"สงสัยจะมีข่าวดีละมั้ง" ป้านวลพูดออกมาด้วยสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมสุข เมื่อนึกถึงทายาทตัวน้อยของนักรบ
"ข่าวดีอะไรครับป้า การที่นารีปากร้ายและขี้วีน มันก็ดีอยู่หรอกที่เธอรู้จักตอบโต้คนอื่นบ้าง แต่นั่นไม่เท่ากับที่เธอเอาแต่ใจแล้วก็ชอบร้องไห้ ผมอยากให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลเหมือนเดิมมากกว่าครับป้านวล" นักรบไม่ได้เอะใจในสิ่งที่ป้านวลบอกมา เมื่อเขานั้นกำลังเป็นกังวลและเป็นห่วงอาการของนารี
"งานนี้มีเซอร์ไพรส์แน่ค่ะคุณหนู แต่ว่าช่วงนี้คุณหนูห้ามขัดใจคุณนารี เธออยากทานอะไร อยากทำอะไร อยากได้อะไร ต้องตามใจเธอทุกอย่างเข้าใจไหมคะ" ป้านวลพอจะเดาออกถึงอาการของนารีที่เป็นอยู่ แม้หญิงสูงวัยจะไม่เคยมีประสบการณ์ เพราะนางนั้นโสดสนิทจนวัยล่วงเลย แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะมีใคร เพราะชีวิตนี้ต้องการแค่ได้อยู่ดูแลนักรบ และทายาทตัวน้อยของเขาสืบไป ในช่วงบั้นปลายของชีวิตแค่นี้ป้านวลก็พอใจแล้ว
"ผมขอตัวไปดูคุณหนูนารีของป้าก่อนนะครับ และถ้าเขาเอาตู้แช่ไอศกรีมมาส่ง ป้านวลก็จัดการหาที่วางตามความเหมาะสมได้เลย" พูดจบนักรบก็เดินขึ้นห้องไป ปล่อยให้ป้านวลมองตามแผ่นหลังของเจ้านายหนุ่มด้วยความปลาบปลื้มใจ ที่เขานั้นกำลังจะทำให้บ้านหลังนี้ มีเสียงหัวเราะ และความสดใส มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งในไม่ช้า
ทางด้านรวี วันนี้เธอได้กลับไปที่บ้าน เพราะบิดามารดาได้โทรตาม และบอกให้เธอกลับบ้านให้ได้ ทั้งสองมีธุระที่สำคัญมากจะคุยกับเธอ รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาในบ้านกะสิเทพ ทุกอย่างภายในบ้านยังเหมือนเดิม ในระยะเวลาที่เธอนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นแรมเดือน พอจอดรถได้รวีรีบขึ้นไปบนบ้านทันที เพราะเธอนั้นมีสิ่งที่จะต้องไปทำอีกมากมาย โดยเฉพาะการหาวิธีแยกนารีออกจากอาร์มันโด้ ซึ่งไม่มีทีท่าว่าทั้งสองนั้นจะห่างกันเลย แถมเจสันยังคอยกีดกันทุกย่างก้าว
"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ ทำไมถึงทำหน้าเครียดกันจังค่ะ" รวีเอ่ยถามผู้เป็นบิดามารดาออกมา ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับคนสูงวัยทั้งสอง
"ไปอยู่ที่บ้านโน้นเป็นยังไงบ้างรวี พวกเขาต้อนรับลูกดีหรือเปล่า" ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรสาวออกมาอย่างห่วงใย ทั้งที่รวีนั้นไม่สมควรที่จะไปอาศัยอยู่ที่นั่นนาน
"ก็ดีค่ะแม่ แต่จะดีกว่านี้ถ้านังนารี ออกไปจากบ้านหลังนั้น แต่ดูท่าทีแล้วคงจะยาก เพราะทุกวันนี้มันเกาะติดคุณอาร์มันโด้อย่างกับตังเม" รวีแสดงแววตาที่แข็งกร้าวออกมา เมื่อพูดถึงผู้เป็นน้องสาว ทั้งที่ควรขอบใจ ที่นารีนั้นโอบเอื้ออารีให้เธออาศัยอยู่ที่นั่นด้วย
