Masukลูกแก้วสองลูกหมุนวนไปมาอยู่ในมือขณะที่สายตาทอดมองนาฬิกาทรายอย่างใจเย็น ชายหนุ่มปรายตามองสาวรับใช้แล้วสะบัดหน้าไปทางประตูเป็นสัญญาณว่าให้พวกหล่อนออกไป แต่ก่อนที่จะออกพวกเธอเดินเข้ามาเตรียมจะเก็บถาดอาหารของที่เซรัสทานไปได้เพียงครึ่งทว่าเขากลับยกมือห้ามแล้วสะบัดมือบอกให้พวกเธอออกไปอีกครั้ง เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วก็วางลูกแก้วคู่นั้นลงบนโต๊ะแล้วหันกลับไปลงกลอนปิดประตูให้สนิท แล้วรีบวิ่งไปหยิบห่อผ้ามาคลุมอาหารแห้ง ๆ เอาไว้ เขาตักแต่ละสิ่งเพียงเล็กน้อยไม่ให้เสียหน้าตาเดิมแล้วซ้อนมันอีกชั้นด้วยผ้าตาถี่ที่มักใช้ห่ออาหารหนีออกหลังวังตอนที่เล่นกับไคเอล
เขาปีนออกทางด้านหลังซึ่งเชื่อมกับทางเดินมืดอย่างที่เคย ไม่นานนักเท้าก็สัมผัสพื้นดินจึงรีบวิ่งไปทางเดิมไม่ลืมระวังอาหารให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดิม ชุดที่ใส่ออกมาถูกกิ่งไม้ฟาดจนเป็นรอยดินรอยยางอีกครั้ง ระหว่างที่เปลี่ยนความเร็วเป็นและปรับจังหวะจากวิ่งเป็นเดินเขาก็มองรอยพวกนั้นพลางคิดในใจว่าคงจะต้องทิ้งเสื้อตัวนี้อีกแล้ว แต่อย่างไรเสียใครจะมาสนใจว่าเสื้อผ้าของเขามีครบหรือไม่ หากเขาไม่โวยวายขึ้นมาใครจะกล้าสงสัย เป็นเรื่องปกติที่เซรัสจะมาหยุดที่หน้าบ้านไม้พร้อมกับสภาพที่ดูไม่จืดแต่ต่างจากครั้งก่อนนิดหน่อยตรงที่เขาเหงื่อท่วมตัวเหมือนกับวิ่งหนีอะไรมา ก่อนจะขึ้นบ้านเขาจัดเสื้อผ้ามอมแมมให้เข้าที่อีกครั้งแล้วเดินขึ้นไปตามแสงตะเกียงที่ถูกจุดเหมือนทุกครั้ง ไคเอลคงจะสละเวลาออกมาจัดการเรื่องพวกนี้ให้ ส่วนเทร่าถ้าบอกว่าหายไปสามวันเขาก็จะไม่เห็นเงาเธอไปสามวัน เซรัสวางห่ออาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินรอบบ้านตามหาหญิงสาวไร้ชื่อเรียกคนนั้น ก่อนจะออกไปเขารอเธออยู่นานสองนานก่อนดวงตาสวยจะถูกน้ำตาเคลือบไว้แล้วพูดกับเขาเสียงสั่นว่า “ฉันจำไม่ได้” แค่นั้นเซรัสก็ไม่ได้คาดคั้น ทุกอย่างล้วนมีเหตุของมันเสมอ ตอนนี้แค่เรียกเธอให้ออกมากินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยคุยเรื่องอาการป่วย “เธอ...ฉันกลับมาแล้วนะ มากินอะไรก่อนไหม?” ไม่มีร่องรอยของเธออยู่ในห้องอาหาร เขาจึงรีบสาวเท้าลงไปยังห้องหนังสือ เมื่อจับบานประตูหัวใจก็เต้นระส่ำไม่อยากนึกภาพว่าจะเจอเธอหรือไม่ ปึง! “ฟู่ว...” แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเธอนอนหลับอยู่ตรงโซฟาตัวเดิม ที่มือมีรอยเขม่าดำเป็นปื้นหากเดาไม่ผิดคนที่จุดตะเกียงพวกนี้คงจะเป็นเธอ “เธอ...” เซรัสส่งเสียงเรียกพร้อมกับเดินเข้าไปแต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นตัวอักษรเรียงกันบนแผ่นกระดาษอ่านได้ว่า “เฟย์ลิน” เซรัสอ่านออกเสียงเหมือนปลุกให้เธอขยับลืมตา หญิงสาวลุกขึ้นมายกมือขยี้ตาแต่ก็ถูกเซรัสดึงเอาไว้ “มือเธอเปื้อน” ร่างบางพยักหน้าหงึก ๆ แล้วสะบัดหน้าเพื่อให้ตัวเองตื่นแทนที่จะทำแบบเมื่อครู่ “ฉันเอาอาหารมาให้ เธอไปกินก่อนเถอะ” เซรัสลุกขึ้นจะเดินนำแต่กลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ “เฟย์ลิน” เธอขยับพูดเสียงค่อยจนเซรัสต้องเอียงหัวกลับลงมาฟัง “เฟย์ลิน ชื่อฉัน...” เซรัสหันมามองหน้าโดยไม่เพิ่มระยะห่างระหว่างเขาและเธอ “อือ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง ฉันชื่อเซรัส” หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างแล้วขยับออกมาเพราะลมหายใจเริ่มติดขัด พยักหน้าหงึก ๆ แล้วเสมองไปทางอื่น “ฉันนึกอยู่นานมาก ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แต่สุดท้ายก็จำได้แค่ว่าฉันชื่อเฟย์ลิน” แม้ไม่หันมาแต่เขาเห็นความเศร้าในแววตาของหล่อน “ต่อให้จำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ลืมวิธีกินอาหารถูกไหม?” “อื้อ?” เซรัสยิ้มให้แล้วยื่นมือไปตรงหน้าเธอ “มาสิ ไปหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยมาคิดก็ได้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ฉันมีเวลาให้เธอคิดอีกเยอะเลยล่ะ” หญิงสาวหันกลับมามอง มือนั้นที่ยื่นมาเรียกเหงื่อชื้นบนมือเธอทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสด้วยซ้ำ เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านมือนั้นไปหยุดที่ประตู ผายมือเล็ก ๆ เชิงว่าให้เซรัสนำขึ้นไป อีกคนเก็บมือกลับมาแล้วปัดมันกับกางเกงท่าทีดูเก้กังแต่ไม่ได้ออกอาการไม่พอใจที่ถูกหญิงสาวปฏิเสธ คนทั้งสองนั่งห่างกันคนละฝั่งของโต๊ะ อาหารที่เซรัสห่อมาเรียงอยู่ตรงหน้าเฟย์ลิน เธอตักสิ่งที่ใกล้ที่สุดใส่ปากตามด้วยเสียงของเซรัส “ฉันตักมันอย่างละคำ คนที่เอามาให้จะได้ไม่สงสัย เธอไม่รังเกียจกันใช่ไหม” เฟย์ลินส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “แค่มีอาหารให้กิน ให้ยารักษา มันนับเป็นบุญคุณมากกว่าจะมาถือสาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ” เมื่ออาหารถึงท้องเธอก็พูดเสียงแจ้ว เซรัสมองทุกการกระทำของหญิงสาวแม้จะนอนมาหลายวันหรือดูอ่อนล้ามากแค่ไหนแต่เธอไม่ได้พยายามจะยัดทุกอย่างเข้าปากแล้วรีบกินเข้าไปเหมือนคนที่อดมานาน เฟย์ลินตักทีละอย่างกินทีละคำและเคี้ยวอย่างใจเย็นจนเขาสบายใจว่าเธอจะไม่สำลักอาหาร แล้วจึงลุกขึ้นเทน้ำใส่แก้ววางมันลงข้าง