หลังจากขายปูตัวแรกที่ตัวเองหามาได้ที่ตลาด นนท์กลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้น เขายังถือเงิน 40 บาทไว้ในมือ กำแน่นราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต วันนี้เป็นวันที่เขารู้แล้วว่า... ปูไม่ได้เป็นแค่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ตามชายหาด แต่มันสามารถทำให้เขาหาเงินได้จริง ๆ
แต่ก่อนที่เขาจะกลับเข้าบ้าน ปู่ก็หยุดเดินแล้วหันไปทางชายหาด
“ไอ้หนู ตามปู่ไปเจอใครบางคนก่อน”
นนท์หันไปมองตาม ปู่ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สีหน้าของปู่ดูจริงจัง นนท์จึงเดินตามไปโดยไม่ถามอะไรมาก
พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ แสงสีส้มสาดลงบนผืนทราย ลมทะเลพัดกลิ่นเค็มอ่อน ๆ มาแตะจมูก เสียงคลื่นยังคงซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ตรงปลายหาด มีเงาของชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทราย ร่างกายของเขาผอมแห้งเหมือนต้นไม้ที่ผ่านแดดผ่านลมมานาน ผิวกร้านแดด ผมยาวยุ่งเหยิง มีรอยสักเก่า ๆ บนแขนที่ดูเหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
เขาคือ “ลุงหมึก”
ลุงหมึกเป็นชาวเลแท้ ๆ รุ่นเก่าที่ใช้ชีวิตอยู่กับทะเลมาตั้งแต่เด็ก ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่รู้จักทะเลดีที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้
นนท์เคยเห็นลุงหมึกมาก่อน แต่ไม่เคยคุยกันจริงจัง เพราะลุงหมึกเป็นคนแปลก ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร นาน ๆ ทีจะขึ้นฝั่งมานั่งอยู่ตรงชายหาด หลายคนในหมู่บ้านพูดกันว่า... ลุงหมึก "รู้อนาคต"
ปู่เดินเข้าไปใกล้ แล้วนั่งลงข้างลุงหมึก นนท์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงตาม
ลุงหมึกเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ มองดูนนท์ด้วยสายตาที่นิ่งลึก ราวกับว่ากำลังมองทะลุผ่านร่างกายของเด็กชายไป
“เจ้าเป็นหลานของดำสินะ…”
เสียงของลุงหมึกแหบพร่าเหมือนเสียงของคลื่นกระทบโขดหิน นนท์รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็พยักหน้า
“ใช่ครับ ผมคือนนท์”
ลุงหมึกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอามือลงไปขีดเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นทราย
“วันนี้เจ้าได้จับปูตัวแรกแล้วใช่ไหม?”
นนท์ตกใจเล็กน้อย "ลุงรู้ได้ยังไง!?"
ลุงหมึกหัวเราะเบา ๆ "ข้ารู้ เพราะทะเลบอกข้า"
นนท์มองหน้าปู่เหมือนจะถามว่าเรื่องนี้จริงไหม แต่ปู่กลับแค่พยักหน้าให้ แล้วปล่อยให้ลุงหมึกพูดต่อ
ลุงหมึกใช้ปลายนิ้วขีดเส้นเป็นวงกลมบนทราย
"ชีวิตของเจ้าจะเป็นเหมือนทะเล บางวันสงบ บางวันมีพายุ บางครั้งคลื่นจะซัดเจ้าล้ม แต่ถ้าเจ้ายืนขึ้นได้ เจ้าจะเป็นดั่งคลื่นที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง"
นนท์ขมวดคิ้ว "หมายความว่ายังไงครับ?"
ลุงหมึกมองเขาด้วยสายตานิ่ง ๆ "หมายความว่า... เจ้ากำลังเดินทางบนเส้นทางที่ไม่ธรรมดา"
นนท์ยังไม่เข้าใจ ลุงหมึกจึงขีดเส้นทรายเพิ่ม แล้วพูดต่อ
"เจ้าจะมีโชคจากทะเล... แต่ก็จะมีอุปสรรคจากมันเช่นกัน"
"อุปสรรค?"
"ใช่... ถ้าเจ้าคิดจะเดินบนเส้นทางนี้ เจ้าจะต้องเจอกับสิ่งที่ยากลำบาก เจอคนที่พยายามขวางทาง เจอความผิดพลาด และบางครั้ง เจ้าจะคิดว่าตัวเองเลือกทางผิด"
นนท์นิ่งฟัง เขาไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไงกับคำพูดเหล่านี้
"แล้ว... ผมจะทำยังไงดี?"