"ก็เขาเป็นสามีภรรยากัน พ่อว่าเราควรจะถอยกลับมาได้แล้วรวี" หลังจากที่ลูกสาวคนเล็กไม่อยู่บ้าน ทำให้ผู้เป็นบิดาได้รู้แล้วว่า นารีนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน เพียงแค่ทุกคนในบ้านนั้นไม่เคยเห็นค่าของเธอ
"นี่ใช่ไหมคะธุระสำคัญ ที่คุณพ่อต้องการจะพูดกับรวี รวีต้องอดทนแค่ไหน กับการที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวในยามราตรี แต่ตอนนี้สิ่งที่รวีทำมันกำลังว่างเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไรกับบ้านหลังนี้เลยใช่ไหมคะ" คำพูดของเธอช่างเรียบเรียงออกมาได้อย่างสวยหรูและดูน่าฟัง แต่ความเป็นจริงแล้ว เธอกำลังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่มากกว่า และที่สำคัญสิ่งที่เธอกำลังคิดจะทำนั้น มันก็ผิดครรลองคลองธรรม ผิดศีลธรรมอย่างยิ่ง
"ฟังให้ดีนะรวี ตอนนี้บริษัทของเรามีปัญหาอีกแล้ว พ่อกำลังคิดว่าคาวียักยอกเงินในบริษัท มิหนำซ้ำยังแอบขโมยเอาเพชรไปขายอีกด้วย" คำบอกเล่าของบิดาทำให้รวีมีนั้นถึงกับกำมือแน่น เพราะคาวีนั้นติดทั้งเหล้าและการพนัน พนักงานในบริษัทแทบจะไม่นับถือเขาอยู่แล้ว ทุกวันนี้ที่ทุกคนยังให้ความเคารพยำเกรงอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของกะสิเทพพาณิชย์
"คุณพ่อควรจัดการกับพี่คาวีขั้นเด็ดขาด เขาจะทำตัวเสเพลรักสนุกไปวันๆ รวีก็ไม่ว่าอะไร เพราะรวีเองก็ชอบแสงสีศิวิไลซ์ในยามราตรีเช่นกัน แต่นี่พี่คาวีเล่นยักยอกเงินที่บริษัทแถมขโมยเพชรไปขายอีก ถ้าคุณอาร์มันโด้รู้เรื่องนี้ แล้วเขาต้องการถอนหุ้นออกไปหมดแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะทำยังไงคะคุณพ่อ" คำพูดของรวีทำให้บิดามารดาของเธอนั้นมีสีหน้าที่เป็นกังวลใจ เพราะรู้ว่าคาวีไม่มีทางที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้ "รวีแม่อยากให้หนูลองเกริ่นกับนารีดู เผื่อบริษัทมีปัญหาอะไร นารีก็ควรจะมีส่วนในการช่วยเหลือบ้าง" คำพูดของมารดาช่างเห็นแก่ตัวเช่นกัน ในยามที่เจริญรุ่งเรืองกลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ แต่เวลานี้ในยามที่ติดขัดและเผชิญกับปัญหา นารีกลับกลายเป็นหมากสำคัญที่จะช่วยทำให้บริษัทอยู่รอด
"ต่อให้ได้เงินมาเป็นร้อยล้านพันล้านอีก ถ้าพี่คาวีบ่อนทำลายแบบนี้ ทุกอย่างก็จะเจ๊งไม่เป็นท่าเหมือนเดิม" ในเวลานี้รวีเริ่มพูดจาหงุดหงิด เมื่อทุกอย่างในชีวิตของเธอนั้นไม่เป็นไปตามที่ใจเคยปรารถนา มิหนำซ้ำบริษัทก็กลับมามีปัญหาเหมือนเดิมอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งจะผ่านวิกฤตมาไม่ถึงเดือน
"หยุดพูดเลยนะรวี! พ่อเกลียดคำนี้ เราค้าขายไม่ควรพูดคำว่าเจ๊งออกมา ยิ่งตอนนี้เงินสินสอดก็เอาไปใช้หนี้เขาจนหมดแล้ว ดีหน่อยที่ได้เงินจากคุณอาร์มันโด้มาร่วมหุ้นลงทุนด้วย พ่อยังตามหาไอ้คาวีไม่เจอด้วยซ้ำ อาทิตย์นี้บริษัทก็ไม่เข้าบ้านก็ไม่กลับ ไม่รู้ว่ามันไปกบดานอยู่ที่ไหน" แม้จะรู้สึกโกรธลูกชายคนโตเพียงใด แต่นายศรเทพก็ยังห่วงใยทายาทผู้ที่จะสืบสกุลอย่างคาวีอยู่เสมอ
