ค่ำคืนนั้น ภายในโรงเหล้าริมน้ำที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันซิการ์ผสมกลิ่นเหล้าราคาถูก เสียงหัวเราะกร่างของชาววิลาทผิวขาวนัยน์ตาสีซีดแทรกผ่านเสียงคลื่นกระทบตลิ่ง กลายเป็นฉากหน้าของแผนการสกปรกที่ถูกขีดเขียนขึ้นจากหัวใจที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นอันลึกซึ้ง
หลวงวิษณุ หรือที่พวกฝรั่งนิยมเรียกสั้นๆ ว่า "ณุ" นั่งประจันหน้ากับพวกมันอย่างสงบ เส้นเลือดใต้ผิวตึงแน่นขณะที่ใบหน้านั้นยังคงเรียบเฉย ดวงตาฉายแววเอือมระอาแต่แฝงความแน่วแน่ไว้ลึกๆ เขาจิบเหล้าฝาดกลิ่นด้วยท่าทีสุขุม ขัดแย้งกับเสียงอึงอลของเหล่าพ่อค้าต่างชาติที่กล่าวอ้างว่าเป็น “มิตรแท้แห่งสยาม” ทั้งที่พูดภาษาสยามได้กระท่อนกระแท่นเสียจนฟังไม่รู้เรื่อง
> “หลวงพิชิตเดโช ตายแล้วจริงหรือ?”
เสียงหนึ่งถามขึ้น พลางส่งยิ้มเย้ยหยัน
วิษณุพยักหน้าช้าๆ ไม่เอ่ยคำใด เสียงหัวเราะของพวกมันจึงระเบิดขึ้นทันที
> “ทำการค้ากับคุณหลวงนี่ ช่างดียิ่งนัก!”
เสียงแก้วกระทบกันดังกังวาน แต่ภายใต้ท่าทีเฉยเมยของวิษณุ สิ่งหนึ่งกลับคุกรุ่นอยู่ในอก
"ถ้าข้าได้ตำแหน่งนั้นเมื่อใด...ก็หมดเวลาของมัน" เสียงหลวงวิษณุต่ำพร่าพลางหัวเราะหยัน เขายกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วฟาดถ้วยลงบนโต๊ะ
เสียงหัวเราะหื่นห่าของชายทั้งวงดังขึ้นอีกระลอก
"นังปิ่นแก้วนั่นก็ยังเชื่องเหมือนเดิม" วิษณุกล่าวยิ้มเยาะ
"ดีเสียอีก ข้าจะใช้ให้มันช่วยเปิดทางเข้าวัง ส่วนเจ้า...จัดการกับไออินที อย่าให้หลุดรอด"
เสียงขำอย่างกับคนบ้าดังขึ้นอีกครั้งภายในวงเหล้า ควันจากยาสูบลอยฟุ้งเคล้ากับกลิ่นเหล้าหมักคลุ้งจนแทบจะกลืนบรรยากาศรอบข้างให้คลุ้งมืดมัวไปหมด
ความจริงที่ไม่มีใครล่วงรู้ ว่าหลวงพิชิตเดโช ยังไม่ตาย เปรม...ยังมีชีวิต และเขาเป็นคนนำตัวคุณหลวงหลบซ่อนอยู่ในเรือนของตน มันคือความลับที่อันตราย และขมขื่นในคราเดียวกัน
เปรม ชายผู้เปรียบเสมือนญาติ เป็นเงาเงียบในความทรงจำ และเป็นเจ้าของหัวใจเขาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย แต่ไม่เคย... ไม่เคยเลยที่เปรมจะแลเขาด้วยแววตาเช่นเดียวกับที่มอง “อิน”
อิน... ทาสหนุ่มต่ำต้อย ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นทุกสิ่งในสายตาเปรม
> “เพียงเพราะมันเป็นทาส? หรือเพราะมันเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ข้า?”
เขาถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคืนที่ความเงียบกัดกินหัวใจ แม้จะพยายามเท่าใด วิษณุกลับกลายเป็นเพียงฉากหลังของความทรงจำ แม้จะถึงขั้นแต่งงานกับ “แม่ปิ่นแก้ว” น้องสาวของเปรม หวังจะได้ใกล้เงาเงียบของคนที่หลงใหล แต่สุดท้าย... ก็หลอกตัวเองไม่ได้
ใบหน้าของปิ่นแก้ว แม้จะละม้ายเปรม แต่ไม่ใช่และไม่มีวันใช่ ความรักที่ถูกจารีตตราหน้าว่าผิด ความปรารถนาที่ถูกกักขังจนบิดเบี้ยว ได้หลอมรวมเป็นไฟแค้นเงียบงันที่แผดเผาในอก
เมื่อพวกกัปตันวิลาทเสนอแผนลักลอบค้าอาวุธ วิษณุจึงยื่นมือ ไม่ใช่เพราะโลภแต่เพราะหัวใจของเขาถูกเหยียบย่ำ
> "หากข้าช่วยเปิดทาง..." "พวกมันจะตอบแทนด้วยการกำจัดอิน—และให้ข้ามีเปรม ไม่ว่าในสภาพไหนก็ตาม"
มันคือแผนการที่แปดเปื้อนด้วยความรัก ความเคียดแค้น และความพังทลายของศีลธรรม คืนนี้ ณ โรงเหล้าแห่งนี้... หลวงวิษณุได้กลายเป็นปีศาจที่ยิ้มอย่างสง่างามในเปลวเพลิงนรกของตนเอง
ในความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย
วิษณุยังจำเสียงหัวเราะของเด็กชายสองคนที่เคยวิ่งเล่นในลานกว้างกลางเรือนหลวงได้ดี เขาและเปรม สองเงาที่เคยสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวในทุกห้วงยาม วิษณุเคยคิดว่าเขาคือ “คนสำคัญ” เพียงหนึ่งเดียวของเปรม
แม้เปรมจะเป็นคนเงียบขรึม เจ้าระเบียบ และไม่เคยแสดงความรู้สึกจริง ๆ ออกมาให้เห็น แต่ในดวงตาคู่นั้น ในทุกครั้งที่เปรมเหลียวมองเขา วิษณุก็ยังอยากเชื่อว่าตนมีความหมาย
กระทั่งวันนั้น วันที่เปรมร่องเรือไปกับบิดาในแม่น้ำใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศสงบเย็น ศัตรูของบิดากลับซุ่มโจมตีเปรมที่ยังเป็นเพียงเด็ก ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ทัน และเด็กชายอีกคน อิน ในวัยเด็กที่อายุน้อยกว่าพี่เปรมตั้งหลายปี ร่างเปื้อนฝุ่น ผิวคล้ำต่ำศักดิ์ แต่ดวงตาใสซื่อกลับกล้าหาญเกินตัว เขากระโจนเข้ามาขวางดาบที่ฟาดลง พาวิ่งหนีสุดแรงเกิดเพื่อช่วยชีวิตเปรมไว้
วันนั้น บิดาของเปรมสิ้นใจคาเรือ แต่ในโลกที่พังครืนลง เปรมกลับมีแสงเล็ก ๆ ที่ชื่อ “อิน”
อินที่ทำให้เปรมผู้เคร่งขรึม เจ้าระเบียบ และไม่เคยยิ้มกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทีละน้อย จนวิษณุไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
เขามองเห็นมัน เห็นว่าตำแหน่งที่เคยเป็นของเขา ถูกแทนที่แล้ว
> “ข้าจึงต้องกำจัดมันไป ให้พ้นทาง"
เขาเสนอเงิน แลกตัวอินไปขายในตลาดทาสไม่ใช่เพราะใจร้าย แต่เพราะอยากทวงพื้นที่ข้างกายเปรมคืน
แต่นั่นไม่ใช่ชัยชนะ เปรมไม่ได้กลับมาหาเขา หากแต่กลายเป็นเพียงเงามืดที่ไม่มีใครเข้าถึงได้อีกเลย เขาเฝ้าทำดี อ่อนโยน ประจบสอพลอทุกวิถีสุดท้ายก็แต่งกับปิ่นแก้ว หวังเพียงให้ตนเองมีข้ออ้างได้อยู่ใกล้
แล้ววันหนึ่ง อินก็กลับมา ยังมีชีวิต แข็งแรง ยิ้มแย้ม ราวกับไม่เคยเจ็บ และเปรม... ก็กลับมายิ้มอีกครั้ง
ยิ้มในแบบที่ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากอิน
แววตานั้น ฆ่าวิษณุให้ตายไปทีละนิดอินกลับมาในฐานะเจ้าของหัวใจที่เขาไม่เคยได้ครอบครอง
และเขารู้ดีว่า ครั้งนี้...
จะไม่มีการไถ่บาปอีกต่อไป
เขาเลยคิดแผนเป่าหู จัดการเข้าไปเป็นตัวกลางแทรกระหว่างทั้งคู่ โดยการตีเนียนสนิทสนมกับบ่าวอย่างอิน ที่พูดน้อยและมักจะมีท่าทีที่ดูระมัดระวังอยู่เสมอ
" เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคุณพี่เปรมมองเจ้าเช่นไรอิน " น้ำเสียงเย้ยหยันของวิษณุคอยพูดกรอกหูอินอยู่เสมอทุกคราที่พบหน้า
" ข้าดูก็รู้ว่าเจ้า รักนายตัวเองมากกว่าแค่การจงรักพักดี "
" แต่ใครจะรู้ว่าถ้า เจ้าได้สบหวังกับนายเข้าจริง คนที่จะกลายเป็นขี้ปากคนคือนายของเจ้า "
" เช่นนั้นก็ลองขึ้นไปดูบนเรือนด้วยตาตัวเองเสีย "
ใช่แล้วเขาคือบุคคลต้นเหตุที่นำพาอินไปสู่ความจริง ที่เกินจะรับได้ เขารู้ว่าทั้งอินและเปรมรักกัน แต่แค่ทั้งคู่มีฐานะที่ต่างชั้นและเพศที่วิปลาสเลยทำให้ไม่มีใครกล้า แม้แต่จะบอกความในใจต่อกัน
วิษณุเขาเลยกำจัดต้นเหตุ ด้วยปลายเหตุเสีย ในเมื่ออินรักคุณพี่เปรม ก็ย่อมไม่มีทางให้คนรักถูกตราหน้าว่าเป็นพวกผิดเพศไปตลอดชีวิตแน่..
