรมรับช้อนมาก่อนจะเอ่ยตอบเรียบ ๆ โดยไม่มองอีกฝ่ายตรง ๆ “ข้าวดี ๆ แบบนี้ หุงที่ใดก็หอมทั้งนั้นดอกขอรับ... ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เรือนข้า” " เจ้าพูดเช่นนี้ น้องสาวข้าดูแลเจ้าไม่ดีรึ? " แต่ดูเหมือนหลวงวิษณุจะไม่สะทกสะท้าน กลับหัวเราะเบา ๆ คล้ายชอบใจ " มิใช่ดอกขอรับ แม่ปิ่นแก้วดูแลข้าดีสมเป็นแม่เรือนยิ่งนัก ..แต่ข้าแค่ "เขาหยุด ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าเห็นทีจะต้องมาเรือนนี้บ่อย ๆ เสียแล้ว... ติดใจหลายอย่างเหลือเกิน ทั้งฝีมือครัว... ทั้งเจ้าของเรือน” เปรมวางช้อนลงอย่างนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที มือเรียวขาวจับผ้าขาวม้าไว้แน่นขึ้นเพียงเล็กน้อยราวกับควบคุมอารมณ์ ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ถ้าท่านจะมาบ่อย ๆ ก็อย่าลืมแจ้งมาก่อน... ข้าจะได้ ‘ตระเตรียม’ ให้เหมาะ และอย่าลืมพาแม่ปิ่นแก้วมาหาข้าด้วย” “ขอบพระคุณขอรับ ครั้งหน้าข้าจะพาหล่อนมาเยี่ยมเยือนคุณพี่เปรม” หลวงวิษณุเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายจะนอบน้อม แต่หางเสียงมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ “แม้ข้าจะยินดีมาล่วงหน้า แต่หากเจ้าบ้านใจดีเสียจนให้มาลอบย่องได้เสมอ... ก็คงทำให้ข้ายิ่งคิดถึงบ่อยเข้าไปใหญ่” เปรมไม่ตอบ เพียงยกถ้วยชาเบา ๆ ขึ้นจิบ ขณะสายตาก็มองออกไปทางบ่อปลาเงียบ ๆ คล้ายจะจบการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น หลวงวิษณุรับรู้ทันทีว่า ‘เขาโดนมองออกหมดแล้ว’ จึงหัวเราะเบา ๆ พลางเบนสายตาไปทางอินผู้ยังทำเป็นยุ่งกับชามข้าว “ว่าแต่... อินใช่หรือไม่?” เขาหันไปถามด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เจ้านี่ท่าทางขยันขันแข็ง หน้าตาก็สะอาดสะอ้าน หากอยู่เรือนข้า คงได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าบ่าวในไม่ช้า” อินเงยหน้าขึ้นนิด ๆ ยิ้มเก้อ ๆ ตอบแบบไม่กล้าประชด “ผมยังชอบอยู่ตรงนี้มากกว่าขอรับ” " และผมก็ยังคิดว่าไม่มีที่ใด อยู่แล้วมีความสุขเท่าอยู่กับคุณเปรมแล้วครับ " อินพูดออกมาจากใจจริงของเขา ก่อนจะส่งยิ้มบางๆไปท่งหลวงวิษณุ หลวงวิษณุหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกถ้วยขึ้นจิบชาเงียบ ๆ แต่ในแววตานั้นยังไม่วายเหลือบมองเปรมอีกครั้ง มองอย่างไม่ปิดบังเจตนา ส่วนเปรม... ยังคงสงบเหมือนผิวน้ำบ่อปลายามเช้า แม้จะรู้ว่าใต้น้ำนั้นมีกระแสซ่อนอยู่มากเพียงใดก็ตาม ทั้งหลวงวิษณุและคุณเปรมยังคงสนทนากันต่อจนลืมเลือนบ่าวที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บริเวณนั้นด้วย อินนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มือตักกับข้าว แต่หัวใจรู้สึกเหมือนถูกวางไว้ข้างจาน ท่าทางของคุณเปรมเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลวงวิษณุ ชายหนุ่มที่เขาไม่ชอบหน้ามาตั้งแต่แรกเห็น เขาตักกับข้าวใส่จานให้เปรมเหมือนเคย เป็นความเคยชินที่ทำด้วยใจ แต่เปรมกลับเพียงแค่เหลือบมอง