เลยยามจื่อแล้ว เมื่อเหยาอี้เหยากับซ่างเจวี๋ยเดินเท้าถึงจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อพบหน้าฟู่เจิ้งชิวเป็นการส่วนตัว เวลานั้นเจ้าเมืองฉู่ซีห่าวไปจัดการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเจ้าอาวาสหยูเม่ากับไต้ซือจอมปลอมอย่างฟู่เจิ่งชิวก่อขึ้น ดังนั้นจึงมีเพียงแม่ทัพจ้าวสือรอนางอยู่
“เรียนแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยมาขอพบนักโทษ” เหยาอี้เหยามอบจดหมายอนุญาตเข้าเยี่ยมนักโทษจากซื่อจื่อให้แม่ทัพจ้าวตรวจสอบความถูกต้อง "คุณหนูเหยามีจดหมายอนุญาตย่อมเข้าได้ เพียงแต่แม่ทัพซ่าง… " "ข้ารอที่นี้ได้" ซ่างเจวี๋ยพูดห้วนๆ "เช่นนั้นก็เรียบร้อย" จ้าวสือจึงให้เหยาอี้เหยาเข้าได้ “เนื่องจากนักโทษแซ่ฟู่มีความสำคัญต่อคดีมาก เลยไม่อาจให้พบหน้าได้นานนัก ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ” “เข้าเยี่ยมได้นานเท่าใดหรือ” “ไม่เกินหนึ่งเค่อ” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่ขอเวลาเพิ่ม “เชิญคุณหนูทางด้านนี้” จ้าวสือส่งที่ทางเข้า “อ่อ มีอีกเรื่องที่ต้องกำชับ ภายในมีกลไกป้องกันการบุกรุก ดังนั้นจึงไม่อยากให้คุณหนูแตะต้องสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต” “รบกวนแม่ทัพจ้าวแล้ว” เหยาอี้เหยารับคำ สายตาสังเกตรองเท้าและรอยเปื้อนของชายเสื้อคลุมทหาร ร่องรอยดินโคลนสาดกระเซ็นขนาดนี้ แสดงว่าแม่ทัพจ้าวคงพึ่งควบม้ากลับมาจากที่ไหนสักที “ในคุกค่อนข้างมืด เอาโคมไฟไปอีกดวงเถอะ” ซ่างเจวี๋ยส่งมอบโคมไฟสีนวลให้นางอย่างมีนัยยะสำคัญ ราวกับเขารู้ว่านางมีของที่ต้องซ่อน "เป็นแม่ทัพซ่างที่คิดรอบคอบ" นางรับโคมไฟมาถือไว้ ก่อนจะเดินตามทหารลงไปในคุกใต้ดิน พ้นจากสายตาของผู้อื่นแล้ว นางแอบทิ้งขวดยาเข้าไปในโคม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ขวดยาธรรมดา… "ตรงหน้าคืออะไรหรือ" นางถาม ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าเป็นจุดตรวจอาวุธ "ด้านหน้ามีจุดตรวจอาวุธ ขอคุณหนูเหยาให้ความร่วมมือ" รองแม่ทัพไม่บอกนางล่วงหน้า เพราะหากนางมีสิ่งของต้องสงสัยไว้บนตัว จะได้หาที่ซ่อนไม่ทัน "อ่อ ได้สิ" นางเดินไปรับการตรวจ สาวรับใช้หญิงตรวจนางอย่างละเอียด ทว่าไม่พบอะไรต้องสงสัย "เรียบร้อยเจ้าค่ะ" รองแม่ทัพเปิดประตู นำโซ่คล้องออกมา “เชิญคุณหนูตามสบาย สุดทางเดินตรงหน้าคือที่คุมขังของนักโทษแซ่ฟู่แล้ว” "ขอบคุณมาก" เหยาอี้เหยาเดินเข้าไปในประตู ลักษณะทิศทางหรือรอบข้างมีความคล้ายคลึงกันหมด คบเพลิงซึ่งจุดไว้ติดกำแพงส่องสว่างตลอดทางเดิน ว่ากันว่าคุกใต้ดินจวนเจ้าเมืองโจวอี้สร้างไว้สำหรับคุมขังนักโทษคนสำคัญ ดังนั้นจึงมีทหารคอยเฝ้ายามในแต่ละจุด รวมทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัย นางสังเกตด้วยตาเปล่า เห็นพวกอาวุธลับและกลไกซุกซ่อนอยู่ทุกที่ มิน่าเล่า