ลุงหมึกยิ้มบาง ๆ "จงฟังเสียงของทะเลให้มากกว่าคำพูดของคน"
นนท์ทำหน้าสงสัย "หมายความว่าไงครับ?"
ลุงหมึกเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดช้า ๆ "ทะเลไม่มีวันโกหก..."
"ถ้าวันหนึ่งเจ้าสงสัยในตัวเอง ให้เดินกลับมาหาทะเล แล้วเจ้าจะรู้คำตอบ"
หลังจากนั้น ลุงหมึกก็เงียบไป และปู่ก็บอกให้นนท์กลับบ้าน ระหว่างทางเดินกลับ นนท์อดไม่ได้ที่จะถาม
"ปู่... คำพูดของลุงหมึกหมายความว่ายังไง?"
ปู่ถอนหายใจยาว "ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ข้ารู้ว่าไอ้หมึกมันไม่เคยพูดอะไรลอย ๆ"
นนท์เงียบไป
คำพูดของลุงหมึก แม้มันจะดูแปลกประหลาด แต่มันฝังเข้าไปในหัวเขาโดยไม่รู้ตัว
"จงฟังเสียงของทะเลให้มากกว่าคำพูดของคน..."
เขายังไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่เขารู้สึกว่า... สักวันหนึ่งเขาจะเข้าใจมัน
เมื่อสิ่งที่เคยเล็ก... กลายเป็นระบบขนาดใหญ่หลังจากผ่านช่วงเวลาที่นนท์เรียนรู้ที่จะ “ปรับสมดุลชีวิต” ของตัวเอง (ฉากที่ 44) แม้เขาจะไม่วิ่งตามความสำเร็จแบบเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อเขากลับมามองรอบตัว เขาพบว่า...สิ่งที่เขาสร้างไว้ทั้งหมด... มันใหญ่กว่าที่เขาเคยคิดโรงเลี้ยงปู 3 แห่งร้านอาหารในจังหวัดบ้านเกิดจุดกระจายสินค้าใน 4 จังหวัดเครือข่ายชาวประมงรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมระบบกว่า 40 ครัวเรือนทีมงานประจำกว่า 20 ชีวิตเยาวชนที่มาฝึกงานและขอแรงบันดาลใจอีกนับไม่ถ้วนทุกระบบและทุกคน... ล้วนมี "หัวใจ" ผูกอยู่กับ "ปูเปลี่ยนชีวิต"“เราไม่ได้ดูแลแค่ปูในบ่อแล้ว...แต่เรากำลังดูแล ‘ชีวิตจริง ๆ’ ของคนอีกมากมาย”การประชุมประจำปี — ที่มีน้ำตามากกว่าตัวเลขในห้องประชุมขนาดเล็กหลังฟาร์ม นนท์นั่งตรงกลางล้อมด้วยคนในระบบ ไม่ใช่นักลงทุน ไม่ใช่ซีอีโอ แต่เป็นลุงต่าย ชาวประมงผู้เริ่มเลี้ยงปูตามแนวทางของนนท์ป้าจันทร์ แม่บ้านที่คัดปูส่งร้านมานานกว่า 3 ปีไอ้ป่อง ที่กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดส่งเด็ก ๆ จากโรงเรียนที่มาฝึกงานเป็นปีที่ 2ทุกคนนั่งล้อมวง ไม่มีโต๊ะยาว ไม่มีโปรเจกเตอร์ แต่มีใจ... ที่ฟังกันด้วยความเงียบที
หลังการเสียสละครั้งใหญ่ ทุกอย่างช้าลง… แต่เบาสบายขึ้นหลังจากที่นนท์ตัดสินใจปฏิเสธการขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ (ในฉากที่ 43) เขายกเลิกแผนหลายอย่าง ปล่อยบางสิ่งที่เคยถือไว้แน่น ทีมงานบางส่วนแยกย้ายไปเริ่มสิ่งใหม่ของตัวเองกิจการ “ปูเปลี่ยนชีวิต” ยังอยู่แต่เล็กลงและนิ่งขึ้น ไม่เร่งรีบเหมือนเก่า แต่ทุกคนในทีม... ยิ้มได้ง่ายขึ้นเปลี่ยนเวลาเร่งด่วน เป็นเวลาใส่ใจก่อนปรับหลังปรับประชุม 5 รอบ/วันประชุม 2 รอบสำคัญเท่านั้นวิ่งตามออเดอร์คัดลูกค้าเฉพาะรายที่ “เห็นคุณค่า”จัดการบัญชีเองทุกคืนแบ่งงานให้ทีม + ตรวจสรุปรายสัปดาห์ไม่ได้กินข้าวกับแม่เลยมีวันละ 1 มื้อที่ “ต้องกินข้าวพร้อมแม่”ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองจัด “เวลานิ่ง” ทุกเช้า-เย็นตารางชีวิตของนนท์ถูกปรับใหม่หมด“ระบบ” ที่ดีขึ้น เพราะไม่พยายามทำทุกอย่างเองนนท์เริ่มนำแนวคิด “ช้าแต่ชัด” มาใช้กับธุรกิจ เขาย้ำกับทีมว่า“เราไม่ใช่คนขายปูที่เร็วที่สุด แต่เราจะเป็นคนขายปูที่ ‘เข้าใจตัวเอง’ มากที่สุด”เขาให้สิทธิ์ทีมตัดสินใจแทนในหลายเรื่อง ไม่กังวลว่าจะผิดเพราะเขารู้ว่า...