“ปกติไม่ใส่ แต่นายมานอนด้วยไงเลยใส่ จะให้เดินโท่งๆ ออกมาไง”
“คราวหลังไม่ต้องใส่หรอก ฉันขี้เกียจถอด”
กึก!!
เสียงตะขอชั้นในหลุดออกจากกันจนเธอใจหายวาบ ไม่รู้ว่าฝ่ามือของเขาเลื่อนไปปลดตอนไหน แต่รู้ว่ามันเร็วมาก ขนาดเธอที่ใส่ทุกวันยังปลดตะขอออกช้ากว่าเขาอีก
“เพ”
“นมใหญ่จังวะมิลค์กี้” มือหนาจับหมับที่หนาอกอิ่ม มันเต็มมือของเขา ขนาดฝ่ามือหนาใหญ่หน้าอกของเธอกลับใหญ่กว่ามือเขาอีก ทั้งปลิ้นไปตามร่องนิ้วยามที่กำลังบีบเคล้น
“อ๊ะ...อย่าบีบอย่างนั้นสิเจ็บ” เสียงหวานร้องครางออกมาเมื่อมือหนาทำการเคล้นคลึงอย่างแรงจนหน้าอกสวยบดบี้ไปตามแรงบีบ
“นมโคตรใหญ่ เหี้xเหอะ ไม่มีผัวมาถึงตอนนี้ได้ไงวะ” เสียงเข้มสบถออกมาอย่างแหบพร่า
“เจ็บ...บีบแรงเกินไปแล้ว”
“ขอเลียนะ”
“ฮะ” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อมือหนาของเพทายก็จัดการถอดเสื้อยืดตัวเล็กของมานิตาออกทันที จนเผยให้เห็นอกอิ่มที่ลอยเด่นชูชันท้ากับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
“ขอเลียหน่อย ฉันหิวนม”
ว่าจบใบหน้าหล่อเหลาของเพทายก็โน้มลงมาใกล้กับหน้าอกสวยจนเธอรับรู้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขาที่เป่ารดอยู่เหนือร่าง มันร้อนจนร่างกายของเธอวูบวาบไปหมด
ไม่ทันขาดคำปากหยักก็จัดการครอบครองยอดอกอิ่มที่ตอนนี้กำลังแข็งชูชันสู้กับปากของเขาอยู่ สีหวานๆ กับรสชาติหวานๆ มันยิ่งทำให้เพทายอดใจไม่ไหวที่จะใช้ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว
“อ๊ะ...เพ...หยุดเถอะ”
ความร้อนเร่านี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เสียวซ่านเกินห้ามใจขนาดนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองใจง่ายที่ยอมให้เพทายทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน ทว่าจิตใต้สำนึกมันกลับบอกว่าอยากให้เขาทำอย่างนี้มานานแล้ว
“เสียวเหรอ” เสียงเข้มร้องถามอีกครั้งเมื่อเขาถอนปากออกจากยอดปทุมถันที่ตอนนี้เปียกชื้นเพราะคราบน้ำลายจากปากของเพทาย
“ไม่เอา...พอแล้ว...ไม่ไหว”
“ไม่ไหวอะไร บอกสิมิลค์กี้ บอกฉันสิ” เพทายเร่งเร้า อยากให้เธอพูดบางอย่างใจจะขาด แต่มานิตาพยายามควบคุมสติของตัวเองไม่ให้เตลิดไปกับคำพูดของคนตัวโตที่กำลังเคล้นคลึงและดูดดึงยอดถันของเธอราวกับกำลังหิวกระหาย
“ไม่เอาเพ...อย่าทำอย่างนี้”
“มิลค์กี้...เธอไม่อยากเหรอ”
“ไม่เอา...มันไม่ถูกต้อง” เสียงหวานบอกอย่างขาดห้วงเมื่อเขายังคงดูดหน้าอกของเธอราวกับเด็กทารกแรกเกิดจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนที่เทลงมาไม่หยุดหย่อน
จ๊วบ!!
“อื้ม...ทำไมจะไม่ถูก...มันไม่มีอะไรผิดทั้งนั้น”
ติ๊ด!!!
