ตอนที่ 10
ไม่นึกเสียใจ
ภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้น
แต่นางก็ยังภาวนาต่อไป
แอ๊ด...
เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง
"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ"
"ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว
คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้
มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำ
ได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้า
หลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบา
หลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตายเพื่อหาจังหวะให้นางหนีไป
แต่นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า นางจะทิ้งบุรุษตาบอดผู้แสนอ่อนแอเช่นนี้เพื่อเอาตัวรอดได้อย่างไร
ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน ถ้าจะหนีก็ต้องหนีด้วยกัน มาด้วยกันตั้งแต่ตนก็ต้องกลับไปด้วยกัน
นางเลือกที่จะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปกุมมือแกร่งของเขาเอาไว้อีกครั้ง นางไม่ได้เขียนที่มือเขาเพื่อบอกอะไรทั้งนั้นทำเพียงแค่กุมมือแกร่งนี้เอาไว้เพียงเท่านั้น และนางเชื่อว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่นางคิดและตัดสินใจที่จะร่วมเผชิญหน้าไปพร้อมกันกับเขา
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่เจ้าของมือเนียนนุ่มนี้ จับมือของเขาเอาไว้ไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ไม่คิดจะปล่อย ไม่คิดที่จะทิ้งเขาเพื่อเอาตัวรอดเลยแม้สักครั้ง ทั้งๆที่หากนางปล่อยมือเขาไปซะ หนทางรอดของนางตั้งแต่ต้นก็มีอยู่มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเวลาหรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างเหมือนจะเป็นเขาที่ทำให้นางต้องเจออันตรายไม่รู้จบ
แต่เชื่อเถอะว่าเขาจะต้องทำทุกอย่างให้นางปลอดภัยให้ได้ แม้จะต้องทุ่มสุดตัวหรือต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม
คนอย่างอวี้หนานไห่ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณ
ทุกอย่างนิ่งเงียบ แม้แต่เสียงหายใจก็ยังไม่มีให้ได้ยิน
ฝีเท้าหนักก็ยังคงก้าวเข้ามา อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นม่านที่กั้นปิดเตียงอยู่ก็คงจะถูกเจ้าของฝีเท้าหนักนี้เปิดขึ้น
"พวกเจ้ามาหาข้าเหรอ มีใครในหมู่บ้านเจ็บป่วยกัน"
ยังไม่ทันที่ม่านกั้นเตียงจะถูกเปิดขึ้น เสียงของท่านหมอหลงที่ดังมาจากหน้าห้องก็เรียกให้เจ้าของฝีเท้าหนักนั้นหันไปสนใจท่านหมอหลงแทน ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนักนี้จะเดินออกไปหาท่านหมอหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องอย่างรวดเร็วไม่ได้สนใจที่จะเปิดดูบนเตียงอีก
"หลานสาวข้า เป็นไข้ตัวร้อนมาหลายชั่วยามแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าไข้จะลดลงเลยจึงได้มารบกวนท่านหมอหลงให้ไปดูอาการนางหน่อย"
"เช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะ"
เสียงสนทนาและเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไป ทว่าหลิวซือนัวก็ยังไม่สามารถออกจากเตียงกว้างนี้ไปได้ เพราะกลัวว่าจะมีใครแวะเวียนมาที่เรือนหมอแห่งนี้อีก
"พวกนั้นไปกันหมดแล้ว โชคดีที่ท่านหมอหลงกลับมาได้ทันเวลาพอดี ไม่เช่นนั้นพวกเราสองคนคงแย่แน่ ๆ " นางเอ่ยขึ้น พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ไม่เกิดเรื่องก็ดีแล้ว" เจ้าของร่างซีดเซียวเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงไปด้วยความอ่อนล้า
นางเห็นคุณชายอวี้เก็บมีดพกเล่มเล็กเอาไว้ที่ใต้หมอนเช่นเดิมด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ไม่หลงเหลือท่าทีเคร่งขรึมตึงเครียดเช่นเมื่อครู่
"ข้าเห็นว่า ข้ายังไม่ควรกลับห้องไปตอนนี้ ควรรอท่านหมอหลงกลับมาเสียก่อน คุณชายอวี้เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่"