“ถ้าเราทำให้ทีมมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะช่วยดูแลแบรนด์ให้เหมือนชีวิตของตัว
เมื่อทุกอย่างเริ่มเดินได้ แต่หัวใจเริ่มแบกไม่ไหวหลังจากการสูญเสียปู่ (ฉากที่ 42) แม้แบรนด์ “ปูเปลี่ยนชีวิต” จะยังดำเนินต่อ ลูกค้าใหม่ยังเข้ามา ทีมงานยังทำงานเต็มที่ยอดขายยังดี สาขาเริ่มกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆแต่… ภายในใจนนท์กลับรู้สึกว่า“เรากำลังเหนื่อยกับสิ่งที่เรารัก... จนเริ่มไม่รักมันแล้ว”เขารู้สึกว่าเขาแทบไม่มีเวลาให้กับแม่เลยเขาไม่ได้ดูแลบ่อปูด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อนเขาไม่ได้คุยเล่นกับเด็ก ๆ ที่เคยสอนจับปูเขาไม่ได้ “ยิ้ม” กับสิ่งที่เขาทำเหมือนเดิมมันเหมือนทุกอย่าง "โตขึ้น" แต่เขา... “ค่อย ๆ หายไปจากความตั้งใจแรก”จุดเปลี่ยน: คำถามจากเด็กชายคนหนึ่งวันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่เคยมาเยี่ยมฟาร์มเดินเข้ามาหานนท์ขณะที่เขากำลังเดินตรวจบ่อ"พี่นนท์ครับ… ถ้าหนูอยากโตขึ้นเป็นเหมือนพี่ ต้องเริ่มยังไง?"นนท์ยิ้มแล้วตอบแบบเดิม"เริ่มจากปูตัวเดียว แล้วตั้งใจจริง ๆ กับมัน"แต่เด็กชายกลับถามต่อ…"แล้วตอนพี่เหนื่อย พี่มีใครให้คุยด้วยไหมครับ?"คำถามนั้นแทงทะลุใจเพราะตอนนี้ เขาแทบไม่มีเวลาคุยกับตัวเองด้วยซ้ำจุดตัดสินใจ: ข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธช่วงเวลานั้นเอง เขาได้รับข้อเสนอจากกลุ่มนักลง
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน — และไม่มีใครเตรียมใจทันหลังจากช่วงเวลายุ่งวุ่นวายกับการขยายธุรกิจ นนท์ก็แทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน แม้จะพยายามกลับมาใกล้ครอบครัวมากขึ้น (ฉากที่ 41) แต่ด้วยภาระ ความคาดหวัง และความสำเร็จที่โตแบบไม่หยุด เขาก็ยัง “พลาดบางช่วงเวลาสำคัญไปอยู่ดี”วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเซ็นเอกสารร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างจังหวัด พี่ตั้มก็เดินเข้ามา หน้าซีด และพูดเพียงเบา ๆ“ปู่เข้าโรงพยาบาล…”โรงพยาบาลเล็ก ๆ ริมจังหวัด — เตียงเงียบ ๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วนนท์รีบวิ่งเข้าไปหา ในสายตาเห็นปู่นอนนิ่ง มีสายน้ำเกลืออยู่เต็มแขน คุณหมอแจ้งว่า…“คุณปู่หัวใจอ่อนล้ามานาน และมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ร่างกายท่านตอบสนองช้ากว่าที่คาดไว้มาก”เขานั่งลงข้างเตียง จับมือปู่ที่เย็นลงกว่าเดิม ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น“ขอโทษนะครับปู่... ผมมัวแต่ทำงาน จนไม่ได้มาเยี่ยมปู่เลยช่วงนี้…”ปู่ไม่ตอบ แต่ลืมตามองเขาเล็กน้อย และยิ้มเบา ๆคำพูดสุดท้าย... ที่เป็นเหมือนบทสรุปของทั้งชีวิตนนท์โน้มหน้าลง น้ำตาไหลข้างแก้ม ก่อนที่ปู่จะเอ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า“เงินซื้อปูได้เป็นร้อยกิโล แต่ซื้อ ‘เวลา’ กินข้าว
