แต่จะมาคิดเอาตอนนี้คงไม่ได้อะไรเพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว
“คะ...คุณเดชคะ!” หญิงสาวตัดสินใจนำเรี่องนี้มาขอความช่วยเหลือจากคนที่มีส่วนทำให้หนึ่งชีวิตในท้องถือกำเนิดขึ้น เธอตัดสินใจร้องเรียกเขาไว้ ท่ามกลางหัวใจที่เต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด
“มีอะไร!”
“มะ...ไหมมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกคุณ เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันได้ไหมคะ”เพราะคิดว่าอีกคนคงเปลี่ยนใจอยากเรียกร้องถึงเรื่องในคืนนั้น ธีรเดชจึงลากหล่อนขึ้นรถก่อนจะขับออกมาที่ท้ายไร่ที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเท่าไหร่
“จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา อีกไม่นานฉันต้องบินไปเรียนต่อแล้ว จะได้รีบจัดการให้เสร็จๆ ไป” เขาว่าก่อนจะปรายตามองใบหน้าอ่อนหวานที่บัดนี้ดูซีดผิดปกติ บางทีหล่อนอาจไม่สบาย แต่นั่นก็หาใช่เรื่องที่เขาต้องให้ความสนใจ ดีเสียอีกที่หล่อนตัดสินใจรับข้อเสนอ
เขาจะได้เลิกรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเสียที!
“มะ...ไหมท้องค่ะ” เมื่อพูดออกไปแล้วภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบแทบจะทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งธีรเดชที่เหมือนจะช็อกไป
“ว่าอะไรนะ พูดอีกทีสิ ชัดๆ” เขาย้ำเหมือนไม่แน่ใจหลังจากตั้งสติได้ ก่อนภาวนาต่อหลายๆ สิ่งที่เคารพนับถือขอให้ตัวเองฟังผิด
“ไหมท้องค่ะ” หนนี้ม่านไหมไม่พูดเปล่า เธอหยิบเอาอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เพื่อให้เขาเห็นเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่เธอเพิ่งจะบอกออกไป เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโกหก
“ทะ...ท้องเหรอ เธอท้องได้ยังไง!” แม้จะรู้ว่านั่นคงเป็นคำถามที่โง่งมที่สุด แต่ในนาทีนี้จะให้เขาพูดอะไรได้ในเมื่อสติก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นั่นเป็นเพราะเขาคิดมาตลอดว่าหล่อนต้องรู้วิธีป้องกันตัวเองจากเรื่องบ้าๆนี่ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะโง่จนปล่อยให้ตัวเองตั้งท้องได้
“ไหมขอโทษค่ะ”
“ฉันยังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อของใครทั้งนั้น ถ้าเธอคิดจะเก็บเด็กไว้ก็ไปหาพ่อเอาเอง! หรือถ้าไม่อยากเก็บ...ฉันจะจัดการเรื่องเงินให้” คำพูดนั้นสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวแก่คนฟังไม่น้อย เพราะเธอไม่คิดว่าเขาจะใจร้าย ถึงขนาดหยิบยื่นข้อเสนอบ้าๆ นี้มาให้ ไม่เคย!
“จะให้ไหม ฆ่าลูกเหรอคะ”ครั้งนี้เป็นธีรเดชเองที่เงียบไปนาน
“ฉัน...ขอโทษ” เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ‘เขา’ ไม่ต้องการที่จะรับผิดชอบ ‘ผล’ ที่เกิดจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น
“เข้าใจแล้วค่ะ ไหมจะจัดการเรื่องนี้เอง” เปล่าประโยชน์ที่จะนั่งอยู่ในรถคันนี้ เปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังสิ่งที่เขาไม่มีวันมอบให้
“เธอจะทำยังไง!” และก็เป็นเขาอีกที่รั้งกันเอาไว้ด้วยคำถาม
คำถาม... ที่เธอเองก็ยังไม่อาจหาคำตอบไปมอบให้กับเขาได้
“คิดเสียว่าคุณไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ไหมจะจัดการเรื่องนี้เองค่ะ จะไม่ให้เดือดร้อนไปถึงคุณเดชแน่นอน” และไม่ว่าสุดท้ายเธอจะตัดสินใจแบบไหน จากนี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งวุ่นวายทั้งนั้น
นับจากนี้เด็กในท้องคนนี้... จะเป็นลูกเธอคนเดียว ตลอดไป!
