“นี่ท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ “หากมิเชื่อก็คอยดูละกัน อีกสักสองสามวัน นายของท่านจะต้องลุกขึ้นมาเอ่ยชวนท่านประมือเป็นแน่...มาก็ดีแล้ว ช่วยประคองนายของท่านลุกขึ้นนั่งหน่อยละกัน ข้าจะได้ป้อนยาให้สะดวก ๆ หน่อย” เขาจะได้ไม่ต้องป้อนแบบปากต่อปากอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ มิค่อยมั่นใจเอาเสียเลย หางตามันกระตุกถี่ระรัวอย่างไรพิกล
“เอ้อร์เอ๋อร์”
“มิเป็นไรขอรับท่านแม่” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้าให้กับท่านแม่ที่ยังออกอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน คิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องไถ่ถามให้ได้รู้ความ เหตุใดท่านแม่ถึงได้เกรงกลัวต่อแม่ทัพปีศาจที่ยังมิฟื้นเช่นนี้
“เจ้าว่า...เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านแม่ทัพใหญ่”
“ฮื่อ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ขณะเริ่มป้อนผักเคี่ยวสูตรพิเศษให้กับท่านแม่ทัพที่วันนี้มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมแม่ทัพตัวร้ายถึงไม่ยอมกินยา ทำต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ด้วย...
“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่...แม่ทัพของท่านแกล้งข้า” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะมิว่าจะทำอย่างไรท่านแม่ทัพก็มิยอมกินผักเคี่ยวยาสูตรพิเศษก็ยังคงเหลือเท่าเดิม
“ท่านแม่ทัพคงจะชอบของแปลก”
ทั้งน้ำเสียงที่เหมือนจะหัวเราะและสายตาที่เหมือนกำลังยิ้มอยู่ของรองแม่ทัพทำให้เก้าเทียนรุ่ยหน้าร้อนผ่าว อยากบีบคอทั้งผู้เป็นลูกน้องที่ปากเสียจนน่าจะเอาที่ครอบปากสุนัขมาครอบไว้และเป็นเจ้านายที่นอนเป็นภาระที่แสนหนักอึ้งให้เขาต้องคิดว่าทำยังไงอีกฝ่ายถึงจะยอมกินยาเสียที
“ลองคิดหาวิธีอื่นดูไหมลูก”
“ข้าคิดและลองมาหลายวิธีแล้วขอรับท่านแม่ แต่ก็มิได้ผลเลย จะป้ายบนริมฝีปากแล้วให้ไหลซึมลงไปเอง มันก็ได้อยู่ แต่ผลที่เกิดขึ้นน่าจะช้ามาก...ความจริงข้าอยากจะบีบจมูกและเปิดปากแล้วกรอกยานี้อยู่นะขอรับ”
“หากเจ้ากล้าก็ลองดู”
เห็นไหมล่ะ เพียงแค่นี้สายตาของท่านรองแม่ทัพก็เป็นดั่งกระบี่ที่พร้อมจะทิ่มแทงร่างกายของเขาแล้ว หากทำจริง...เก้าเทียนรุ่ยผู้นี้คงจะหายไปจากภพนี้โดยมิทันจะได้หายใจด้วยซ้ำ
“หากมิทำเช่นนั้นก็เห็นจะเหลือเพียงแค่วิธีนั้นวิธีเดียว”
“แล้วเจ้าคิดรออันใดอยู่ ในเมื่อเคยกล้าที่จะทำมาแล้ว ทำซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้งก็คงจะมิเป็นไร”
แม่มัน! มิคิดว่าเขาจะอับอายเลยหรือไง “วิธีนั้นก็ดี...ดีอยู่นะ อย่างไรแล้วท่านก็เป็นลูกน้องที่ใกล้ชิดกับท่านแม่ทัพ...”