ๆ เธออย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่เดิม ท่าทางของเธอดูสงบเสงี่ยมและครอบครัวคงสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ดูดีเสียยิ่งกว่าเจ้าหญิงจากหลายเมืองด้วยซ้ำ “ท่านกินมาหรือยัง? ที่บอกว่ากินอย่างละคำน่าจะไม่อิ่มใช่ไหม?” เซรัสส่ายหน้า แล้วสลับจานที่เป็นซุปอุ่นร้อน ๆ ให้เธอ “ค่อย ๆ กินนะ” หญิงสาวพยักหน้าลืมคำถามของตนเมื่อครู่ ซึ่งเป็นความต้องการของเซรัส จะให้ตอบอย่างไรเพราะการกินอย่างละคำของเขามันคือการกินจากอาหารหลายสิบอย่างที่บางทีอาจจะอิ่มตั้งแต่ยังชิมไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ “มีไข้หรือเปล่า หรือปวดเนื้อปวดตัวไหม อาการตอนนี้เป็นอย่างไร อยากได้ยาอะไรเพิ่มหรือเปล่า” หญิงสาวกลืนน้ำซุปแล้วค่อยหันมาตอบ “ไม่เลย ฉันแค่ปวดหัวคงเป็นเพราะพยายามจะนึกเรื่องของตัวเอง” “ถ้าไม่ไหวก็ยังไม่ต้องพยายาม” “ถ้าฉันนึกไม่ออก ฉันจะกลับบ้านอย่างไง แค่ชื่อกว่าจะนึกออกได้ก็เกือบจะข้ามวัน แล้วไหนจะบ้าน ทางกลับบ้านอีกคงนึกอีกนาน ถ้าไม่รีบนึกตอนนี้คงจะ...” “ก็ไม่เป็นไรเลย” เซรัสรีบจบคำพูดทุกอย่างของเฟย์ลิน “นึกไม่ได้ก็ยังไม่เป็นไร นึกไม่ออกตอนนี้เค้นไปเธอเองจะป่วยไปอีกรอบ” “แต่ฉันเกรงใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมานอนบ้านท่านกี่คืนแล้ว” “แค่คืนเดียว แต่ถ้าคืนนี้อีกคืนฉันก็ไม่ถือหรอกนะ” มือที่จับช้อนอยู่หมดแรงกะทันหันปล่อยมันกระทบจานเกิดเสียงกริ๊งหนึ่งครั้งแล้วรีบหันไปหยิบผ้ามาเช็ดคราบอาหารที่เปื้อนพร้อมกับช้อนเมื่อครู่ “ฉันหมายความตามที่พูด เธออยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหายดี ทั้งร่างกายและความทรงจำ” “แต่ฉันเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นคนดีหรือคนร้าย จะทำร้ายท่านหรือเปล่า ท่านไว้ใจฉันได้อย่างไร” เซรัสเพียงส่งยิ้มกับอาการร้อนรนของหญิงสาว เพิ่งเคยเจอเหมือนกันคนบาดเจ็บที่บอกว่าตัวเองอาจจะเป็นคนไม่ดี “แล้วถ้าเธอเป็นคนไม่ดี เธอจะไปนอนที่ไหน” “ก็...คงสักที่ในป่าจนกว่าจะนึกอะไรได้” เซรัสส่ายหน้ารอยยิ้มนั้นแสนเอ็นดูกับท่าทางที่เรียกว่าไร้เดียงสา “แต่ฉันไม่ใช่คนไม่ดีขนาดที่จะปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ออกไปใช้ชีวิตในป่าคนเดียวหรอกนะ ยิ่งผู้หญิงที่บาดเจ็บแล้วจำอะไรไม่ได้ ต่อให้เธอจำอดีตของตัวเองได้ว่าเป็นนักฆ่าหรือเป็นโจรสาวจากไหน แต่ฉันก็ปล่อยให้เธอไปเสี่ยงคนเดียวในป่าไม่ได้หรอก บ้านของฉัน ให้เธออยู่ได้จนกว่าเธอจะพร้อม ในทุกด้าน...”