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปไม่นานธีรเดชกับปวีณ์นุชคนรักก็ควงกันไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ การจากไปของพวกเขาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับข่าวลือของอีกคนที่ใครต่อใครต่างพากันพูดถึงเสียๆ หายๆ เรื่องที่ว่าจู่ๆ เธอก็ดันตั้งท้องขึ้นมาซ้ำยังหาพ่อให้เด็กในท้องไม่ได้ เดือดร้อนคุณวิมลกับคุณวรุฒที่จำต้องสยบข่าวคราวด้วยงานแต่งของลูกสาวบุญธรรม ซึ่งแม้จะแต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก กิ่งกมลก็ยังไม่คิดวางใจเรื่องนี้ เพราะเธอยังมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าบางทีพ่อของเด็กในท้องนังม่านไหม อาจเป็นเจ้าบ่าวของตัวเอง
“พี่วัชรแน่ใจนะคะว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กในท้องของนังม่านไหม” เธอถามขึ้นก่อนจะลอบมองท่าทีเขาไปพร้อมกัน
“พี่พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว ถ้ากิ่งไม่เชื่อพี่ก็ไม่มีอะไรจะพูด!” วัชระตอบกลับภรรยาป้ายแดงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาเองก็ตกใจไม่ต่างจากคนอื่นที่จู่ๆ หญิงสาวที่ตัวเองหลงรักก็เกิดตั้งท้องขึ้นมา ไม่ว่าใครจะถามยังไงม่านไหมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเธอจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนพ่อของเด็กเธอไม่อยากพูดถึง เลยไม่มีคิดจะถามต่อ
“กิ่งจะเชื่อถ้าจากนี้พี่เลิกไปยุ่งวุ่นวายกับมัน” เธอว่าก่อนจะสะบัดหน้าหนี อย่างไรก็ไม่คิดที่จะวางใจในเรื่องนี้ไปง่ายๆ ไม่มีวัน!
อีกด้านหนึ่ง
ม่านไหมไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเพราะตอนนี้ป้าของเธอล้มป่วยและหมอเพิ่งจะบอกให้รู้ว่าท่านอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ความจริงที่ได้รู้ทำให้หญิงสาวคิดไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มอีกฝ่ายเมื่อพบหน้ากัน
“ป้าเป็นยังไงบ้างจ๊ะ” หญิงสาวรวบรวมแรงใจเดินเข้ามาหาผู้เป็นป้ายังห้องพักผู้ป่วยรวม เธอพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ หากแต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของอีกฝ่าย ก็ทำเอาเก็บความเศร้าเสียใจไม่ไหว
ตั้งแต่พ่อกับแม่ตายไปทั้งชีวิตเธอก็เหลือแค่ป้าคนเดียวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ชีวิตเธอคงไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างทุกวันนี้ถ้าไม่มีท่านคอยให้ความรัก ซ้ำยังคอยสอนให้เธอคิดดีทำดี เพื่อที่ว่าสักวันสิ่งดีๆ จะตามมา แต่มาวันนี้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะยังเชื่อแบบนั้นได้อยู่รึเปล่า เพราะที่ผ่านมาชีวิตเธอพบเจอแต่กับเรื่องแย่ๆ ไม่หยุด
“มะ...ไหมเหรอลูก”