ในเงามืดหลังโรงเหล้า ยังคงมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องคนภายในโต๊ะของร้านเหล้า อย่างสั่นคลอน
ปิ่นแก้วยืนตัวแข็ง หน้าซีดเผือด ร่างสั่นเทิ้มราวใบไม้กลางลมแรง ใต้ผ้าคลุมหนา น้ำตาของนางไหลรินอาบสองแก้มโดยไร้เสียง
ข้างกายนางคือ "สาย" บ่าวผู้ภักดี ที่เคยช่วยเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ กุมแขนนางแน่น สายตาเต็มไปด้วยความสงสารและสั่นสะท้านพอกัน
"คุณหนู... เรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ ตรงนี้มันอันตราย..."
ปิ่นแก้วส่ายหน้า น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงหล่นจากปลายคางนาง เสียงในหัวตีก้องไม่หยุด เสียงของสามีที่เคยอ่อนโยน กลับกลายเป็นคำพูดต่ำช้าต่อพี่ชายของตนเอง
“...ข้าคิดผิดหรือ...ข้าคิดผิดมาตลอดจริงๆ หรือ...”
นางพูดแผ่วราวกับลมหายใจสุดท้าย ทว่าในดวงตานั้นเริ่มแปรเปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความแน่วแน่
มือขาวสะอาดของนางยกขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะดึงผ้าคลุมให้แน่นกว่าเดิม
"กลับเรือน สาย เราต้องกลับไปหาพี่เปรมก่อนที่ผัวข้าจะมาถึง"
"แล้วคุณหนูจะทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ?"
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนบัดนี้ลุกวาบด้วยเพลิงแห่งการตัดสินใจ
"ข้าจะไม่ปล่อยให้มันทำร้ายพี่ข้าได้อีกแม้แต่นาทีเดียว"
ปิ่นแก้วเร่งฝีเท้าก้าวหนีออกจากเงามืดหลังโรงเหล้า เสียงหัวใจเต้นระรัวจนแทบกลบเสียงฝีเท้าของตนเอง น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลกลับมาอีกระลอกเพราะแรงตัดสินใจที่ถาโถมเข้ามาจนใจแทบแตกสลาย
ทว่ายามที่นางกับสายเลี้ยวโค้งเพื่อหลบออกจากตรอกแคบ เสี้ยวกระโปรงของนางก็ติดกับไม้ผุที่โผล่พ้นพื้น นางสะดุดล้มลงอย่างแรง
“คุณหนู!”
สายรีบเข้าประคอง แต่นางกลับรีบยันตัวลุกขึ้นเอง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เสียงแก้วกระทบโต๊ะจากโรงเหล้าดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงตะโกนของชายเมา
“ใครน่ะ?!”
ปิ่นแก้วกลืนน้ำลายลงคอ เงยหน้าขึ้นมองสายตาสั่นระริกของสาย
“รีบไปเถอะ... อย่าหยุด... อย่าหันกลับมา...”
เรือแจวลำเล็กเคลื่อนตัวเร็วเหนือความเร็วปกติของบ่าวหญิงผู้เคยแต่ช่วยคุณหนูเก็บดอกไม้ในสวน
“เร็วอีก สาย! เร็วกว่านี้!”
เสียงปิ่นแก้วสั่นเครือ แม้แววตาจะแข็งกร้าวแต่น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
“เจ้าค่ะคุณหนู... แต่พวกมันจะ...?”
“อย่าหันกลับไปมองมันอีก... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
มือของปิ่นแก้วกำแน่น ริมฝีปากเม้มแนบ สะโพกที่ยังเจ็บจากการล้มไม่มีแม้แต่เสียงครางออกมา
ครู่ต่อมา
หลวงวิษณุก้าวออกจากโรงเหล้าหลังได้ยินเสียงเอะอะจากตรอกด้านข้าง เขาหรี่ตาเพ่งมองความมืดที่เริ่มสงบลง ไม่มีเงาใครอีกแล้ว
แต่ทันทีที่เขาเหลือบลงไปที่พื้น...
แสงจากโคมไฟน้ำมันในมือของเด็กคนขายเหล้า สะท้อนแวววาวของสิ่งหนึ่งกลางพื้นดิน
“...หืม?”
เขาก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา
"ปิ่นปักผมหรือ..."
เสียงเขาแผ่วลงอย่างแปลกประหลาด
ปิ่นปักผมเงินแท้ลายเครือเถา กลางกลีบบัวลงยา สีแดงเข้มงดงามจับตา ของที่เขาเคยซื้อให้ภรรยาเมื่อครั้งแต่งงานใหม่ ๆ สิ่งที่นางมักปักไว้ข้างศีรษะทุกครั้งยามออกเรือน
ดวงตาคมของหลวงวิษณุกระตุกวาบในเงามืด
"...แม่ปิ่นแก้ว..."