“ถ้าข้าปฏิเสธ พวกเจ้าจะยอมแพ้หรือไง?” เซรัสและไคเอลมองหน้าก่อนจะตอบออกมาพร้อมกัน“ไม่” แม่มดสาวถอนหายใจแล้วล้วงของที่อยู่ในแขนเสื้อตัวเองออกมา”“งั้นก็มาพูดเรื่องแผนกันเถอะ”“แผนที่บอกว่าจะสำรวจแผนที่ป่าใหม่ทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าตรงนั้นมีสัตว์อะไรบ้างแล้วค่อยนำไปประกบกับแผนที่งานประเพณีน่ะเหรอ?” ครั้งนี้สองเพื่อนรักมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครรับว่าเป็นคนหลุดปาก“ไม่ต้องหาหรอก ต่อให้พวกเจ้าไม่บอกข้าก็รู้ได้อยู่ดี แต่แผนของพวกเจ้ามันสิ้นเปลืองเวลาไปหน่อยนะ”“สิ้นเปลืองอะไรก็ในเมื่อต้องทำแผนที่ใหม่อยู่แล้ว” ไคเอลเถียง จะมีหัวใครปราดเปรื่องเท่าหัวนักประดิษฐ์อย่างเขา ในเมืองนี้ไม่มีเทียบอีกแล้ว“เรายังคงต้องทำแผนที่เหมือนเดิม แต่จะทำตามแผนที่งานประเพณี” ไคเอลกำลังจะเถียงแต่ถูกเซรัสยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน“พูดต่อสิ”“ไม่เจ้า ก็เจ้า ต้องเข้าไปหาแผนที่งานประเพณีแล้วนำมันออกมาก่อนที่จะถึงวันงาน จากนั้นเราจะสำรวจป่ารอบ ๆ แต่เรามีเวลาแค่สามคืนในการสำรวจ”“ทำไมแค่สามคืน ไม่ใช่สามวันหรือ?” ครั้งนี้เป็นเซรัสที่ถาม“ถ้าทำตอนกลางวันมันจะเป็นที่น่าสนใจเกินไป อีกอย่างสัตว์บางตัวหาง่ายแค่ตอนกลางคืน ถ้าอยากจะรู
มันคงจะไม่น่ารักเท่าไรหากให้แขกนอนตรงโซฟาแล้วเจ้าของบ้านนอนในห้องตัวเอง ยิ่งเป็นเจ้าของบ้านผู้ชายกับแขกผู้หญิงที่ยังบาดเจ็บยิ่งไม่ควร แต่มันคงจะลดโทษลงมาได้นิดหน่อยหากเจ้าของบ้านนั้นต้องออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นดมกลิ่นอาหารและยาสมุนไพรโดยมีแขกผู้บาดเจ็บนอนในห้องหนังสือที่มีเพียงโซฟาหวายตัวยาวเป็นที่นอน ที่เป็นแบบนี้เหตุก็เพราะเพื่อนชายนักประดิษฐ์ของเขาปิดการพบเจอผู้คนเป็นวันที่สอง การดูแลผู้บาดเจ็บจึงต้องเป็นตามมีตามเกิด เซรัสอุ่นกับข้าวเมื่อวานในหม้อ พยายามเลี้ยงไฟให้มันเดือดน้อย ๆ อยู่ตลอดเพื่อที่มันจะมีอายุจนถึงพรุ่งนี้ จะให้เข้าไปในวังบ่อย ๆ แล้วแอบขนอาหารออกมามันก็กินพลังงานไม่น้อย และหากการเตรียมตัวของเทร่าและไคเอลพร้อมเขาคงจะต้องเข้าไปเล่นละครในวังอีกหลายวัน ฉะนั้นขอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ สักหน่อยแล้วค่อยออกไปสู้ศึก“ท่าน...จะนอนตรงนี้จริง ๆ เหรอ” แต่มันก็คงจะไม่ง่ายนักเมื่อเขาต้องลุกขึ้นมาอธิบายเพื่อให้เฟย์ลินสบายใจ หญิงสาวกอดผ้าห่มมองเขาแววตาเจือความรู้สึกผิดอยู่นานสองนานซึ่งจะพูดเท่าไรหญิงสาวก็ไม่เข้าใจ“ฉันนอนได้จริง ๆ เธอไปนอนให้สบายเถอะ”“กลางคืนมันจะหนาว ฉันไม่ควรรบกว
