เมืองเซียงฝาน อำเภอชีชิว
หลังถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท หย่งสวินในนามนักโทษถูกเนรเทศมาอยู่หมู่บ้านใกล้ปืนเที่ยง รับราชการในอำเภอเล็กๆ ให้ผู้คนดูแคลน ถึงยังงั้นต่อให้พบเจอความอดสูแร้นแค้นใดใด หย่งสวินพยายามดิ้นรนเอาชีวิตไปให้ได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตรอด เขาก็ยังมีโอกาสทวงคืนในสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับคืนมา ทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่อหย่งสวินที่ไร้อำนาจโดยพลันถูกคนไล่ล่า ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด หลายปีมานี้เขาเลยผูกสัมพันธ์กับหลี่หลินผู่ หรือในตอนนี้คือหลี่โหวคนใหม่ของจวนสกุลหลี่เพื่อรับความคุ้มครอง แม้การขอร้องผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่เขาเกลียดชังยิ่งก็ตาม ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างดี สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งหย่งสวินไม่อยากเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลี่โหวยอมยื่นมือช่วยเหลือเขาในยามตกทุกข์เป็นเพราะเขาให้ข้อมูลเหยาอี้เหยาได้ แน่นอนว่าหย่งสวินที่ต้องการความช่วยเหลือไม่มีทางบอกหลี่โหวเรื่องยาพิษ ทว่าในใจหย่งสวินมีคำถามหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยาอี้เหยามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร เพราะเขามียาระงับพิษให้นางแค่นั้น แต่หลายปีมานี้นางก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้ แล้วยอดฝีมือคนใดที่ยอมสละร่างกายเพื่อเลี้ยงแมลงคุณไสยให้นางกัน? หรือจะเป็นฉู่ซีเย่…เพราะนอกจากเขา คนที่พอจะมีฝีมืออยู่บ้างก็ไม่มีแล้ว เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันปรากฏ “ฉู่ซีเย่ยอมเลี้ยงแมลงคุณไสยเพื่อนางงั้นหรือ? ดูท่าเจ้าเองก็มีหัวจิตหัวใจกว่าที่ข้าคิด” รอยยิ้มบนใบหน้าหย่งสวินเปลี่ยนไปทันทีเมื่อบ่าวรับใช้หนึ่งเดียวในเรือนวิ่งมาแจ้งว่ารถม้าของหลี่โหวจากต้าหย่งมาถึงอำเภอชีชิวแล้ว อีกทั้งหลี่โหวจะพักที่อำเภอชีชิวหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือต่อไปยังเมืองโจวอี้ ควบม้าเร็วไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ "ข้าอยากรู้ว่าถ้ามีคนจะมาแย่งคนที่เจ้าฟูมฟักมานาน เจ้าจะทำอย่างไร...ฉู่ซีเย่” หย่งสวินเหยียดยิ้ม แต่เห็นแด่มิตรภาพในวันวาน เขาจึงเขียนจดหมายส่งไปเตือนฉู่ซีเย่เสียหน่อย เป็นของขวัญวันเกิดให้เขา "ให้ส่งอย่างด่วนหรือไม่ขอรับ" "ด่วน ถึงก่อนวันเกิดฉู่ซีเย่ได้ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม" ทหารเฝ้ายามภายในคุกใต้ดินแบ่งเป็นสามผลัด ผลัดกันทุกๆ สามชั่วยาม เวลานั้นถึงเวลาผลัดเวรพอดี ทหารเฝ้ายามชุดเดิมจึงออกไปแล้วแทนที่ด้วยทหารเฝ้ายามชุดใหม่ ทุกคนเข้ายืนประจำตำแหน่ง ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างดี