“หน้าที่นี่เป็นของเจ้ามิใช่ข้า...ได้เจ้าป้อนเช่นนั้น มิแน่ ท่านแม่ทัพของข้าอาจจะดีวันดีคืน พรุ่งนี้ฟื้นขึ้นมาอย่างที่เจ้ากล่าวก็เป็นไปได้”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ทำเสียงขลุกขลักกลั้วคอพร้อมกับกลอกตาไปมา พยายามคิดว่ายังมีวิธีใดอีกที่พอจะทำได้อีกบ้าง หากในสมองมันว่างเปล่า คิดสิ่งใดมิออกก็เลยจำใจยอมแพ้และจัดการป้อนน้ำผักเคี่ยวผสมยาให้กับท่านแม่ทัพอีกครั้งโดยมีท่านแม่และรองแม่ทัพหน้าตายปากเสียเฝ้ามองตาแทบมิกะพริบ...คนหลังมองพร้อมกับคอยจับผิดด้วย
กว่าจะเสร็จภารกิจป้อนยาแบบปากต่อปาก มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกว่าผิดปกติ...หากก็คิดมิออกว่าผิดปกติไปอย่างไร
“มีอันใด”
“เปล่า ๆ มิมีอันใด ข้าเพียงแค่อยากจะขอให้ท่านช่วยอยู่ดูแลสังเกตท่านแม่ทัพในตอนที่ข้าพาท่านแม่ไปส่ง ไปหาอะไรกินและอาบน้ำที่ห้องท่านแม่สักหน่อยนะ...มินานหรอกน่า” เก้าเทียนรุ่ยรีบกล่าวเมื่อเห็นใบหน้าของรองแม่ทัพแสดงอาการคล้ายกำลังกล่าวหาว่าข้ามิสนใจ
“จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หากเป็นเช่นที่ข้าคาดคิดไว้...มิเกินสามวัน ท่านแม่ทัพของเจ้าคงจะฟื้น” รองแม่ทัพมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับ หากก็กล่าวสำทับออกมาว่า
“รีบไปรีบกลับ ข้ามีงานต้องไปทำ”
“ไปกันเถอะขอรับท่านแม่” หากเมื่อเขาก้มหน้าลงมองมือตนเองที่มิรู้ว่าถูกจับเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใด
“มีอะไรหรือเปล่าเอ้อร์เอ๋อร์”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กับท่านแม่ ขณะที่รองแม่ทัพมองมาด้วยความสงสัย
“ไหนเจ้าจะไปกับฮูหยิน แล้วทำไมถึงยังนั่งอยู่อีกเล่า”
“นายของท่าน...”
“ท่านแม่ทัพของข้าทำไม”
เก้าเทียนรุ่ยยกมือที่ถูกจับเอาไว้ให้รองแม่ทัพดู
“นี่หมายความว่า...”
“ข้าบอกท่านแล้วว่าแม่ทัพของท่านดีขึ้นแล้ว ท่านก็มิเชื่อ” เห็นไหมล่ะ เขามิได้โอ้อวดสักหน่อย เขาทำได้จริง ๆ หากนับจากนี้ต่างหากเล่าที่มันหนักขึ้น เพราะผักที่นำมาด้วยใกล้จะหมดลงแล้ว ที่ปลูกไว้ก็ยังมิโตเลย มันเลยค่อนข้างจะกังวล
จะว่าไป ในเมื่อเขาคุยกับต้นไม้ใบหญ้าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคุยกับน้องผักทั้งหลายรู้เรื่องด้วยสิ ถ้าเช่นนั้น...พรุ่งนี้เขาไปคุยกับน้องผักทั้งหลายหน่อยดีกว่า บอกให้รีบโตเร็ว ๆ เขาจะได้มีผักไว้เครื่องปรุงยารักษาท่านแม่ทัพให้หายเร็ว ๆ
“ท่านแม่มีเรื่องอันใดสำคัญกับข้าหรือไม่ขอรับ” ที่คิดไว้ว่าจะไปฟังเรื่องราวของท่านแม่ทัพจากท่านแม่คงจะต้องเป็นวันต่อไป ทำไมยามที่เขาคิดอยากรู้เรื่องของคนผู้นี้ถึงได้มีอุปสรรคเสมอนะ หงุดหงิด!
“แม่เพียงแค่เป็นห่วงเอ้อร์เอ๋อร์”
น้ำเสียงอ่อนโยนอ่อนหวานมันทำให้เขารู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ที่ซึ่งจากมา...สิ้นมารดาไปก็หวังจะได้ความรักจากบิดา หากก็ได้แต่มองผู้อื่นที่ได้รับความจากพ่อและแม่ รวมถึงญาติผู้ใหญ่ด้วยความอิจฉา
“ข้ามิเป็นไรขอรับ” เขาเอ่ยบอกไปเสียงสั่น อยากโถมตัวไปกอดท่านแม่เพื่อรับเอาความรักและความอบอุ่นมาปลอบประโลมใจที่เหน็บหนาว หากเพียงแค่ขยับก็รู้สึกเจ็บที่มือแล้ว ก็เลยทำได้เพียงแค่
“ถึงจะเหนื่อยไปหน่อย แต่ข้าก็ยังไหวขอรับ มินานทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปแล้ว” เก้าเทียนรุ่ยส่งยิ้มให้กับมารดา
“ท่านแม่อดทนรอข้าอีกนิดนะขอรับ...อีกมินาน เราจะได้กลับบ้านด้วยกัน”
“แม่รู้ เมื่อลูกแม่ตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว มิมีทางที่จะเป็นไปมิได้ ทุกสิ่งย่อมจะสำเร็จสมกับความต้องการเสมอ...ดูแลคนป่วยเช่นนี้ลูกแม่ทั้งเหนื่อยและหิว แม่จะไปปรุงอาหารมาให้นะ”
“มิต้องขอรับ ยกหน้าที่นี้ให้เป็นของท่านรองแม่ทัพดีกว่าขอรับ หากท่านแม่มิเหนื่อยมากจนเกินไป ข้ารบกวนท่านแม่ไปดูแลแปลงผักดีกว่า ข้ากลัวทหารพวกนั้นจะดูแลได้มิดี...ท่านแม่แค่ไปดูแลพวกนั้นนะขอรับ ห้ามลงมือทำเอง หากมิเชื่อ...ข้าจะลงโทษ”
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”