"อาจจะมีใครอื่นมาอีกก็ได้ พวกเราอยู่ด้วยกันที่นี่จะดีกว่า" เขาเอ่ยตอบ หากนางรั้งอยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นอย่างน้อย ๆ เขาก็ยังช่วยถ่วงเวลาให้นางหนีไปได้
เขาตามองอะไรไม่เห็นเช่นนี้หากอยู่ห่างจากนาง แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางก็คงไม่ง่ายที่เขาจะเข้าไปช่วยเหลือนางได้ทัน
"เช่นนั้นข้าก็ขอรบกวนเจ้าแล้ว ตะเกียงก็คงจุดไม่ได้แล้ว เจ้ารีบนอนพักเถอะ เมื่อท่านหมอหลงกลับมาแล้วข้าจะออกไปเอง" เจ้าของร่างอวบอิ่มเอ่ยพลางช่วยประคองคุณชายอวี้ผู้นี้ให้นอนลงอีกครั้งหนึ่ง
"หากมีอะไร คุณหนูหลิวเจ้าต้องรีบเรียกข้าในทันที"
"มีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะรีบเรียกท่านอย่างแน่นอน พักผ่อนเถอะ"
กล่าวจบก็จัดการนำผ้าห่มมาห่มให้เขา ก่อนนั่งรอท่านหมอหลงกลับมาอยู่บนเตียงข้างๆเขา นั่งรอได้หนึ่งชั่วยามก็เผลอหลับไปในที่สุด
ตื่นมาบนเตียงผู้อื่นคุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร นางตื่นมาก็ยังหันมาทักทายเขาอย่างปกติ
หลิวซือนัวหาวครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองบุรุษแซ่อวี้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้าตัวหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากเตียงนอนเท่าไหร่นัก
"เผลอยึดเตียงเจ้าซะแล้ว ขออภัยด้วยที่ข้าเผลอหลับไป" น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงนางนิ่งเฉยไม่ได้มีสิ่งใดปกปิดหรือเจือปน ไม่มีท่าทีเขินอายใด ๆ อย่างที่สตรีควรมีเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วอยู่บนเตียงของบุรุษ
ท่าทีที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาเขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง หรือว่านางจะแสดงออกทางสีหน้าที่เขาไม่สามารถจะมองเห็นได้กัน
ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นแน่ อย่างไรหากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่อาจปกปิดน้ำเสียงซึ่งแสดงถึงความรู้สึกได้
เขาอดคิดไม่ได้ว่าที่นางไม่มีท่าทีเขินอายใดๆ อาจเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า นางนั้นไม่ได้มองเขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียด้วยซ้ำ
"เจ้านอนหลับสบายก็ดีแล้ว เมื่อครู่ท่านหมอหลงกลับมาแล้ว ฝากบอกว่าจะรอเจ้าอยู่ที่ครัว"
"เช่นนั้นข้าขอตัวไปช่วยท่านหมอหลงทำอาหารก่อน เสร็จแล้วจะรีบมากินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า"
เอ่ยจบเจ้าของน้ำเสียงหวานสดใสแสนร่าเริงก็วิ่งออกจากห้องไป
ทิ้งให้เขาจมอยู่กับความคิดของตนเองต่อ
เช่นนี้แปลว่า นางไม่เห็นว่าเขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งจริง ๆ เช่นนั้นหรือ
นี่เขาทำอะไรผิดไปหรือไม่ หรือเขาควรทำเช่นไรให้นางรู้ดีว่าเขาเองก็เป็นบุรุษ
ณ ห้องครัวที่โรงหมอ
ยามนี้สาวน้อยวัยสิบห้า กำลังคนโจ๊กพักในหมออย่างตั้งใจ
อีกมุมหนึ่งผู้เป็นหมอผู้แซ่หลงก็กำลังพัดหมอต้มอย่าอยู่อย่างขะมักเขม้นทีเดียว
"ท่านหมอหลง ยาของท่านช่างดีเหลือเกิน หลายวันมานี้เพราะยาของท่านหมอทำให้คุณชายอวี้ดีขึ้นมากที่เดียว"
"แม่นางหลิวเอ่ยชมข้าเกินไปแล้ว อย่างที่บอกไป ยาของข้าทำได้เพียงระงับอาการเท่านั้น หาได้เป็นการรักษาไม่"
"ถึงจะทำได้เพียงแค่ระงับอาการก็เห็นผลดียิ่งแล้วเจ้าค่ะ คุณชายอวี้นั้นรับประทานอาหารได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องคอยทรมานเวลาพิษกำเริบอีกแล้ว"
"เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ แม่นางหลิว สามวันดีสี่วันไข้ยาระงับนี้ก็เป็นเช่นนั้นทำได้เพียงระงับชั่ววันเท่านั้น หากได้ถาวรตลอดไปไม่"
"ที่ท่านหมอหลงจะบอกก็คือ"
"ฤทธิ์ของยาระงับนี้ไม่แน่นอน ใช่ว่าทุกวันจะได้ผลดี วันใดยามีฤทธิ์อื่นก็อาจจะแย่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์"
"...."