"รวีไม่อยากจะรับฟังปัญหาที่กะสิเทพกำลังเผชิญ เพราะไม่ได้เป็นคนสร้าง ขอตัวกลับไปคิดหาทาง ทวงทุกอย่างคืนกลับมาก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่ รวีลาแล้วค่ะ" รวีพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้บิดามารดา คืนนี้เธอจะแย่งทุกอย่างจากนารีคืนมาให้ได้ นั่นคือสิ่งที่รวีคิดเอาไว้ และแผนการของเธอจะต้องสำเร็จ จะไม่ยอมตกอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นเด็ดขาด เพราะการล้มละลายหมดสิ้นทุกอย่างนั้น มันคือสิ่งที่น่าอับอายมากสำหรับรวี และเธอก็รู้ดีว่าอีกไม่นานกิจการของบริษัทจะต้องถูกฟ้องล้มละลายแน่นอน
ตอนนี้หนี้ที่บริษัทมีมากกว่าผลกำไร มิหนำซ้ำพี่ชายยังก่อเรื่องเพิ่มหนี้สินขึ้นเรื่อยๆ จากการเสียพนัน จนผู้เป็นบิดามารดาไม่สามารถตามไปชดใช้หนี้ให้ได้อีกแล้ว คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด และคงจะโทษใครไม่ได้ เพราะการเลี้ยงดูลูกอย่างตามใจ และคอยให้ท้ายในสิ่งที่ไม่ดี กำลังจะส่งผลให้ชีวิตของคาวีนั้น เผชิญกับหายานะเลวร้ายที่สุดในชีวิต
"เย้! คุณพ่อใจดีที่สุดในโลกเลยครับ" เด็กชายร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับกำมือชูขึ้นสองข้าง จนนารีแอบฉีกยิ้มที่มุมปาก ที่พ่อกับลูกนั้นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย "คุณหนูพบรักไปบ้านคุณยาย ย่านวลคงจะเหงาน่าดูเลย รีบไปรีบกลับนะครับคนเก่ง" น้ำเสียงของป้านวลช่างออดอ้อนให้เด็กน้อยนั้นอยากเอาใจ จนนักรบและนารียิ้มไม่หุบให้กับในความน่ารักของย่ากับหลาน "ผมไปบ้านคุณยายไม่กี่วันก็กลับแล้วครับคุณย่านวล เดี๋ยวพบรักจะเอาผลไม้มาฝาก ที่บ้านของคุณตาคุณยายมีผลไม้เยอะแยะเลย "ช่างพูดช่างเจรจาจังเลยนะเราเนี่ย อย่างนี้จะไม่ให้ย่ารักอย่าหลงได้ยังไง" หญิงสูงวัยพูดพร้อมกับเอามือลูบลงที่ศีรษะของพบรักไปมาเบาๆ ก่อนที่เด็กชายจะส่งยิ้มร่าให้ย่านวล พลอยทำให้ทุกคนยิ้มตามออกมา เมื่อพบรักมีความน่ารักสมวัยรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านกะสิเทพ ก่อนจะมีเด็กชายเปิดประตูวิ่งแจ้นออกมาจากรถ จนทำให้นักรบนั้นรีบเปิดประตูลงมาคว้าตัวลูกชายมาอุ้มเอาไว้
สักพักปลายลิ้นร้อนลากผ่านลงมาที่หน้าท้องของภรรยา เขาได้จุมพิตอย่างทะนุถนอมลงไปเบาๆ เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ภายในนี้ ซึ่งมันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ที่นักรบตั้งใจไม่คิดป้องกันตั้งแต่แรก เพราะชายหนุ่มนั้นหวังจะได้ทายาท ตามที่ใจเคยปรารถนาเอาไว้ และภรรยาของเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้เพียงนิด "พ่อรักหนูนะ รักแม่ของหนูด้วย" สิ้นเสียงพูดของชายหนุ่ม เขาได้สัมผัสไปที่มังกรยักษ์ก่อนจะค่อยๆ สอดมันเข้าไปในช่องแคบของภรรยาอย่างเบามือ "อืม แน่ใจนะคะว่าจะไม่มีผลต่อลูกของเรา" แม้ความต้องการของเธอจะมีมาก แต่นารีก็ยังเป็นห่วงลูกมากมายเช่นกัน "ไม่เป็นไรหรอกหนูนา ท่าเบสิกอย่ากลัวไปเลย ผมจะทำเบาๆ นะครับคนดี" นักรบพูดในขณะที่สะโพกของเขาเริ่มทำการขยับโยกเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ แม้ว่ามันจะไม่หนักหน่วงหรือรุนแรง แต่ทว่าความคับแน่นของช่องแคบ เมื่อมังกรยักษ์ผลุบเข้าผลุบออกก็ได้สร้างความเสียวซ่านให้กับสองสามีภรรยาไม่น้อยเลย "อ้า อ๊าคุณนักร
"ลูกของพ่อเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย ทำไมแม่ถึงได้ดุจังเลย" การกระทำของสามีหนุ่ม ทำให้นารีนั้นรู้สึกใจเต้นแรง เมื่อตัวเธอเองก็โหยหาเขาเช่นกัน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่คืนกี่วัน ผู้ชายคนนี้ก็มักจะทำให้เธอรู้สึกดีเสมอ โดยที่เขานั้นไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ "เงยหน้าขึ้นมาสิ เดี๋ยวไม่ทำแผลให้เปลี่ยนใจไปนอนไม่รู้ด้วยนะ" นารียังคงใช้คำพูดแข็งกระด้าง มีใบหน้าที่เรียบเฉยอีกตามเคย แต่นักรบก็รู้ว่าเธอใจอ่อนลงไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาหาเขา เพื่อขอดูแผลแบบนี้หรอก สามีหนุ่มยอมทำตามภรรยาอย่างว่าง่าย ยอมแหงนหน้าขึ้นไปให้เธอทำแผลให้ พร้อมกับจ้องมองไปที่ดวงตากลมโต ที่เวลานี้ความหมองหม่นได้หายไปสิ้น "แผลบวมนูนขึ้นมาแบบนี้ ฉันว่าคุณไปเย็บแผลดีกว่า ไม่อย่างนั้นต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ" คราวนี้นารีพูดออกมาจากใจด้วยความรู้สึกผิด เมื่อแผลมันลึกและกว้างอยู่มาก และที่สำคัญเลือ
วันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เธอเดินไปหาอะไรกิน ในตอนเช้านารีไม่ยอมเดินออกจากห้องอีกเลย เพราะไม่อยากเจอนักรบ หญิงสาวขังตัวเองไว้ในห้องที่ชั้นบนของบ้าน ส่วนข้าวปลาอาหารนั้นมีรินสาวใช้คนสนิทของพี่สาวคอยบริการเธอทุกอย่าง ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบยี่สิบนาฬิกาแล้ว นารีไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น เธออาบน้ำแล้วเตรียมตัวจะเข้านอน ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "นารีขอแม่เข้าไปหน่อยได้ไหมลูก" เสียงของผู้เป็นมารดาดังแว่วมา หลังจากที่เสียงเคาะประตูเงียบไป ทำให้นาทีนั้นค่อยๆ ลุกจากเตียง เพื่อเดินไปเปิดประตูให้กับมารดา และเธอก็ต้องแปลกใจ เมื่อชายร่างสูงใหญ่รีบเบี่ยงตัวเข้ามาในห้องของเธอทันที พร้อมกับกระเป๋าใบเล็กๆ "แม่... แม่ แม่ค่ะ" นารีร้องเรียกหามารดา แต่จะดูเหมือนว่าเธอนั้นโดนหลอกเข้าให้ซะแล้ว "คุณไม่ต้องเรียกหรอก คุณแม่เดินเข้าห้องไปแล้ว" นักรบพูดพร้อมกับค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด จนทำให้นารีนั้นมองเขาตาเขียว "ออกไปให้พ้นจากห้องฉันเลยนะ คุณแม่นะ
"จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน สายแล้วนะคุณ ลุกไปอาบน้ำจะได้มาทานข้าวพร้อมกัน" เจสันกระซิบลงไปที่ข้างหูของรวี ทำให้หญิงสาวรู้สึกคุ้นกับเสียงทุ้มนี้เป็นอย่างมาก เธอค่อยๆ ปรือตาขึ้น ก่อนจะหลับลงอีกครั้ง เมื่อแสงมันแยงมา และคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป จากนั้นรวีค่อยๆ ปรือตาลืมขึ้นมาอีกครั้ง "ว้าย! เจสัน! คุณเข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไงออกไปเลยนะ" รวีพูดพร้อมกับหยิบหมอนตีลงไปที่ลำตัวของเจสัน ชายหนุ่มรีบเอามือขึ้นมาป้องตัวเอาไว้ พร้อมกับจับหมอนไว้แน่น ก่อนที่ทั้งสองจะยื้อกันไปมา "นี่คุณ! ไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย แรงอย่างกับช้างหยุดก่อนได้ไหม" เจสันพยายามพูดปรามรวีให้หยุดดึงหมอน แต่ดูท่าทีของเธอแล้วไม่น่าจะยอมเขาง่ายๆ "ใครอยู่ข้างนอก ทำไมปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องของฉันแบบนี้ รินอยู่ไหมเข้ามาช่วยหน่อยซิ" รวีตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ดูเหมือนว่าคนข้างนอกจะไม่ใส่ใจ เพราะไม่เห็นมีใครตอบกลับมาเลยสักคน"ผมจะบอกอะไรให้นะ คุณไม่ได้ลงกลอน ผมแค่เปิดประตูเดินเข้ามา ตอนแรกพ่อของคุณกำลังจะไปหากุญแจสำรองมาเปิดใ
"ดูสิของเด็กเล่นพวกนั้น เขาสั่งมาเป็นคันรถเชียวนะ เขาไม่รู้หรือไงว่านาเพิ่งท้องได้เดือนกว่า" คำถามของมารดาทำให้นารีเริ่มสงสัย นักรบรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยบอกให้ใครที่บ้านนั้นทราบ"บอกให้เขาขนกลับไปค่ะพ่อ นาไม่ขอรับอะไรจากเขาทั้งนั้น คนแบบนี้ตบหัวแล้วลูบหลัง อย่าฝันว่าเอาของพวกนี้มาล่อแล้วนาจะใจอ่อน ลูกของนาไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้นหรอกค่ะ เสื้อผ้านาตัดเย็บให้ลูกเองก็ได้ ส่วนของเล่นก็ประดิษฐ์ขึ้นเอง ไม่เห็นยากอะไร ไม่ต้องใช้เงินซื้อมาให้ฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ" นารีพูดระบายออกมาซะยาวเหยียด เมื่อเธอนั้นยังรู้สึกโกรธและน้อยใจในตัวของสามี ซึ่งนารียังไม่คิดว่าจะคืนดีกับเขาง่ายๆ เมื่อชายหนุ่มพาภรรยาเก่ามาหยามน้ำใจ จนทำให้เธอต้องนอนร้องไห้สามเวลา "พ่อว่ามีอะไรก็พูดกันดีๆ สามีของลูกเล่าทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟังหมดแล้ว เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรมาก นาควรจะหันไปปรับความเข้าใจกันนะ ยังไงลูกก็ต้องมีพ่อ พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นหลานเป็นกำพร้า เพราะสาเหตุที่หนูกับสามี ผิดใจกันเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย" นักรบได้เล่าทุกอย่างให้กับบิดาและมารดาของนารีได้รับฟัง ยกเว้นเร