“ไหมเอง ป้าอดทนนะจ๊ะ เมื่อกี้ไหมเพิ่งได้คุยกับหมอ หมอบอกว่าป้ามีโอกาสที่จะหาย อีกไม่นานป้าจะได้กลับบ้าน ไหมจะดูแลป้าเองจ๊ะ” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าทุกคำที่เอ่ยออกไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหก แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะทำ
“เวลาของป้ามาถึงแล้ว ห่วงเดียวตอนนี้ก็มีแค่ไหมกับเจ้าตัวเล็กในท้องเท่านั้น ไหมอดทดนะลูก ไหมของป้าเป็นคนดี สักวันสิ่งดีๆ จะเข้ามาหาไหม ขอแค่อดทน อย่าไปยอมแพ้...” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นป้าจะหมดลมหายใจไปอย่างสงบ ท่ามความเสียงกรีดร้องของม่านไหมที่ต้องมาเสียญาติคนสุดท้ายในชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ
เพื่อนๆ ของเขาทยอยกลับไปกันหมดแล้ว หากแต่จานชามที่ต้องล้างกลับทำให้ม่านไหมต้องอยู่ต่อเพื่อจัดการกับพวกมันให้เรียบร้อย จนเมื่อทุกอย่างเสร็จหญิงสาวจึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับบ้าน “ใจคอเธอจะอ่อยผู้ชายทุกคนที่เจอเลยรึไงห๊ะ!” แต่คำถามที่จู่ๆ ก็มาพร้อมแรงกระชากทำให้เธอตกใจจนเกือบส่งเสียงร้อง โชคดีที่เธอหยุดตัวเองเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคนทั้งบ้านคงได้แตกตื่น “คุณเดช! ไหมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง แต่เขาหรือจะเชื่อ “ฉันเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น ผู้หญิงอย่างเธอมันดีอะไรดีนักหนาวะ ใครต่อใครถึงได้พากันหลงรักนัก!” คำถามนั้นเหมือนกับว่าเขาตั้งใจจะถามตัวเองมากกว่า และหนนี้ไม่ถามเปล่า เขายังใช้สายตามองสำรวจคนตรงหน้าขึ้นลองไปพร้อมกัน ก็แค่หน้าตาน่ารัก ปากนิด จมูกหน่อย หุ่นสวย ขาเรียว ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน ถ้าให้เทียบกับแฟนของเขายัยนี่ยังถือว่าธรรมดามาก แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกบางทีหล่อนอาจมีดีกว่าที่ตาเห็นก็ได้ ใครจะรู้! “มะ...ไหมล้างจานเสร็จแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” เห็นชัดว่าป่วยการจะอธิบาย ม่านไห
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครได้ทันคาดคิดส่งผลให้ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน เดือดร้อนผู้เป็นป้าที่ต้องประคับประคองร่างของหลานสาวที่น่าสงสาร เข้ามากอดปลอบ “ตัดอกตัดใจเสียเถอะลูกไหม พ่อแม่เราเขาไปดีแล้ว จากนี้ไปไหมก็อยู่กับป้าเสียที่นี่เถอะนะ ป้าจะดูแลไหมเอง” ม่านไหมวัยแปดขวบได้แต่พยักหน้ารับอยู่ในอกของผู้เป็นป้า ผู้ซึ่งเปรียบได้กับญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ และแม้จะเป็นแค่เด็ก อย่างไรเสียก็ต้องพามาแนะนำให้เจ้านายได้รู้จักเสียหน่อย “นี่รึหลานสาวที่ว่า” คุณวิมลกล่าวขึ้นเมื่อหนึ่งในลูกจ้างจูงมือหลานสาวเข้ามาขอพบ เรื่องที่ได้รับรู้ทำให้รู้สึกเวทนาในโชคชะตาของเด็กคนนี้อยู่มากทีเดียว “ใช่ค่ะ รีบกราบคุณท่านเร็วๆ เข้าสิลูกไหม” เด็กน้อยทำตามคำสั่งของผู้เป็นป้าในทันทีและไม่ลืมที่จะก้มหน้านิ่งอย่างคนเจียมตัว “เอาล่ะๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรนักหรอกนะ ในเมื่อไม่มีที่ไปก็อยู่ช่วยป้าเธอที่นี่ก็แล้วกัน ไหนขยับเข้ามาใกล้ๆ ให้ฉันดูหน้าชัดๆ หน่อยสิ” หนนี้เด็กสาวมีท่าทีลังเลอยู่ครู่ จนเมื่อผู้เป็นป้าพยักหน้าให้นั่นเองถึงได้กลับขยับเข้า
หลังจากขับรถไปส่งหลานสาวสุดที่รักที่โรงเรียนแทนพี่ชายกิ่งกมลก็ไม่ลืมแวะมาที่วัด เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญที่เธอไม่เคยลืม ทุกปีของวันนี้เธอจะมาที่นี่เพื่อทำบุญให้ลูกที่จากไป อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น และก็เป็นแบบนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนทุกอย่างจะหายไปเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า “พี่วัชร” จะเรียกว่าโชคร้ายก็คงได้เมื่อเขาเองก็เห็นเธอเช่นกัน “เดี๋ยวก่อนกิ่ง!” วินาทีที่หมุนตัวเตรียมจะเดินหนีเธอก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยเสียงที่มาพร้อมแรงฉุดเบาๆ ที่ต้นแขนของอดีตสามีตัวเอง “กิ่งมาทำบุญให้ลูกเหรอ” เห็นชัดว่าเขาเองก็คงมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นจึงทำให้เธอตอบรับกลับไปอย่างไม่คิดปกปิด “ค่ะ” “พอจะมีเวลาไปหาที่เงียบๆ คุยกันหน่อยไหม พี่มีเรื่องอยากคุยกับกิ่ง”แม้ใจอยากปฏิเสธเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอยอมเดินตามแรงฉุดน้อยๆ นั่นมาถึงศาลาท่าน้ำข้างวัดเข้าจนได้ “กิ่งเป็นยังไงบ้าง” “กิ่งสบายดีค่ะ พี่วัชรล่ะคะ” “ก็เรื่อยๆ” เธอไม่ได้ถามต่อถึงคำว่า ‘เรื่อยๆ’ ของเขาว่าดีหรือไม่ด
วันแรกของการไปโรงเรียนในชั้นอนุบาลของเด็กหญิงธีรนาถค่อนข้างเป็นไปอย่างทุลักทุเลพอสมควรเมื่อผู้เป็นพ่อ อา และย่าพร้อมใจกันไม่ยอมให้ดวงใจของบ้านเข้าห้อง เดือดร้อนครูประจำชั้นที่ต้องเดินออกมาตามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จ “หนูจำที่พ่อบอกได้ไหมคะผักบุ้ง ห้ามคุยหรือไปเล่นกับเด็กผู้ชายเด็ดขาด ถ้ามีใครแกล้งก็ให้รีบไปบอกคุณครูทันที และที่สำคัญ...ถ้าหนูคิดถึงพ่อ ก็บอกให้ครูโทรไปที่เบอร์นี้ พ่อจะรีบมารับ” “ค่ะคุณพ่อ” เด็กน้อยในชุดนักเรียนน่ารักตอบกลับผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มสดใส พร้อมกันนั้นยังหันไปหาผู้เป็นย่ากับอาที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้ทั้งสองน้อยใจ ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในห้องเรียนในที่สุด ภาพคนสี่คนที่เบียดเสียดกันอยู่ในเสาต้นเดียวกันเพื่อแอบดูเด็กน้อยนั้น ก่อให้เกิดรอยยิ้มจากใครต่อใครที่บังเอิญผ่านมาเห็น หลังจากไปส่งลูกที่โรงเรียนเสร็จ พ่อของลูกก็มีสภาพอย่างที่คิดไว้นั้นคือนั่งหงอยอยู่ที่บันไดบ้านราวกับจะรอการกลับมาของลูกสาวสุดที่รักอยู่ตรงนั้น เดือดร้อนม่านไหมที่ต้องเดินเข้าไปดูอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่อยากเห็น