ลูกแก้วสองลูกหมุนวนไปมาอยู่ในมือขณะที่สายตาทอดมองนาฬิกาทรายอย่างใจเย็น ชายหนุ่มปรายตามองสาวรับใช้แล้วสะบัดหน้าไปทางประตูเป็นสัญญาณว่าให้พวกหล่อนออกไป แต่ก่อนที่จะออกพวกเธอเดินเข้ามาเตรียมจะเก็บถาดอาหารของที่เซรัสทานไปได้เพียงครึ่งทว่าเขากลับยกมือห้ามแล้วสะบัดมือบอกให้พวกเธอออกไปอีกครั้ง เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วก็วางลูกแก้วคู่นั้นลงบนโต๊ะแล้วหันกลับไปลงกลอนปิดประตูให้สนิท แล้วรีบวิ่งไปหยิบห่อผ้ามาคลุมอาหารแห้ง ๆ เอาไว้ เขาตักแต่ละสิ่งเพียงเล็กน้อยไม่ให้เสียหน้าตาเดิมแล้วซ้อนมันอีกชั้นด้วยผ้าตาถี่ที่มักใช้ห่ออาหารหนีออกหลังวังตอนที่เล่นกับไคเอลเขาปีนออกทางด้านหลังซึ่งเชื่อมกับทางเดินมืดอย่างที่เคย ไม่นานนักเท้าก็สัมผัสพื้นดินจึงรีบวิ่งไปทางเดิมไม่ลืมระวังอาหารให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดิม ชุดที่ใส่ออกมาถูกกิ่งไม้ฟาดจนเป็นรอยดินรอยยางอีกครั้ง ระหว่างที่เปลี่ยนความเร็วเป็นและปรับจังหวะจากวิ่งเป็นเดินเขาก็มองรอยพวกนั้นพลางคิดในใจว่าคงจะต้องทิ้งเสื้อตัวนี้อีกแล้ว แต่อย่างไรเสียใครจะมาสนใจว่าเสื้อผ้าของเขามีครบหรือไม่ หากเขาไม่โวยวายขึ้นมาใครจะกล้าสงสัยเป็นเรื่องปกติที่เซรัสจะมาหยุดที่หน้าบ้านไม้
เทร่าหันหลังไม่ถึงสามนาทีไคเอลก็หันมายิ้มให้เขาพร้อมกับท่าทีร่าเริงเกินขอบเขตจนเขาต้องส่ายหัว“งั้น ข้าคงต้องยึดห้องนอนเจ้าสักสามวัน ถ้านอนห้องสมุดไม่สบายเจ้าก็ไปนอนที่วังเจ้านะ” พูดจบก็วิ่งเข้าห้องนอนของเซรัสโดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาต ปิดประตูปังแล้วลงล็อกเหมือนกับประกาศว่าสามวันต่อจากนี้ไคเอลจะอยู่ในที่ของตน เซรัสส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่มีก้อนความขุ่นเคืองติดมา เขาเดินไปหยิบแก้วน้ำผึ้งที่เทร่าผสมทิ้งไว้ให้หมุนแก้วเบา ๆ ให้สิ่งที่อยู่ข้างในเข้ากันก่อนจะเดินไปดูหม้อยาก็พบว่ามันยังไม่ยุบตามที่แม่มดสาวบอก แล้วจึงลงไปยังห้องสมุดชั้นล่างมองร่างบางที่นอนอยู่ผ่านประตูที่แง้มเอาไว้ เธอยังคงนอนนิ่งแต่เสียงลมหายใจยังดังเป็นระยะ เซรัสวางแก้วนั้นลงที่โต๊ะข้างโซฟาปิดมันไว้ด้วยหนังสือหนึ่งเล่มแล้วนั่งลงข้าง ๆ ถือวิสาสะประคองมือนางขึ้นมาสัมผัสเบา ๆ บริเวณชีพจรนับครั้งและจังหวะมันว่าปกติจึงวางลงเขาพินิจใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดเจ็บแต่ไม่อาจกลบประกายสีน้ำนมที่สะท้อนจากผิวของหล่อนได้ เปลือกตาของนางวิบวับเหมือนมีผงไข่มุกเจือตัดกับแพขนตาสีดำสนิทที่เรียงเส้นแต่พองาม มันไม่ใช่เชื้อพันธุ์ของหญิงสาวในอาณาจั