จ้าวสือถึงบอกให้นางอย่างแตะต้องอะไรส่งเดช สองเท้าของนางเหยียบลงบนพื้นหินชื้นๆ เดินตามทางเดินผ่านจุดเฝ้ายามไปสามจุดก็ถึงที่หมาย เหยาอี้เหยาเห็นด้านข้างของฟู่เจิ้งชิวนั่งอยู่ในกองฟาง สภาพถูกลงโทษมาพอสมควร ครั้นทหารเฝ้ายามเห็นนางก็ทำความเคารพแล้วถอยไปสิบก้าว การกระทำของทหารทำให้ฟู่เจิ้งชิวรู้ตัวแล้วว่ามีคนมาหา จึงหันใบหน้ามาทางนาง แววตาปรากฏความรู้สึกยินดี “ท่านคือคุณหนูน้อยของจางลี่” ในความทรงจำของฟู่เจิ้งชิว รับรู้เพียงว่านางเป็นนายของจางลี่ "ข้าไม่ใช่แค่คุณหนูของจางลี่" เหยาอี้เหยากำมือไว้ใต้ชุดไว้ทุกข์ สีหน้าท่าทางเย็นชา แต่นางรู้ว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่มาก จึงเข้าเรื่องโดยเร็ว "โอ้ เช่นนั้นท่านเป็นใครอีกหรือ ถึงได้มาหาข้าถึงในคุก” ฟู่เจิ้งชิวเดินไปนังบนตั่งแข็งกระด้าง หยิบตอซังข้าวที่ติดมาแคะขี้ฟัน “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่รู้จักข้า” “อันใดกันคุณหนู ท่านถามเช่นนี้ หรือว่าเราจะเคยพบหน้ากันในอดีต” “ไม่จำเป็นต้องพบหน้า แต่ถ้าเจ้ารู้จักแม่ทัพหลิน ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้จักข้า” หากเขาเป็นคนของท่านตาจริง มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้จักนาง “แม่ทัพหลินรึ เจ้า เจ้าคือหลานสาวของแม่ทัพหลิน?” ดวงตาฟู่เจิ้งชิวเบิกกว้าง “ว่าแล้วว่าคุ้นหน้าเจ้านัก ที่แท้ก็เป็นคุณหนูน้อยของแม่ทัพหลิน สวรรค์มาโปรดข้าแท้ๆ ดวงวิญญาณแม่ทัพหลินส่งหลานสาวมาช่วยข้าแล้ว” “ใครว่าข้ามาช่วยเจ้า” เหยาอี้เหยาพูดสวนโดยพลัน “ข้ามาที่นี้เพื่อถามคำถามเดียว” “ไม่ตอบ เหตุใดข้าต้องตอบ ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะช่วยข้า” ฟู่เจิ้งชิวยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ยิ่งรู้ว่าเหยาอี้เหยาเป็นหลานแม่ทัพหลินชวน สมองอันแสนชาญฉลาดก็พอคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วนว่านางมาหาเขาเพราะอันใด …นางคงอยากถามเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารเมื่อเกือบสิบปีก่อน เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แม่ทัพหลิน “คุณหนู ยื่นหมูยื่นแมว คำสุภาษิตนี้เจ้าคงเข้าใจดีกระมัง” “เจ้าคิดว่าตัวเองมีทางเลือกมากนักหรือ “เหยาอี้เหยานิ่งสงบ ต่อให้ในใจจะประหม่าเพียงใดก็ไม่เผยออกไป “ข้ามีทางเลือกไม่มากก็จริง แต่คุณหนู เจ้ามีหรือ? ในเมื่อคนผู้เดียวที่สามารถเล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตได้ มีเพียงข้า…คนที่สามารถบอกความจริงกับเจ้าได้ก็มีเพียงข้า” "ข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าพูดความจริง" เหยาอี้เหยาถาม "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง การบอกความจริงกับเจ้าไม่ส่งผลกระทบอะไรในชีวิตข้าอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าช่วยข้า