ทว่าเพทายยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงดังไปทั่วห้องจนมานิตาได้สติ จากนั้นก็ผลักคนตัวโตออก ส่วนเธอก็รีบเอาเสื้อมาใส่แต่ไม่ทันได้ใส่ชั้นในเพราะต้องไปรับสายก่อน
“ฮะ...ฮัลโหล” เสียงหวานรับสายอย่างสั่นๆ
(เป็นอะไรไปมิลค์กี้เสียงสั่นขนาดนั้น แกกำลังทำอะไร)
“ปะ...เปล่าพอดีเมื่อกี้วิ่งไปเก็บผ้ามา ฝนมันตก” เธอพยายามหาข้อแก้ต่างเพราะไม่อยากให้ญาณินถามเซ้าซี้ไปมากกว่านี้
(แต่ฝนมันตกตั้งนานแล้วนะ ผ้าแกไม่เปียกหมดแล้วเหรอ)
“แถวหอเพิ่งตกน่ะ โทรมามีอะไรหรือเปล่า”
(แหม...ไม่มีธุระจะคุยกับเพื่อนไม่ได้เหรอจ๊ะ) ญาณินบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ขณะที่กำลังคุยกับญาณินจู่ๆ ยัยเพื่อนตัวดีก็วิดีโอคอลมาจนเธอลนลานไม่รู้จะทำยังไง กลัวว่าญาณินจะเห็นว่าเพทายอยู่ในห้องด้วยไม่งั้นงานนี้จบเห่แน่
มือน้อยดันร่างหนาออกห่างจากเฟรมกล้องเพราะกลัวญาณินรู้ เพทายทำท่าทางหงุดหงิดใจแต่ก็ยอมเขยิบให้แต่โดยดี
“วิดีโอคอลมาทำไมเนี่ย”
(ก็จะมาดูหน้าคนที่กำลังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ยังไงล่ะ แกแปลกๆ นะ) ญาณินฉีกยิ้มพร้อมกับมองเพื่อนรักที่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสดงจากหน้าจอที่พอจะทำให้เห็นใบหน้าหวานบ้าง
“ปะ...เปล่าสักหน่อย จริงๆ จะนอนแล้ว อากาศเย็นจนอยากหลับเลย แฮ่ๆ”
(อย่างนั้นเหรอ แกดูมีพิรุธนะ) ญาณินหรี่ตามองเพื่อนผ่านหน้าจอ แต่มานิตาพยายามหลบสายตาเพื่อนเพราะไม่อยากโดนจับผิด
“ปะ...เปล่าสักหน่อย ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอ”
(เปล่าหรอก แค่จะถามว่ามีคนทักมาบ้างไหม มีงานดีๆ บ้างไหม)
ใบหน้าหวานขาวซีดเมื่อเธอบังเอิญหันไปสบตากับเพทายที่จ้องเขม็งพร้อมขมวดคิ้วราวกับสงสัยในสิ่งที่ญาณินถาม
“เอ่อ...ไว้ค่อยคุยวันหลังนะ” มานิตาพยายามตัดบทแต่เพื่อนเจ้าปัญหากลับไม่ยอมจบง่ายๆ
(ไม่เอา...บอกมาเลยนะว่ามีหนุ่มๆ ทักมาไหม มีงานดีๆ บ้างไหม)
“มะ...ไม่รู้” เสียงหวานบอกอย่างตะกุกตะกักเมื่อสายตาพิฆาตของเพทายทำเอาเธอหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั้งตัว
(ไม่รู้ไม่ได้ แกไม่อยากมีผัวกับคนอื่นเข้าบ้างเหรอมิลค์กี้...เนี่ย...มันต้องมีสักคนในแอปฯ สิที่ถูกใจแก)
ผ่าง!!!
นี่ไม่ใช่เสียงของฟ้าผ่าแต่อย่างใด แต่มันคือสายตาของเพทายที่มองมาราวกับจะฟาดฟันเธอให้จมหายไป เขาทำราวกับกำลังหึงเธอแบบผัวเมียไม่ใช่แบบเพื่อนเลย
“เออ...ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง ฝนตกไม่อยากเล่นโทรศัพท์”
(แกเปลี่ยนเรื่องอะ หรือเขิน...ไว้ถ้าพร้อมก็บอกนะว่าผู้ชายที่ถูกใจเป็นใคร เลือกดีๆ นะ ขอหล่อๆ รวยๆด้วย)
“เออ...รู้แล้วน่ะ แค่นี้นะ”
(จ้ะ รู้นะว่าจะไปคุยกับว่าที่ผัวในอนาคต ยังไงก็ฝันดีนะยะ)
“อืม...”