ปวีณ์นุชไม่ได้ยอมแพ้ต่อสิ่งที่ได้รู้ เธอแค่กลับไปตั้งหลักก่อนจะกลับมาหาอดีตคนรักอีกครั้งพร้อมกับความมั่นใจว่าเขายังรักกันอยู่ และที่เขาต้องรับผิดชอบสองแม่ลูกนั่นเพราะว่าเขาไม่มีทางเลือก“นุชยังรักเดชนะคะ! แล้วนุชก็ไม่เชื่อด้วยว่าคุณจะหมดรักนุชแล้วจริงๆ” เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอาความมั่นอกมั่นใจแบบนี้มาจากไหน และก็ไม่ได้สนใจจะถามเพราะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไร“ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณมาเชื่อ คุณอยากจะเชื่อแบบไหนก็ตามใจคุณ แต่จะให้ผมกลับไปรักผู้หญิงที่ทิ้งผมไปเอาฝรั่งผมไม่ทำ!” เป็นอีกครั้งที่ธีรเดชเลือกที่จะตอบตรงๆ ยอมรับว่าเขารำคาญและอยากที่จะจบเรื่องบ้าๆ นี่ให้ไวที่สุดก่อนที่ปัญหาใหญ่จะตามมา“เดช!”“อันที่จริงผมนึกไม่ออกเลยว่าหลงรักอะไรในตัวคุณมาตั้งหลายปี! ขอบคุณนะครับที่ทิ้งกันไป เพราะมันทำให้ผมได้เจอกับผู้หญิงที่ผมรักจริงๆ เสียที!” ต่อให้ม่านไหมจะมีแค่ตัว เขาก็ยังรู้สึกรักเธออยู่ดี อดีตที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าไม่ควรมองคนแต่ภายนอก เพราะบางคนก็ไม่ได้น่ารักเหมือนกับหน้าตาเสมอไป“นังไหมน่ะเหรอคะ! มันมีดีกว่านุชตรงไหน นุชสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่าทุกด้าน!” หากเทียบกันอย่างที่เธอว่าก็คงเป็นตามน
ตกเย็น“มะ...เมื่อกี้เธอว่าไงนะ ขออีกที ชัดๆ”“ไหมว่าไหมจะยกผักบุ้งของคุณเดช แล้วไปจากที่นี่ค่ะ” ม่านไหมเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยคำพูดเดิมๆ ก่อนจะลอบมองท่าทีของอีกคนไปด้วย เธอทำทุกอย่างตามแผลการที่กิ่งกมลวางไว้ไม่ให้ขาดตอน“วันนี้ไปล้มหัวกระแทกที่ไหนมารึเปล่า!” เขาถามก่อนจะเดินตรงเข้ามาสำรวจร่างกายกันด้วยการจับเธอพลิกไปมาราวกับจะหาร่องรอยจากบาดแผล แต่ยิ่งไม่พบก็ยิ่งหงุดหงิดกับความคิดอีกฝ่าย“ไหมสติดีทุกอย่างค่ะ”“คนสติดีที่ไหนจะมีความคิดทิ้งลูกทิ้งผัว! เป็นอะไรของเธอ!”“คุณเดชไม่ดีใจเหรอคะที่จะได้อยู่กับลูกอย่างที่ต้องการ แถมยังจะไม่ต้องมีไหมเป็นตัวถ่วงในชีวิตด้วย” บทที่ท่องจำมาตลอดทั้งวันถูกเอ่ยกลับออกไป ก่อนที่ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง“ฉันเคยพูดเหรอว่าเธอเป็นตัวถ่วง!”“กะ...ก็ไม่เคย”“แล้วเธอไปเอาความคิดบ้าๆ แบบนี้มาจากไหน!” ไม่มีทางที่จู่ๆ จะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาเองได้ ต้องมีใครพูดอะไรสักอย่างแน่“ก็แล้วจะให้ไหมอยู่ในฐานะอะไรคะ” ในเมื่อเป็นเขาเองที่ไม่ให้ความชัดเจนกับเธอเลยสักอย่าง แล้วจะให้เธอเชื่อมั่นอะไรได้ความจริงแล้ว..มันไม่ใช่ความผิดของเธอด้วยซ้ำที่จะรู้ส