ข้าจะบอกความจริงเจ้าทุกอย่าง" "ได้ ข้าจะช่วยเจ้า" เหยาอี้เหยาไม่อยากช่วยสวะอย่างฟู่เจิ้งชิว แต่นางอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น "มันต้องเช่นนี้สิ ว่าแต่ท่านจะช่วยข้าอย่างไรหรือคุณหนู" ฟู่เจิ้งชิวไม่ยอมเสียเปรียบ “ข้าบอกก่อนนะ ตราบใดที่ข้ายังไม่ออกจากที่นี้ ข้าจะไม่เล่าอะไรเด็ดขาด” นางไม่กลัวคำขู่ “ข้าก็จะไม่ช่วยเจ้า ตราบใดที่ยังไม่ได้ยินอะไรที่เป็นประโยชน์” “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าข้าตายในนี้ ความลับจะตายไปพร้อมกับข้าหรือ” “เช่นนั้นเอาแบบนี้ เล่าเรื่องราวในเหตุการณ์ลอบสังหารมาครึ่งหนึ่ง แล้วข้าจะให้ยาแก้พิษนี้กับเจ้า” "ยาแก้พิษใช้ทำอะไรได้” “ช่วยไม่ให้เจ้าตาย" "ข้าไม่ได้ถูกพิษ" "อีกหน่อยคงไม่แน่" เหยาอี้เหยาสอบถามสาเหตุการตายของเจ้าอาวาสหยูเม่าก่อนมาที่นี้ พบว่าเขาตายด้วยยาพิษ จึงคิดว่าคงมีใครสักคนวางแผนปิดปากฟู่เจิ้งชิวด้วย "เขาฆ่าเจ้าอาวาสหยูแล้ว เจ้าคงเป็นรายต่อไป" ฟู่เจิ้งชิวที่รู้ดีว่าคนผู้นั้นกำลังส่งคนมาเก็นตนแน่จึงยอมถอย “ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาในมือเจ้า ไม่ใช่ยาพิษ” “เรื่องนั้นข้าคงบอกให้เจ้าเชื่อใจข้าไม่ได้ อยากตายก็แล้วแต่เจ้า” “เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่รู้ความจริง” “ความจริงอะไร” ฟู่เจิ้งชิวเลียริมฝีปาก อดพูดออกมาไม่ได้ “ความจริงที่ว่าท่านตาเจ้าถูกใส่ร้าย” “ทุกคนล้วนพูดว่าท่านตาเป็นกบฏสังหารเจ้าเมืองฉู่ แล้วเจ้าเอาอะไรมาพูดว่าท่านตาถูกใส่ร้าย มีหลักฐานอะไรให้ข้าเชื่อเจ้า” เหยาอี้เหยาเดินตามฟู่เจิ้งชิว สายตาคอยจับจ้องมองทุกความเคลื่อนไหว เมื่อเกือบสิบปีก่อนนางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทว่ากลับไม่รู้อะไรเลย รู้อีกที ท่านตาก็ถูกจับตายพร้อมข้อหากบฏ “คุณหนูเหยา ข้านี่แหละตัวตั้งตัวตีในการใส่ร้ายแม่ทัพหลิน อีกอย่างข้าพูดว่าท่านตาเจ้าถูกใส่ร้าย แต่ไม่ได้พูดว่าท่านตาเจ้าไม่ได้ฆ่าเจ้าเมืองฉู่หลิน" "เจ้าเห็นกับตาหรือว่าเป็นฝีมือท่านตา" "ไม่ใช่แค่ข้าที่เห็น แต่ซื่อจื่อก็เห็นเช่นกัน" "ข้าไม่เชื่อว่าท่านตาจะฆ่าเจ้าเมืองฉู่โดยไร้เหตุผล คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครบงการเจ้า” "คืนนั้น… " ฟู่เจิ้งชิวหยุดพูด "คืนนั้นทำไม" “เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าพูดครึ่งเดียว หากคุณหนูเหยาอยากรู้อีกครึ่ง เช่นนั้นก็ทำให้ข้าเป็นอิสระเสียสิ” “ได้” เหยาอี้เหยาตอบ แม้ในใจจะอยากเค้นคอถามต่อ ยามนั้นเวลาเข้าเยี่ยมหมดลงพอดี เหยาอี้เหยาหันมาทางฟู่เจิ้งชิว มอบยาแก้พิษให้เขาอย่างลับๆ โดยไม่ให้ทหารสังเกต พร้อมนัดหมาย “อีกสองวันเป็นวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซื่อจื่อ ข้าจะมาช่วยเจ้าวันนั้น”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”