เทร่าปล่อยให้ไคเอลวุ่นวายกับเสียงความคิดแล้วหันมาหาเซรัสที่เอาแต่ปิดปากเงียบทั้งที่เธอพูดไปแทบจะหมดแล้ว“ว่าอย่างไร เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ข้าว่าเจ้าต้องเป็นคนอธิบายมากที่สุดเลยนะ” เธอกอดอกทิ้งสะโพกพิงโต๊ะอาหาร นาทีนี้เทร่าคือผู้เหนือกว่าเพราะเรื่องของเธอไม่ใช่ความลับและไม่มีอะไรเสียหายหรือจะทำให้ใครเสี่ยงอันตราย แต่กับเซรัสเขาเหยียบอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ดวงตาเฉี่ยวปรายมองคนที่เบนหน้าไปทางอื่น แม้เสี้ยวหนึ่งหางตาของเขาจะหันมาแต่ก็หาได้หันกลับมาสบตากันตรง ๆ“จะอยู่แบบนี้ได้ทั้งวันจริง ๆ เหรอ? มีอะไรที่อยากขอข้าหรือเปล่า” เทร่าเปิดปากอีกครั้ง“ข้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรต่างหาก ใช่ว่าอยากจะปิดเงียบเสียที่ไหน” เซรัสตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วหันไปมองไคเอลที่ บิ ขนมปัง ใส่ปากด้วยดวงตาเหม่อลอย“เพราะเจ้านั่นแหละที่ยึดห้องนอนข้าเอาไปเป็นห้องนักประดิษฐ์น่ะ”“อะไร? ทำไมวนมาที่ข้า เจ้าเป็นคนไปพานางมาเองไม่ใช่เหรอ หรือนางลอยมาจากไหนเจ้าก็พูดไปสิจะมาโยนให้ข้าทำไมล่ะ” ไคเอลฉุนนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก“เข้าเรื่องสักทีเถอะเซรัส เพราะอะไรนางถึงมาอยู่ตรงนี้” เทร่าพูด“เมื่อคืน ข้าออกไปหลังบ้าน แล้วก
แสงประกายสีม่วงสว่างวาบท่ามกลางความมืด ปลายนิ้วเรียวกรีดวนรอบลูกแก้วสีดำสนิท กระทั่งมีเงาน้ำหมุนวนกลืนกินสีของมันจนเหลือเพียงลูกแก้วว่าง ๆ ที่คอยฉายภาพบ้านไม้กลางป่า มันยังเงียบสงบเช่นเดิม ทว่าเธอไม่สามารถเข้าไปภายในบ้านได้ ไม่เห็นแม้การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในนั้นแปะ!เทร่าแปะมือบนลูกแก้ว พลันเปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับภาพนั้นที่หายไป เธอคว้าเสื้อคลุมและไม้คู่กายก่อนจะหายไปด้วยคาถาที่ทิ้งกลิ่นไฟเอาไว้กองไฟโหมขึ้นหน้าบ้านเพียงครู่ก็ปรากฏร่างหญิงสาวในผ้าคลุมสีดำ พร้อมกับไคเอลที่เดินงัวเงียออกมาจากบ้าน เขาประคองสิ่งประดิษฐ์มั่นแม้จะตกใจเล็กน้อยที่เจอหน้าเธอในตอนเช้า“ไฟอะไรหอบเจ้ามาที่นี่แต่เช้าเลยแม่มด”“ข้างในมีอะไร”“ข้างใน? ไม่มีนี่ ข้าไม่ได้ขโมยอะไรเจ้ามานะ” เขาวางสิ่งประดิษฐ์ลงบนพนักนั่งหน้าบ้านแล้วรีบยกมือเหมือนจะให้อีกฝ่ายค้นตัว ทว่าเทร่าเมินแล้วเดินผ่านเขาไป ไคเอลยกมือเกาหัวแกรก ๆ มองตามคนกันเองที่ทำตัวห่างไกล ทว่ากลับกล้าเข้าไปค้นทุกซอกทุกมุมในบ้าน“นี่ ข้าเป็นเจ้าของร่วมกับเซรัสนะ จะมีอะไรเจ้าก็ต้องบอกข้าหน่อยไหม” ไคเอลเดินเข้ามาเคียง พยายามดึงความสนใจ แต่ก็ถูกเทร่าหันมาจิ๊ปากใส่แล้