เมื่อวางสายไปแล้วมานิตาถึงกับเป่าปากของตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็ช้อนสายตามองไปยังคงตัวโตที่ยังคงจ้องใบหน้าหวานไม่เลิก แถมสายตาที่เขามองมามันช่างน่ากลัวซะเหลือเกิน นัยน์ตาที่เหมือนมีคำถามมากมายเต็มไปหมด
“ที่ญาณินพูดหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย เรื่องส่วนตัวไหม มายุ่งทำไมเนี่ย ฉันจะนอนแล้ว” ร่างเล็กล้มตัวลงนอนเพราะไม่อยากอธิบายให้กับเพทายฟัง คิดว่าอธิบายไปเขาก็ไม่เข้าใจ
“มึงอย่ามาทำเนียนนอน ลุกขึ้นมาอธิบายให้กูฟังเดี๋ยวนี้” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของเพทายทำให้มานิตารู้ทันทีว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์อย่างแรง ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองคนตัวเล็กอย่างไม่ลดละ
“ไม่อธิบายอะไร ง่วงแล้ว ไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ” มานิตาคาดหวังว่าพรุ่งนี้ชายหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้น แต่เปล่าเลย มือหนากลับกระชากให้เธอลุกขึ้นมาจากการนอน
“ลุกขึ้นมา อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะ” กรามแกร่งขบเข้าหากันอย่างแรงแล้วจ้องมองคนตัวเล็กตาถลึง
“อดทนอะไร เราเป็นอะไรกันเพ...เพื่อนกันไหม จะมายุ่งอะไรกับฉัน” มานิตาโวยเพราะอยากตัดรำคาญ
“วันนี้กูอาจจะเป็นเพื่อนมึง แต่สักวันกูจะเป็นผัวมึงให้ดู”
“อย่ามาพูดอะไรบ้าๆ นะ ไม่ได้คิดอะไรด้วยจะมายุ่งกันทำไมวะ” หญิงสาวพยายามดึงสติของตัวเองออกมา เธอคิดว่าเพทายอาจจะพูดไปเพราะความโกรธ
“อ๋อ...กูยุ่งไม่ได้ แต่มึงกลับไปยุ่งกับไอ้เวรในแชตนั่นน่ะเหรอ ที่ติดโทรศัพท์เพราะอย่างนี้ด้วยใช่ไหม”
“ใช่แล้วจะทำไม ฉันสบายใจที่จะคุยกับใครฉันก็จะคุยกับคนนั้น แต่ที่รู้ๆ ไม่ใช่นายแน่นอน” หญิงสาวบอกอย่างท้าทาย
“เออ! ปากเก่งไปเหอะ สักวันกูจะทำให้มึงพูดไม่ออกที่บังอาจมาท้าทายคนอย่างกู” มือหนาที่จับไหล่บางเอาไว้เริ่มบีบแรงขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ราวกับไฟบรรลัยกัลป์ที่จ้องมองมา
“คิดว่ากลัวเหรอ เจ็บ...ปล่อยนะ”
“โธ่เว้ย!!”
ว่าจบร่างสูงก็เดินไปคว้าเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนเก้าอี้นั่ง จากนั้นเขาก็เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเดิมออกมาจนหญิงสาวร้องถาม
“จะไปไหน!”
“จะกลับบ้าน!”
“ฝนมันตกหนัก นายจะขับรถฝ่าฝนกลับหรือไง” เพราะความเป็นห่วงทำให้มานิตาถามออกไป แม้ในน้ำเสียงจะไม่ค่อยสบอารมณ์ก็ตาม
“อย่าเสือก! กูจะไปไหนก็เรื่องของกู มึงเป็นเมียกูหรือไง ถึงได้มายุ่ง” เพทายหันมาตวัดสายตามองคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาใส่อารมณ์กับฉันนะเพ ฝนมันตกขับออกไปก็อันตรายไหม” ดวงตาคู่สวยมองสายฝนที่นอกหน้าต่างซึ่งไม่มีทีท่าจะซาเลยสักนิด แต่เพทายยังดื้อที่จะออกไปข้างนอกอีก
“ไม่ต้องมายุ่ง มึงกลับไปคุยกับผู้ชายของมึงเถอะ อย่ามายุ่งกับกู”
“เกี่ยวอะไรวะ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าอารมณ์ของเพทายตอนนี้มันคืออะไร เขาทำเหมือนหึง แต่จะมาหึงทำไมในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน
“เพ...มันดึกแล้วนายจะออกไปแบบนี้มันอันตรายนะ”
“ห่วงอะไรกู คนอย่างมึงไม่คิดจะห่วงกูอยู่แล้ว” ว่าจบมือหนาก็จัดการเปิดประตูห้อง จากนั้นก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็วซึ่งมานิตวิ่งตามออกไปไม่ได้เพราะเธอไม่ได้ใส่ชั้นใน จึงได้แต่ปล่อยคนที่กำลังวู่วามออกไปก่อนเผื่อทุกอย่างมันจะดีขึ้น
“อะไรวะเนี่ย”
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