ริมฝีปากเขาเริ่มคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า
เขาหันกลับไปยังโรงเหล้า ทิ้งความมืดไว้เบื้องหลังอย่างมีแผนในใจ
มือของเขากำปิ่นปักผมแน่น... ราวกับกำหัวใจของนางภรรยาไว้ในกำมือเสียแล้ว
ใต้แสงจันทร์รางเลือน ณ เรือนรองแห่งหนึ่งในเขตรั้ววัง
ลมค่ำพัดเอื่อยผ่านช่องหน้าต่างไม้ไผ่สาน พัดผ้าม่านสีหม่นให้ปลิวไหวอย่างแผ่วเบา แสงตะเกียงน้ำมันวางบนชั้นไม้เตี้ยส่งเงาสะบัดไหวบนผนังเรือน เงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งเอนกายพิงหมอนขวานบนฟูกฟาง ดวงตาทอดมองเพดานไม้เหนือศีรษะอย่างเงียบงัน
เสียงประตูบานเล็กเปิดออกช้า ๆ ตามด้วยฝีเท้าเบาจนแทบไม่ได้ยิน
"คุณพี่เปรม..." เสียงแผ่วสั่นสะท้อนออกมาจากริมฝีปากหญิงสาวผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มละสายตาจากเพดาน เหลือบมองน้องสาวด้วยดวงตาที่กร่อนลงจากกาลเวลา ทั้งอ่อนล้าและระมัดระวัง
"กลับมาเร็วจัง..." เขากระซิบแผ่ว ริมฝีปากแทบไม่ขยับ
ปิ่นแก้วก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง พลางยกมือขึ้นจับมือพี่ชายแน่น แววตาเธอเปียกชื้นไปด้วยความคั่งค้างของอารมณ์หลากหลายที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทางกลับเรือน
"คุณพี่พูดถูกเจ้าค่ะ... พี่เปรม พูดถูกหมดเลย..." เสียงเธอสั่น ราวกับลมหายใจจะแตกเป็นเสี่ยง
เปรมมองน้องสาวนิ่ง ก่อนค่อย ๆ ขยับลำตัวขึ้นพิงหมอน หายใจเข้าแผ่ว ๆ แล้วถามเบา ๆ
"เขาทำอะไร... มันทำอะไรเจ้าปิ่นแก้ว!?"
ปิ่นแก้วส่ายหน้า สะกดกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
"ข้าแอบไปดูเอง ข้าเห็นเขา...กับคนของศัตรูเจ้าคุณพ่อ เขาพูดถึงพี่...พูดถึงแผนการลอบทำร้าย พี่...มันจริงทั้งหมด"
เปรมเงียบ ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้มีแม้รอยแปลกใจในดวงตา เขาหลับตาช้า ๆ แล้วเอ่ยเพียงว่า
"ข้ารู้... วิษณุมันไม่เคยรักใครจริง แม้กระทั่งตนเอง"
หญิงสาวสะอื้นไห้ เสียงขาดห้วง มือบีบมือพี่ชายแน่นยิ่งขึ้น
"แล้วที่มัน...เข้ามาในเรือน มันแตะต้องพี่...พูดจาไม่เหมาะ...พี่ต้องทนอย่างนี้อีกนานเท่าไร..."
เปรมหลับตาอยู่ชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเขานิ่งสนิท…แต่เย็นจัด เหมือนเงาน้ำที่ไม่สะท้อนดาวบนฟ้าอีกต่อไปแล้ว
เสียงของปิ่นแก้วยังคงก้องในหู
...หากเจ้ารู้ ว่าพี่ต้องทนอะไรมาบ้าง เจ้าคงไม่มีวันถามเช่นนี้... ไม่สิ พี่ไม่อยากให้เจ้ารับรู้เลยด้วยซ้ำ เจ้าไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องอัปยศ สวะแบบนี้
เขาเหลือบมองเพดานไม้เก่า ใจของเขาไม่อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มันย้อนกลับไป
ความทรงจำในเงาเรือน ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เรือนเงียบสงบยามค่ำ ระแนงไม้โปร่งระบายกลิ่นดอกโมกจางๆ ลมไหวเบา ๆ แต่ภายในห้องของเปรมกลับร้อนราวไฟคลอก
เปรมนั่งสงบอยู่ข้างตะเกียง มือถือพัดนิ่ง เขาไม่ได้นอนอีกตามเคย เพราะเขารู้... มันจะมา
เสียงบานบานไม้ถูกเลื่อนเบา ๆ ตามด้วยกลิ่นยาต้มจากเสื้อของหลวงวิษณุ...กลิ่นที่ปิ่นแก้วบอกว่า “อบอุ่นและปลอดภัย”
แต่สำหรับเปรม มันคือกลิ่นของคนที่แทรกตัวเข้ามาในชีวิตโดยที่ไม่มีสิทธิ์
“ข้ายกยามเฝ้าเรือนให้ผู้อื่นคืนนี้”
เสียงนั้นเย็นเรียบ แต่เต็มไปด้วยนัยยะ
“จะได้ไม่รบกวนเราสองคน”
เปรมไม่ตอบ เขาแค่พับพัดแล้ววางช้า ๆ หันไปสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ ตาต่อดวงตา
“กลับไปเรือนท่านเถิด ปิ่นแก้วคงรออยู่”
แต่วิษณุไม่ขยับ กลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนเงาของเขาทาบทับตัวเปรมบนพื้นไม้
“พี่เปรม...”