"สามวันมานี้ ยาระงับออกฤทธิ์ระงับได้ดี พอให้สามารถรับประทานอะไรได้บ้างร่างกายผ่อนคลาย ทว่าคราใดที่ยาระงับมีผลตรงข้าม เบาสุดอาจทรมานยิ่งกว่าเวลาพิษกำเริบ หนักสุดอาจถึงขึ้นเอาชีวิต"
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลิวซือนัวก็ถึงขั้นนิ่งไปในทันที นางหันกลับมามองท่านหมอหลงอย่างอยากจะมองให้ออกว่าที่ท่านหมอพูดมาเมื่อครู่เป็นจริงหรือไม่
ท่านหมอแกล้งพูดเพื่อให้นางกลัวเล่นใช่หรือไม่
แต่ท่าทางของท่านหมอหลงกับไม่มีอะไรที่ทำให้ดูเหมือนกำลังพูดแกล้งนางเล่นเลย
ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงรวมไปถึงแววตาของท่านหมอนั้นบ่งบอกได้อย่างดีทีเดียวว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใด ครั้งนั้นที่ท่านหมอหลงเริ่มใช้ยาระงับอาการคุณชายอวี้ถึงได้กล่าวว่าภาวนาให้คุณชายอวี้ทนจนอาจารย์ของท่านหมอหลงกลับมาได้ ที่แท้ก็เพราะเช่นนี้นี่เอง
ที่แท้หลายวันที่เบาใจ คือภาพลวงทั้งหมด ความจริงแล้วคือความเป็นความตายของคุณชายอวี้ผู้นั้นแขวนอยู่บนเส้นดายที่พร้อมที่จะขาดได้ทุกเมื่อ
"เรื่องที่ท่านหมอบอกข้าเมื่อครู่เกี่ยวกับยาระงับนี่ คุณชายอวี้รู้หรือไม่เจ้าคะ"
"เขารู้ รู้ทุกอย่าง ข้าต้องบอกคนไข้เกี่ยวกับยาก่อนที่จะใช้ยากับเขาอยู่แล้ว"
"...."
"รู้ไหมตอนนั้นข้าถามเขาว่าอย่างไร"
"ถามว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ"
"ข้าถามเขาว่า เขายินดีจะลองเสี่ยงดูสักครั้งหรือไม่"
"แล้วรู้ไหม เขาตอบกลับมาว่าอย่างไร
"เขาตอบกลับมาว่า เขายินดีที่จะเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่นึกเสียใจไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร"
ในเมื่อเขาย่อมเสี่ยงแม้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เป็นอย่างที่หวัง คุณชายอวี้ที่เคยไม่เห็นค่าชีวิตของตนกำลังยอมเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้ายเช่นนั้นหรือ
นางอดจะคิดไปไม่ได้ว่าหรือที่เขาดูไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตนเองในตอนนั้นอาจเป็นเพราะเขาคิดว่าชีวิตของตนไร้ซึ่งหนทางแล้ว
บุรุษผู้นี้อาจจะพยายามมามากมายจนหมดกำลังใจและหนทางแล้วก็ได้
นางที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของเขามาตั้งแต่แรกกลับคิดไปเองว่าเขาไม่เห็นค่าชีวิตตัวเอง ทั้งที่ก็น่าจะรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดหรอกที่จะไม่รักชีวิต ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะสิ้นหวัง หรือหมดหนทางที่จะมีชีวิตต่อไปได้อีกต่างหาก
ตกเย็น หลิวซือนัวก็ยังคงใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณชายอวี้ ส่วนท่านหมอหลงนั้นเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปดูอาการป่วยของเด็กสาวที่ได้ไปทำการรักษามาเมื่อคืน
หลังจากฟ้ามืดได้ไม่นานก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก จนนางต้องรีบวิ่งไปปิดหน้าต่างเสียให้วุ่นวายทีเดียว
เมื่อจัดการปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว นางก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม มือบางหยิบหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรขึ้นมาเตรียมจะอ่านต่อ