ตารางที่แน่นทุกช่อง… แต่ช่องในใจกำลังว่างเปล่าหลังจากการขยายแบรนด์ การเปิดร้านอาหาร การรับมือกับคู่แข่ง ตารางชีวิตของนนท์ก็แน่นเอี๊ยดทุกวัน06:00 น. ตื่นเช้าตรวจบ่อปู08:00 น. ประชุมกับทีม10:00 น. ถ่ายทำคลิปโปรโมต12:00 น. รับลูกค้ากลุ่มศึกษาดูงาน14:00 น. ประชุมสาขา17:00 น. เช็กคุณภาพวัตถุดิบ20:00 น. ตอบลูกค้าในเพจ23:00 น. ยังไม่ได้นอนเขาเริ่มเหนื่อยล้าแบบไม่รู้ตัว แต่ที่หนักกว่าก็คือ... เขากำลัง "ลืม" ว่าใครอยู่ใกล้ที่สุดคำพูดสั้น ๆ จากแม่ — แรงที่สุดในรอบปีคืนหนึ่งนนท์กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน แสงไฟในครัวยังเปิดอยู่ แม่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร… กับจานข้าวเย็น ๆ หนึ่งจานแม่เงยหน้าขึ้น เห็นลูกชายเดินผ่านโดยไม่มองก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า“ถ้าลูกยังมีเวลาให้คนทั้งประเทศ…แม่ขอแค่วันหนึ่ง หนูมีเวลาให้แม่บ้างได้ไหม?”นนท์หยุดนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุน หันกลับมาช้า ๆ แล้วเห็นแม่มีน้ำตาคลอในตาแม่ยิ้ม “ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ… แม่แค่คิดถึง”ห้องนอนที่ไม่ได้ใช้ — หัวใจที่ไม่ได้พักคืนนั้นนนท์เข้าไปในห้องนอนที่เขาเคยใช้ เขาพบว่าสิ่งของเดิมยังอยู่ครบแต่มีฝุ่นบาง ๆ เกาะที่ขอบโต๊ะ"นานแค่ไหนแล้ว…
ข่าวลือที่เริ่มแทรกเข้ามาในช่วงที่ร้าน “ปูเปลี่ยนชีวิต” เริ่มมีชื่อเสียง มีลูกค้าแวะมาถ่ายรูป ลงรีวิว และแชร์ในโลกออนไลน์ เพจเริ่มมียอดติดตามหลักแสน มีการนำชื่อร้านไปพูดถึงในคลาสเรียนวิชาการตลาดของมหาวิทยาลัยแต่แล้ว…ก็มีเสียงแปลก ๆ เริ่มแว่วเข้ามาในวงในของอุตสาหกรรมอาหารทะเล“ช่วงนี้มีแบรนด์ใหม่กำลังมาแรงนะ ใช้แนวคิดคล้ายๆ กับปูเปลี่ยนชีวิตเลย”“เขาเอาปูจากทะเลอันดามันมาแพ็คใหม่ ใส่แบรนด์เหมือนกันเลย แต่ออกแบบหรูหรากว่า ชื่อแบรนด์ว่า Blue Crab Revival เปิดตัวเร็วมาก และมีเงินทุนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”เมื่อข้อมูลเริ่มชัดเจน — และคู่แข่งเริ่มบุกตลาดเดียวกันพี่ตั้มเปิดโน้ตบุ๊กให้นนท์ดูหน้าเว็บไซต์ของ “Blue Crab Revival” ที่ถูกออกแบบอย่างมืออาชีพโลโก้เป็นภาพปูเรืองแสงใช้คอนเซปต์ “ชีวิตคนเปลี่ยนได้ด้วยปู”มีคลิปวิดีโอเลี้ยงปูในระบบปิด (สวยงามแต่แสดงไม่หมด)การจัดส่งใช้บริการระดับพรีเมียมและที่สำคัญ...“เขาใช้คำว่า 'From Hope to Plate' — แนวเดียวกับ ‘สดจากใจ เปลี่ยนได้ทุกชีวิต’ ของเราเลยพี่”และพบว่าเจ้าของคือ... “คนที่เคยติดต่อมาขอลงทุน”พี่ตั้มค้นข้อมูลเจ้าของบริษัทพบว่า “Blue Crab