เสียงนั้นแผ่ว ราวกับวิงวอนแต่กดดัน
“ท่านรู้ไหม...ว่าท่านทำให้ข้าบ้าคลั่ง”
เปรมลุกขึ้นยืน แววตานิ่งสงบแต่แข็งกร้าว
“บ้าเพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือบ้าเพราะลืมไปแล้วว่าเจ้าแต่งกับน้องข้า”คำพูดที่ไม่ได้ปริปากออกไป ได้แต่บ่นในใจแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้น
คืนก่อนหน้า ในห้องหนังสือ
เปรมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตามลำพัง เพราะปิ่นแก้วนอนพักไม่สบาย
หลวงวิษณุผลักประตูเข้ามาเงียบ ๆ โดยไม่แจ้งก่อน เขาเอาน้ำขิงมาอ้างว่า “ปิ่นแก้วฝากให้”
แต่เปรมไม่หลงเชื่อ เพราะปิ่นแก้วไม่ดื่มของและนางก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบขิงเช่นกัน
“ท่านควรออกไป” เขาพูดเรียบ ๆ
วิษณุวางถาดแล้วโน้มตัวต่ำ
“ท่านควรเป็นของข้า...ไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายเมียข้า”
เสียงกระซิบข้างหูเหมือนมีเข็มนับพันเลาะลงข้างต้นคอ
เปรมกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะหวั่น แต่เพราะกำลังสะกดความโกรธ เขากัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังเล่นบทความจำเสื่อมอยู่ เขาคง…
“ข้าไม่ใช่ของผู้ใด”
น้ำเสียงเปรมเยือกเย็นดุจเหล็ก
“และท่านก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเช่นนั้น ”
ความอดกลั้นใกล้สิ้นสุด
เปรมนั่งคิดเงียบ ๆ ในห้องนอน มองผ้าคลุมไหล่ของปิ่นแก้วที่แขวนไว้
เขาไม่เคยบอกน้องสาวว่า “ผู้ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิต กำลังจ้องเขาเหมือนเหยื่อที่รอวันกลืนกิน”
“ถ้าไม่ติดว่าข้าต้องเสแสร้ง...มันคงไม่รอดมือข้าไปนานขนาดนี้”
เสียงเปรมเบา ริมฝีปากแสยะนิด ๆ ดวงตานั้น...ไม่มีแววลังเลอีกต่อไป
มีเพียงความแน่วแน่...และ การรอคอยเวลาที่เหมาะสมจะลากคนบาปออกมาสู่แสงตะวัน
"ตราบใดที่ข้ายังไม่รู้ว่ามันทำไปเพื่อใคร ข้าจะยังทน...เพื่อเอาให้ถึงรากถึงโคน"
"ไม่! พี่ต้องหนี พี่ต้องออกไปจากที่นี่ ข้าจะพาพี่ไปเอง ข้าจะติดต่ออิน จะให้เขามารับพี่ในคืนนี้"
เสียงปิ่นแก้วฟังดูแข็งแรงกว่าครั้งไหน ๆ ราวกับตัดสินใจแล้วทั้งชีวิต เปรมยิ้มจาง ๆ พร้อมส่ายหน้า
"เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่ง... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า แต่ถ้าข้าหนี เจ้าจะปลอดภัยไหม? หากข้าตาย ข้าก็อยากตายโดยไม่ให้มันมีโอกาสทำร้ายเจ้าอีก"
หญิงสาวน้ำตาไหลพราก "ข้าไม่กลัวตาย ข้ากลัวพี่จะหายไป... กลัวจะไม่มีพี่เปรมให้ข้าอยู่ข้าง ๆ อีก"
เปรมโน้มตัวช้า ๆ โอบไหล่น้องสาวไว้แน่น ในอ้อมกอดที่ไม่เคยได้ใช้มากนักตลอดชีวิต
"ข้ารู้... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้าไม่ต่างจากตอนเด็ก แต่เจ้าก็ต้องอยู่รอด เจ้าต้องมีชีวิตที่ปลอดภัย"
เสียงเงียบลงครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจสองพี่น้องผสานกับเสียงแมลงยามราตรี
"...และข้า...ข้ารักเจ้าที่สุด ปิ่นแก้ว"
เสียงฝีเท้ากระชั้นใกล้ของอินดังก้องในโถงเรือนหลังใหญ่ เขาผ่านประตูครัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบตามแผนที่ปิ่นแก้ววางไว้ ทาสหนุ่มผู้มีดวงตาคมลึกประหนึ่งพายุเงียบ มองเห็นร่างเปรมนั่งรออยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน หนึ่งเต็มไปด้วยความคิดถึง อีกหนึ่งเต็มไปด้วยความเสียหายที่โลกใบนี้เคยทิ้งไว้
“อิน...”
เปรมเรียกชื่อเขาเบา ๆ เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นแค่ภาพฝัน
อินไม่ตอบอะไร แต่เดินเข้ามากอดเปรมแน่นจนอีกฝ่ายต้องหลับตากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ และอ้อมแขนที่เคยคุ้นย้ำเตือนถึงวันคืนเก่า ๆ ที่ไม่มีใครกล้าคิดว่าจะหวนกลับมาได้
“ขอโทษที่ผมมาช้า...” อินกระซิบ
“แต่วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
“แต่ข้ายังไปไม่ได้...” เปรมผละออกเล็กน้อย หันไปมองประตูอีกด้านที่เชื่อมกับเรือนใน
“น้องข้ายังอยู่ที่นี่ ปิ่นแก้วยังอยู่กับมัน…”
เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา เสียงฝืนของรองเท้าหนังลากผ่านพื้นกระดานดังขึ้นเป็นจังหวะใกล้เคียงกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสามคน
“ไปกับผมก่อนเถอะครับคุณเปรม!” อินจับแขนอีกฝ่ายแน่น
“ข้าไปไม่ได้! ข้าจะไม่ทิ้งน้องสาวข้าไว้กับไอ้คนระยำแบบนั้นอีก! ข้าสูญเสียลุงเพิ่มไปแล้ว... ข้าจะไม่เสียปิ่นแก้วไปอีกคน!”
“คุณพี่เปรม!” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองรีบตวัดผ้าพับเก็บเข้ากระจาด แล้วเข้ามากอดพี่ชายแน่นอย่างคนที่ยอมจำนนต่อโชคชะตาเพียงชั่วขณะ
"ท่านต้องรักษาตัวให้ดี... แล้วรีบกลับมา จัดการมันให้ได้... จัดการแทนข้าด้วย...”
เปรมส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาเอ่อในดวงตาอย่างไร้เสียงสะอื้น “พี่ไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้หรอก เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่พี่มี...”
เสียงไม้เท้าตีพื้นดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ เหมือนปีศาจในเงามืด อินกัดฟันกรอด สายตาเด็ดเดี่ยวมองปิ่นแก้ว เขารู้ดีว่าถ้ายังอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว เปรมอาจไม่รอด
อินจำต้องยื่นไม้ตายเขายกมือทุบเบา ๆ ที่ท้ายทอยของเปรมจนอีกฝ่ายหมดสติในอ้อมแขนเขา
“ขอโทษนะ...คุณเปรม”
มือปิ่นแก้วสั่นน้อย ๆ ก่อนจะยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือของอิน
“พาเขาไปที่นี่...ปลอดภัยแน่ ข้าฝากพี่ข้าไว้กับเจ้านะ..อิน”
อินพยักหน้า น้ำตารื้น เขาไม่เอ่ยคำสัญญาใด ๆ แต่สายตานั้นพูดแทนทั้งหมด
ทันทีที่เขาแบกร่างของเปรมขึ้นหลัง อินก็วิ่งพรวดออกไปยังทางลับหลังเรือนที่ปิ่นแก้วเตรียมไว้ ม่านลมยามค่ำกระพือเบา ๆ ขณะที่เงาร่างทั้งสองหายลับไปกับความมืด
ปิ่นแก้วเช็ดน้ำตาเร็ว ๆ แล้วกลับมานั่งเย็บผ้าในโถงเรือน หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย แสงตะเกียงบนโต๊ะกระพริบไหวเหมือนรู้ว่าลมพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณพี่...” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงเรียบขณะสามีก้าวขึ้นเรือน
ชายผู้มีรอยยิ้มเป็นแค่หน้ากากเข้ามาทักทายอย่างไม่แยแส
“วันนี้มีใครมาเยี่ยมเรือนบ้างหรือเปล่า...น้องหญิง?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่แต่ตรงนี้ เย็บปักทั้งวัน…”
เขาเดินตรงไปยังห้องเก็บของ ก่อนจะเปิดประตู ห้องว่างเปล่าไร้เงาเปรม วิษณุหันกลับมา ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์
“มันหายไปไหน”
“ข้า...ข้าไม่รู้...” ปิ่นแก้วกัดฟันตอบ
เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นจนพื้นเรือนสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำและอันตราย
“วันนี้ข้าเห็นเจ้าไปออกไปที่โรงเหล้า... เจ้าแอบรู้เรื่องข้าใช่มั้ย ปิ่นแก้ว?”