แล้วปรายตาใส่เขาด้วยสายตาดุ ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และยังไม่หันมาตอบคำทักใด ๆ อินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่เงา… เป็น “บ่าว” จริง ๆ ในสายตาของเปรมวันนี้ สุดท้ายเขาจึงลุกออกมาเงียบ ๆ ทั้งที่ข้าวในจานยังเหลือครึ่ง น้ำเสียงที่ขออนุญาตออกจากวงอาหารก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน เขารู้ว่ามันไม่ควรจะเจ็บ แต่หัวใจก็ยังเจ็บอยู่ดีเหมือนหมาน้อยที่โดนเจ้านายลืม ลืมว่าตนเองเคยลูบหัวมันเบา ๆ ทุกเช้า เคยหัวเราะให้มันเวลาเห่าฟ้า เคยเรียกชื่อมันเวลาค่ำมืด เขาก็แค่อิน… อินของคุณเปรมไม่ใช่หรือ? ตกเย็น แสงอาทิตย์สีส้มอมทองทอดยาวลงบนเรือนไม้ เงาต้นไม้โยกไหวบนพื้นอย่างเชื่องช้า หลวงวิษณุได้จากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำอบจาง ๆ และความเงียบที่อัดแน่นอยู่ในบรรยากาศรอบบ้าน อินนั่งอยู่ข้างกระไดหลังเรือน ข้างตัวมีขันน้ำลอยดอกมะลิที่ยังไม่ได้นำไปวางในเรือน ดวงตาเขามีแววหม่นหมอง เหมือนหมาเด็กขี้งอนที่ไม่รู้จะเห่าหรือจะเดินหนีดี น้ำตารื้นอยู่ขอบตาแต่ไม่ยอมไหลออกมาเสียที แล้วเสียงฝีเท้าก็ปรากฏจากข้างหลัง... "อิน..." เสียงของเปรมนุ่มลง แตกต่างจากเมื่อเช้าโดยสิ้นเชิง อินไม่หันไป เขายังนิ่ง มือจุ่มลงในขันน้ำเบา ๆ คล้ายกำลังขลุกขลิกกับตัวเอง "อย่าทำแบบนี้..." เปรมเอ่ยเสียงแผ่ว พอไม่ได้คำตอบ เขาก็เข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับแขนอีกฝ่าย "ข้าแค่... ไม่อยากให้ใครรู้ว่าข้าสนิทกับเจ้าแค่ไหน โดยเฉพาะคนที่ไว้ใจไม่ได้อย่างหลวงวิษณุ" "แล้วทำไมต้องทำเหมือนไม่รู้จักกันขนาดนั้น" อินโพล่งออกมาในที่สุด น้ำเสียงสั่น ๆ คล้ายคนกลั้นมานาน "ข้าไม่ได้อยากเป็นความลับของใครนะคุณเปรม" เปรมนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับเข้ามาใกล้ "แล้วข้าทำเจ้ารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ หรือ" "ก็เห็นอยู่กับตา…" อินบ่นเบา ๆ เหมือนเสียงสุนัขครางหางตก "แค่ตักข้าวให้ ยังมองผมเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่าง" เปรมหัวเราะเบา ๆ แล้วไม่พูดอะไร เขายื่นมือไปดึงตัวอินเข้ามากอดแน่น ซุกหน้าลงที่ต้นคออีกฝ่ายแล้วสูดหายใจลึก "ขอโทษ ข้าทำเกินไป..." น้ำเสียงเขาอ่อนโยนจนอินใจสั่น "เจ้ารู้ไหม อิน... ข้าจะบอกใครได้ล่ะ ว่าแอบรักบ่าวเด็กของตัวเองจนถอนตัวไม่ขึ้น" อินสะอึกเล็ก ๆ ก่อนจะผลักอกเขาเบา ๆ "อย่าพูดอะไรแปลก ๆ ตรงนี้นะครับ… เดี๋ยวใครได้ยิน" "ใครจะได้ยินล่ะ ก็มีแค่เจ้ากับข้า—" เปรมไม่พูดต่อ แต่ก้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วกระซิบติดผิวเนื้อว่า "อย่าหนีข้าอีกเลยนะ อิน... ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้ามัดไว้กับเรือนนี่ล่ะ" อินหันหน้าหนีในทีแรก แต่พอเปรมโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนสัมผัสลมหายใจ เขาก็ยอมหันกลับมาเอง ริมฝีปากที่สั่นเพราะอารมณ์ค้างคา ถูกปิดด้วยจูบแผ่วเบาแต่อบอุ่น เป็นจูบที่ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีคำขออนุญาต มีเพียงความรู้สึกตรง ๆ ว่า เรายังรักกันอยู่ใช่ไหม อินตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงัน มือเขากำชายเสื้อของเปรมแน่น สองตาหลับลงอย่างปล่อยวางเหมือนคนที่ยอมให้อภัยในทุกสิ่ง … และยอมรับว่า ถึงจะงอนตุ๊บป่องไปบ้าง แต่เขาก็เป็นหมาเด็กของคุณเปรมอยู่ดี เมื่อค่ำคืนมาเยือน เสียงกบร้องรับกับเสียงลมหวีดหวิวลอดเข้ามาทางหน้าต่างไม้ที่ปิดไม่สนิท อินสะดุ้งตื่นจากฝันร้อน ร่างกายยังอุ่นอยู่จากไอไหล่ของใครบางคนที่เคยกอดเขาไว้แนบแน่นเมื่อตะกี้...แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า เขาพลิกตัวควานหาในความมืด ความเงียบแทบจะบีบหูให้แน่นตื้อ ไม่มีเสียงลมหายใจที่เขาคุ้น ไม่มีอ้อมแขนที่เคยโอบรัด เขาพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล "คุณเปรม?" ไร้เสียงตอบ อินเดินผ่านบานประตูไม้ ผลักออกอย่างเร่งรีบ ร่างของเขาเหมือนล่องอยู่ในความมืด เขาวิ่งลงบันได ฝ่าเข้าไปในครัว เฉลียง หน้าบ้าน ไม่มีใคร ไม่มีแม้เงา ไฟตะเกียงที่เคยจุดไว้ริมชานก็ถูกดับไปแล้วเหมือนจงใจ อินรีบวิ่งลงไปยังตะลิ่งด้านล่าง ทันทีที่สายตากวาดมองพื้นที่โล่งตรงนั้น ใจเขาก็หล่นวูบ เรือหายไปแล้ว... เขาไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่พายเรือลำนั้นไปกลางดึกไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคุณเปรม และเขาก็รู้ด้วยสัญชาตญาณทันที ปลายทางของเรือลำนั้นคือ เรือนใหญ่ บ้านเก่าที่ไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้าไปอีก หลังจากไฟไหม้ที่แทบจะลบล้างทุกอย่างในอดีต แต่คุณเปรม...กลับไปที่นั่นตอนกลางคื เพราะอะไร? หรือเพราะมีบางอย่างที่เขาไม่อยากให้อินรู้? อินกัดฟันแน่น ความรู้สึกหน่วงในอกเริ่มรัดรึงไม่ใช่เพราะโกรธ ไม่ใช่เพราะน้อยใจ แต่เป็นเพราะกลัว กลัวว่าเขาจะรู้ไม่ทัน กลัวว่าเขาจะเสียคุณเปรมไปอีก ครั้งนี้อย่างไม่มีวันได้คืนเขาหันขวับไปมองเรือนที่เงียบเชียบเบื้องหลัง ในความมืดนั้น บางอย่างสะท้อนแสงแวววาวขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ อินชะงัก ก่อนจะเดินกลับเข้าไป ค่อย ๆ เปิดม่านออก มันคือกล่องไม้เก่า ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนถูกวางไว้อย่างจงใจบนโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง เขาเอื้อมมือไปเปิดกล่องนั้น... ข้างในมีแผ่นกระดาษเก่า จ่าหน้าถึง “คุณเปรม” ด้วยลายมือที่ดูเหมือนจะสั่น แต่จงใจจดทุกคำอย่างมั่นคง ด้านล่างมีตราประทับที่อินไม่เคยเห็น และกลิ่นธูปจาง ๆ ที่เหมือนพึ่งดับไปเมื่อไม่นาน อินกำกล่องไว้แน่น หัวใจเต้นระรัว เขารู้แล้ว... การที่คุณเปรมจากไปเงียบ ๆ ในคืนนี้ อาจไม่ใช่แค่การ “กลับไปหาอดีต” แต่เป็นการ “เผชิญหน้ากับบางอย่าง ตามลำพัง” ที่อาจไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกเลย...หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า