เพียงแต่เนื้อหาในหนังสือกับไม่ทำให้นางนึกสนใจได้อย่างตอนแรก เพราะอยู่ ๆ ความคิดของนางก็ดันนึกไปถึงว่าการที่ฝนตกอย่างนี้จะทำให้ท่านหมอผู้เป็นอาจารย์ของท่านหมอหลงเดินทางกลับมาได้ช้าลงหรือไม่ แล้วถ้าหากการเดินทางของอาจารย์ท่านหมอหลงช้าลงจริง ๆ เช่นนั้นคุณชายอวี้ก็คงจะหมดหวังแล้วจริง ๆ
"เจ้าไม่อ่านต่อแล้ว?" เจ้าของร่างซีดเซียวผู้ซึ่งเอนตัวพิงอยู่กับผนังด้านในของเตียงเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเสียงหวานที่คอยอ่านหนังสือให้ตนฟังอยู่ก่อนหน้า หยุดอ่านไปเสียแล้ว
"อ่า ข้ากำลังหาจุดที่อ่านค้างไว้เมื่อครู่อยู่น่ะ" นางเอ่ยตอบ มือเรียวเปิดหนังสือไปมาทำทีเป็นหาจุดที่อ่านค้างเอาไว้อยู่
"ลุกไปปิดหน้าต่างเพียงครู่เดียว ก็ทำจุดที่อ่านหายไปเสียแล้วหรือ"
"เพราะข้ารีบร้อนไปปิดหน้าต่าง จึงไม่ทันระวังปิดหนังสือลงไป"
"ในเมื่อหาไม่เจอ ก็ช่างเถอะ เจ้าอ่านหนังสือให้ข้าฟังมาสักพักแล้ว คงจะเหนื่อยไม่ต้องอ่านต่อแล้วล่ะ"
"เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าค่อยอ่านให้เจ้าฟังต่อ"
"ได้"
อยู่ ๆ เสียงภายในห้องก็เงียบลงไป เหมือนกับพวกนางไม่รู้จะเอ่ยอะไรอีก
จนในที่สุดหลิวซือนัวก็เอ่ยขอตัวกลับห้องพัก
"ข้ากลับห้องก่อนดีกว่า"
"แต่ด้านนอกฝนตกอยู่"
"ไม่เป็นไร ของพวกเราอยู่ตรงข้ามกัน ใกล้เพียงแค่นี้ วิ่งไปไม่ทันจะเปียกฝนด้วยซ้ำก็ถึงแล้ว"
"ฝนตก พื้นอาจลื่นระวังด้วย" เขาไม่คิดจะรั้งนางที่แสดงออกอย่างไม่ปกติและชัดเจนว่าต้องการจะกลับห้องพักของตนแล้ว
เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นางดูใจลอยตลอดทั้งวัน ยิ่งไม่อาจฝืนใจให้นางอยู่ต่อทั้งที่เป็นห่วงนางอยู่ลึก ๆ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรนางทั้งนั้น
"นี่ เจ้า คุณชายอวี้"
อยู่ ๆ นางที่น่าจะกำลังจะเปิดประตูออกไปก็หันกลับมาเรียกเขา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
"ถ้าเกิดกลัวล่ะก็ สามารถบอกข้าได้นะ เวลาเจ็บหรือเวลาป่วยก็บอกข้าได้"
"ข้าอาจจะเสี่ยงไปกับเจ้าไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าข้าจะคอยช่วยเจ้าอยู่เสมอ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร พวกเราจะต้องได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยแน่"
ต่อให้สุดท้ายเจ้าเหลือเพียงแค่เถ้ากระดูก ข้าสัญญาว่าเราจะได้กลับออกไปด้วยกัน
"คุณหนูหลิวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว"
เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ได้พบเขา อวี้หนานไห่ผู้นี้มีรอยยิ้มกว้างเด่นชัดปรากฏบนใบหน้าเป็นครั้งแรก และนางมั่นใจว่าตนจะจดจำรอยยิ้มนี้ของเขาเอาไว้เป็นอย่างดีทีเดียว
และก็หวังว่าวันหนึ่งบุรุษผู้นี้จะมีรอยยิ้มเช่นนี้ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ในทุกครั้งที่นางมองเห็นเขา
ตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั
ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน
ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็
ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ
ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต
ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้