เงียบ...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นสู้ตายของหญิงสาว เธอยังไม่ตอบอะไร...เพราะเกมเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
แต่สำหรับเปรม มันคือกลิ่นของคนที่แทรกตัวเข้ามาในชีวิตโดยที่ไม่มีสิทธิ์
“ข้ายกยามเฝ้าเรือนให้ผู้อื่นคืนนี้”
เสียงนั้นเย็นเรียบ แต่เต็มไปด้วยนัยยะ
“จะได้ไม่รบกวนเราสองคน”
เปรมไม่ตอบ เขาแค่พับพัดแล้ววางช้า ๆ หันไปสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ ตาต่อดวงตา
“กลับไปเรือนท่านเถิด ปิ่นแก้วคงรออยู่”
แต่วิษณุไม่ขยับ กลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนเงาของเขาทาบทับตัวเปรมบนพื้นไม้
“พี่เปรม...”
เสียงนั้นแผ่ว ราวกับวิงวอนแต่กดดัน
“ท่านรู้ไหม...ว่าท่านทำให้ข้าบ้าคลั่ง”
เปรมลุกขึ้นยืน แววตานิ่งสงบแต่แข็งกร้าว
“บ้าเพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือบ้าเพราะลืมไปแล้วว่าเจ้าแต่งกับน้องข้า”คำพูดที่ไม่ได้ปริปากออกไป ได้แต่บ่นในใจแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้น
คืนก่อนหน้า ในห้องหนังสือ
เปรมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตามลำพัง เพราะปิ่นแก้วนอนพักไม่สบาย
หลวงวิษณุผลักประตูเข้ามาเงียบ ๆ โดยไม่แจ้งก่อน เขาเอาน้ำขิงมาอ้างว่า “ปิ่นแก้วฝากให้”
แต่เปรมไม่หลงเชื่อ เพราะปิ่นแก้วไม่ดื่มของและนางก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบขิงเช่นกัน
“ท่านควรออกไป” เขาพูดเรียบ ๆ
วิษณุวางถาดแล้วโน้มตัวต่ำ
“ท่านควรเป็นของข้า...ไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายเมียข้า”
เสียงกระซิบข้างหูเหมือนมีเข็มนับพันเลาะลงข้างต้นคอ
เปรมกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะหวั่น แต่เพราะกำลังสะกดความโกรธ เขากัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังเล่นบทความจำเสื่อมอยู่ เขาคง…
“ข้าไม่ใช่ของผู้ใด”
น้ำเสียงเปรมเยือกเย็นดุจเหล็ก
“และท่านก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเช่นนั้น ”
ความอดกลั้นใกล้สิ้นสุด
เปรมนั่งคิดเงียบ ๆ ในห้องนอน มองผ้าคลุมไหล่ของปิ่นแก้วที่แขวนไว้
เขาไม่เคยบอกน้องสาวว่า “ผู้ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิต กำลังจ้องเขาเหมือนเหยื่อที่รอวันกลืนกิน”
“ถ้าไม่ติดว่าข้าต้องเสแสร้ง...มันคงไม่รอดมือข้าไปนานขนาดนี้”
เสียงเปรมเบา ริมฝีปากแสยะนิด ๆ ดวงตานั้น...ไม่มีแววลังเลอีกต่อไป
มีเพียงความแน่วแน่...และ การรอคอยเวลาที่เหมาะสมจะลากคนบาปออกมาสู่แสงตะวัน
"ตราบใดที่ข้ายังไม่รู้ว่ามันทำไปเพื่อใคร ข้าจะยังทน...เพื่อเอาให้ถึงรากถึงโคน"
"ไม่! พี่ต้องหนี พี่ต้องออกไปจากที่นี่ ข้าจะพาพี่ไปเอง ข้าจะติดต่ออิน จะให้เขามารับพี่ในคืนนี้"
เสียงปิ่นแก้วฟังดูแข็งแรงกว่าครั้งไหน ๆ ราวกับตัดสินใจแล้วทั้งชีวิต เปรมยิ้มจาง ๆ พร้อมส่ายหน้า
"เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่ง... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า แต่ถ้าข้าหนี เจ้าจะปลอดภัยไหม? หากข้าตาย ข้าก็อยากตายโดยไม่ให้มันมีโอกาสทำร้ายเจ้าอีก"
หญิงสาวน้ำตาไหลพราก "ข้าไม่กลัวตาย ข้ากลัวพี่จะหายไป... กลัวจะไม่มีพี่เปรมให้ข้าอยู่ข้าง ๆ อีก"
เปรมโน้มตัวช้า ๆ โอบไหล่น้องสาวไว้แน่น ในอ้อมกอดที่ไม่เคยได้ใช้มากนักตลอดชีวิต
"ข้ารู้... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้าไม่ต่างจากตอนเด็ก แต่เจ้าก็ต้องอยู่รอด เจ้าต้องมีชีวิตที่ปลอดภัย"
เสียงเงียบลงครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจสองพี่น้องผสานกับเสียงแมลงยามราตรี
"...และข้า...ข้ารักเจ้าที่สุด ปิ่นแก้ว"
เสียงฝีเท้ากระชั้นใกล้ของอินดังก้องในโถงเรือนหลังใหญ่ เขาผ่านประตูครัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบตามแผนที่ปิ่นแก้ววางไว้ ทาสหนุ่มผู้มีดวงตาคมลึกประหนึ่งพายุเงียบ มองเห็นร่างเปรมนั่งรออยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน หนึ่งเต็มไปด้วยความคิดถึง อีกหนึ่งเต็มไปด้วยความเสียหายที่โลกใบนี้เคยทิ้งไว้
“อิน...”