คอยสอดส่องและตรวจตราทุกอย่างรอบคอบ เพราะหากไม่ระวังให้นักโทษคนสำคัญอย่างฟู่เจิ้งชิวหลุดออกไปได้ ต่อให้จะมีกี่หัวก็คงรับผิดชอบไม่ไหว ยามนั้นเป็นเวลาเที่ยงตรง พ่อครัวให้บ่าวรับใช้มาส่งอาหารตามปกติ ซึ่งมีตราประจำตัวของห้องครัวอย่างถูกต้อง “มาส่งอาหารให้นักโทษ” “ขอตรวจสอบสักครู่” เพราะเป็นนักโทษคนสำคัญจึงต้องตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะอาหารการกิน แต่แล้วในระหว่างที่ทหารกำลังใช้เข็มเงินตรวจ นักฆ่าที่แฝงตัวเข้ามาก็ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ชายผู้นั้นซุกซ่อนอาวุธอยู่ในเส้นผม ลักษณะคล้ายปิ่นแต่ปลายด้ามแหลมคมใช้ปาดคอและแทงทะลุหัวใจคนได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ ความเก่งกาจเชี่ยวชาญทำให้พริบตาก็สามารถสังหารทหารเฝ้ายามจนเกลี้ยงคุกใต้ดิน ก่อนที่เขาจะรีบเร่งฝีเท้าวิ่งต่อไปยังห้องขังสุดท้าย ทว่ายิ่งใกล้ แผ่นหลังอันองอาจที่เห็น ก็ทำให้ต้องหยุดเท้า ไม่ใช่ คนในกรงขังไม่ใช่ฟู่เจิ้งชิว! “จำไว้ว่าอะไรที่ง่ายเกินไป คือกับดัก” ฉู่ซีห่าวยืนอยู่ไม่ไกล ไอสังหารแผ่กระจายอย่างเข้มข้น “ข้าให้เจ้าเข้ามาได้ แต่คงให้ออกไปไม่ได้” เหยาอี้เหยากลับถึงจวนสกุลฉู่ในช่วงสาย นางกินอาหารเช้าแล้วนั่งอ่านหนังสือรอฉู่ซีเย่ทั้งวันโดยไม่กล้าออกไปไหน เนื่องจากเขาสั่งแล้วว่าให้นางอยู่รอเขากลับมา ตั้งแต่เช้าจนค่ำ นางเลยนั่งจับเจ่าเฝ้าศาลอยู่ในห้องหนังสือจนอ่านจบไปหลายม้วน ก็ไร้วี่แววว่าเขาจะกลับมา เหยาอี้เหยาจึงออกจากห้องหนังสือแล้วกลับไปที่เรือนของตนเอง เวลานั้นค่ำมากแล้ว ท้องจึงเริ่มร้อง “จิ่งเถียน ข้าอยากรับสำรับแล้ว” “ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนูเหยา วันนี้ซื่อจื่อให้คนมาเรียนว่าท่านจะกลับมารับสำรับพร้อมคุณหนู ดังนั้น…” “ดังนั้นข้าจึงต้องรอกินข้าวพร้อมเขา” จิ่งเถียนย่อตัวลง “หากคุณหนูหิว ข้าน้อยจะไปนำขนมมาให้ท่านทานรองท้องก่อน” “จวนสกุลฉู่ไม่ใช่ไม่มีขนมหวานหรือ” อาหารการกินภายในจวนสกุลฉู่ค่อนข้างเรียบง่าย เน้นจืดเน้นผัก ดังนั้นพวกขนมหวานอย่าได้เอ่ยถึง “เรียนคุณหนู นับตั้งแต่ท่านกลับมา ซื่อจื่อให้พ่อครัวทำขนมหวานติดไว้เสมอเจ้าค่ะ” “อ่อ” เหยาอี้เหยาไม่อยากเชื่อว่าฉู่ซีเย่จะมีเมตตาเพียงนี้ “คุณหนูจะรับสักหน่อยไหมเจ้าคะ” “รับ ว่าแต่มีขนมอะไรบ้างหรือ?” “ขนมดอกสน ขนมกุ้ยฮวา ขนมสอดไส้ดอกโม่ลี่เจ้าค่ะ” ขนมโปรดนางทั้งนั้นเลยนี่นา เลยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรับขนมใด “หากคุณหนูตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นรับทั้งหมดเลยดีไหมเจ้าคะ” จิ่งเถียนช่างรู้ใจยิ่ง “เช่นนั้นเอามาอย่างละสองชิ้น” เหยาอี้เหยาขอขนมไปอย่างละสองชิ้น แต่จิ่งเถียนนำมาเผื่อมากกว่านั้น คนขี้เสียดายอย่างนางเลยกินจนหมด เมื่อหนังท้องตึง ตัวขี้เกียจก็พลันสำแดงเดช อีกทั้งเมื่อคืนนอนหลับไม่ใคร่ดีนัก