เปรมเรียกชื่อเขาเบา ๆ เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นแค่ภาพฝัน
อินไม่ตอบอะไร แต่เดินเข้ามากอดเปรมแน่นจนอีกฝ่ายต้องหลับตากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ และอ้อมแขนที่เคยคุ้นย้ำเตือนถึงวันคืนเก่า ๆ ที่ไม่มีใครกล้าคิดว่าจะหวนกลับมาได้
“ขอโทษที่ผมมาช้า...” อินกระซิบ
“แต่วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
“แต่ข้ายังไปไม่ได้...” เปรมผละออกเล็กน้อย หันไปมองประตูอีกด้านที่เชื่อมกับเรือนใน
“น้องข้ายังอยู่ที่นี่ ปิ่นแก้วยังอยู่กับมัน…”
เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา เสียงฝืนของรองเท้าหนังลากผ่านพื้นกระดานดังขึ้นเป็นจังหวะใกล้เคียงกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสามคน
“ไปกับผมก่อนเถอะครับคุณเปรม!” อินจับแขนอีกฝ่ายแน่น
“ข้าไปไม่ได้! ข้าจะไม่ทิ้งน้องสาวข้าไว้กับไอ้คนระยำแบบนั้นอีก! ข้าสูญเสียลุงเพิ่มไปแล้ว... ข้าจะไม่เสียปิ่นแก้วไปอีกคน!”
“คุณพี่เปรม!” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองรีบตวัดผ้าพับเก็บเข้ากระจาด แล้วเข้ามากอดพี่ชายแน่นอย่างคนที่ยอมจำนนต่อโชคชะตาเพียงชั่วขณะ
"ท่านต้องรักษาตัวให้ดี... แล้วรีบกลับมา จัดการมันให้ได้... จัดการแทนข้าด้วย...”
เปรมส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาเอ่อในดวงตาอย่างไร้เสียงสะอื้น “พี่ไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้หรอก เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่พี่มี...”
เสียงไม้เท้าตีพื้นดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ เหมือนปีศาจในเงามืด อินกัดฟันกรอด สายตาเด็ดเดี่ยวมองปิ่นแก้ว เขารู้ดีว่าถ้ายังอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว เปรมอาจไม่รอด
อินจำต้องยื่นไม้ตายเขายกมือทุบเบา ๆ ที่ท้ายทอยของเปรมจนอีกฝ่ายหมดสติในอ้อมแขนเขา
“ขอโทษนะ...คุณเปรม”
มือปิ่นแก้วสั่นน้อย ๆ ก่อนจะยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือของอิน
“พาเขาไปที่นี่...ปลอดภัยแน่ ข้าฝากพี่ข้าไว้กับเจ้านะ..อิน”
อินพยักหน้า น้ำตารื้น เขาไม่เอ่ยคำสัญญาใด ๆ แต่สายตานั้นพูดแทนทั้งหมด
ทันทีที่เขาแบกร่างของเปรมขึ้นหลัง อินก็วิ่งพรวดออกไปยังทางลับหลังเรือนที่ปิ่นแก้วเตรียมไว้ ม่านลมยามค่ำกระพือเบา ๆ ขณะที่เงาร่างทั้งสองหายลับไปกับความมืด
ปิ่นแก้วเช็ดน้ำตาเร็ว ๆ แล้วกลับมานั่งเย็บผ้าในโถงเรือน หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย แสงตะเกียงบนโต๊ะกระพริบไหวเหมือนรู้ว่าลมพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณพี่...” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงเรียบขณะสามีก้าวขึ้นเรือน
ชายผู้มีรอยยิ้มเป็นแค่หน้ากากเข้ามาทักทายอย่างไม่แยแส
“วันนี้มีใครมาเยี่ยมเรือนบ้างหรือเปล่า...น้องหญิง?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่แต่ตรงนี้ เย็บปักทั้งวัน…”
เขาเดินตรงไปยังห้องเก็บของ ก่อนจะเปิดประตู ห้องว่างเปล่าไร้เงาเปรม วิษณุหันกลับมา ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์
“มันหายไปไหน”
“ข้า...ข้าไม่รู้...” ปิ่นแก้วกัดฟันตอบ
เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นจนพื้นเรือนสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำและอันตราย
“วันนี้ข้าเห็นเจ้าไปออกไปที่โรงเหล้า... เจ้าแอบรู้เรื่องข้าใช่มั้ย ปิ่นแก้ว?”
เงียบ...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นสู้ตายของหญิงสาว เธอยังไม่ตอบอะไร...เพราะเกมเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น