นางเลยเผลอหลับไประหว่างรอฉู่ซีเย่กลับมา ซึ่งไม่รู้ว่านางหลับไปนานแค่ไหน จิ่งเถียนถึงได้มาปลุกนาง “ซื่อจื่อกลับมาแล้วหรือ” เหยาอี้เหยาถาม ยกมือปัดขี้ตาออก “ยังเจ้าค่ะ แต่ท่านกุนซือกงซุนหลางให้คนมาเรียนว่าซื่อจื่ออาจกลับดึก ให้คุณหนูทานอาหารเย็นก่อนได้เลย” “เกิดอะไรขึ้น เขาถึงหายไปทั้งวันแบบนี้” เหยาอี้เหยารู้สึกหายง่วง เขากลับมาช้าขนาดนี้ ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ “เกิดเรื่องกับคนแซ่ฟู่เจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีคนร้ายบุกเข้าวางยาพิษเขา” “แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง” แม้นางจะคาดเดาไว้ ว่าต้องมีคนอยากสังหารฟู่เจิ้งชิวแน่ เลยมอบยาแก้พิษไว้เผื่อฉุกเฉิน แต่ก็อดตกใจไม่ได้ “ได้ยินว่าปลอดภัยเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาถอนหายใจโล่งอก แต่เวลาต่อมานางก็สงสัยว่าใครกันที่ลงมือวางยาพิษฟู่เจิ้งชิวได้ เพราะเท่าที่เห็น ระบบรักษาความปลอดภัยของคุกใต้ดิน น่าจะไม่ง่ายที่จะบุกรุก อีกทั้งฉู่ซีเย่ฉลาดป่านนั้น จะไม่คิดถึงการป้องกันหรือ แต่คนเราย่อมพลาดกันได้ ครั้งนี้ฉู่ซีเย่คงพลาดกระมัง ครึ่งชั่วยามให้หลังเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เหยาอี้เหยาที่นั่งรอเขาอยู่นอกเรือนจึงลุกเข้าไปหา นางตั้งใจทำตัวดีๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ในอนาคต “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว” ฉู่ซีเย่เผยนัยน์ตาพอใจเมื่อเห็นว่านางฟังคำพูดของเขา รวมทั้งยังมานั่งทนหนาวรอเขากลับมา “อืม กลับมาแล้ว” “ท่านคงหนาว เข้าข้างในก่อนนะเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาเชื้อเชิญ เปิดประตูให้เป็นการอำนวยความสะดวก “ชาเจ้าค่ะ อุ่นพอเหมาะ” นางตระเตรียมชาไว้พร้อมสรรพ ราวกับตั้งใจเอาอกเอาใจเขา ฉู่ซีเย่รับชามาจิบ ก่อนจะหมุนจอกชากลมมนเล่นในมือ สายตาจับจ้องใบหน้านางเสมอ “ทำดีกับข้าป่านนี้ อยากได้อะไรหรือ” “ไม่ได้อยากได้อะไรเจ้าค่ะ แค่มีเรื่องที่อยากสอบถาม” “เจ้าคงอยากรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิว” “ได้ยินว่าเขาโดนวางยาพิษ” ถึงจะรู้ว่าเขาปลอดภัยแล้ว แต่เหยาอี้เหยาก็อยากฟังความเห็นของฉู่ซีเย่ “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” “ยังไม่ตาย” คำตอบของฉู่ซีเย่เรียบสั้น “จับตัวคนลงมือได้หรือไม่เจ้าค่ะ” “จับได้” “ฝีมือใครกัน” ฉู่ซีเย่ทำเสียงแสนพิศวง “ถ้าเจ้ารู้จะต้องตกใจมากแน่” เหยาอี้เหยาขมวดคิ้วอย่างสงสัยใคร่รู้ “ใครหรือ?” "มาใกล้ๆ" ฉู่ซีเย่กวักมือเรียก ราวกับว่าเรื่องนี้ ไม่สามารถพูดเสียงดังได้ นางจึงเอนตัวเข้าไปใกล้ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจว่าใครวางยาพิษฟู่เจิ้งชิวกันแน่ “ข้าเอง” -จบพาร์ทแรก- สามารถติดตามอ่านทั้งเล่มได้ในอีบุ๊คค่ะฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”