ขบวนเล็กๆเดินเรื่อยมาในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ไม่นานก็ถึงหน้าบ้านเรือนหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมทางสายรอง ตัวเรือนเป็นไม้เก่าแต่สะอาดเรียบร้อย มีโคมไฟหน้าประตูให้แสงสลัว เสียงลมพัดใบไม้ไหวแผ่วเบา รอบบ้านเงียบสงบจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดดังเป็นจังหวะเสี่ยวหนี่หยุดยืนมองเรือนหลังนั้น พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย“ที่นี่…บ้านใครหรือ” เสี่ยวหนี่หันไปถามอย่างสงสัย ดวงตาเปล่งประกายด้วยความอยากรู้ หยางลี่หันมา รอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้า แม้ยังคลุมหน้าอยู่ แต่แววตาก็ทอแสงขำเล็กน้อย“บ้านข้าน่ะสิ” เขาตอบอย่างสบายๆ“ข้าไม่ค่อยได้อยู่บ้านนักหรอก แต่นี่ก็เป็นเรือนที่ข้าสั่งให้คนมาคอยดูแล ปัดกวาดเป็นระยะ อย่างน้อยก็พออยู่ได้ไม่ขี้เหร่ไปนัก”เขากล่าวพร้อมเดินเข้าไปใกล้ประตู เอื้อมเปิดออกอย่างคุ้นมือ(เอ๊ะ) กลิ่นไม้หอมจางๆลอยออกมาต้อนรับ“แล้วที่สำคัญ…” เขาหันกลับมามองเสี่ยวหนี่ แววตาวาววิบวับเหมือนเด็กจะอวดของเล่น“ข้าก็ให้คนเตรียมของไว้หมดแล้ว ตามที่เจ้าเคยบอกไว้ทุกอย่าง ทั้งแป้ง เม็ดมัน ถั่วแดง น้ำตาลทรายแดง ชา นม…มีครบแน่นอน อ่อมีน้ำแข็งด้วยถึงจะยากหน่อยก็เถอะ”เสี่ยวหนี่เบิกตากว้างทันที หันไปมองเสี่ยวอี้ด้
จี้เหวินในชุดนอนผ้าฝ้ายแขนยาว กอดอกยืนอยู่กลางห้อง ใบหน้าของนางแม้ยังอยู่ในแสงสลัวก็ยังฉายชัดถึงความไม่พอใจ สายตาดุจงใจไม่ปิดบัง สองคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคนที่รู้ทันทุกสิ่ง ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่ดูน่าเกรงขามในยามนี้ราวกับแม่ทัพหญิง"พวกเจ้าจะไปไหนกัน... ดึกดื่นขนาดนี้" เสียงเคร่งถามอย่างเยือกเย็นดังขึ้นเสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้หันมองหน้ากันตาโตทันที ใจเต้นระรัวราวกับถูกจับได้ขณะขโมยขนมในห้องครัว ยืนแข็งทื่อเหมือนเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วยังไม่ทันเตรียมคำแก้ตัวสีหน้าเสี่ยวหนี่เปลี่ยนจากมั่นใจเป็นเหวอจัด มือยังค้างอยู่ตรงประตู ส่วนเสี่ยวอี้ก็กลืนน้ำลายตามเสี่ยวหนี่กะพริบตาปริบๆ แต่พอเห็นท่าทางไม่ยอมของจี้เหวิน ก็รีบพูดสวนขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงร่าเริงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง“ข้าจะไปไหนได้ล่ะ ก็แค่ออกไปเดินเล่นน่ะสิ พวกข้านอนไม่หลับอีกแล้ว จะให้นอนกลิ้งอยู่เฉยๆ ทำไม ออกไปสูดอากาศใกล้ๆ นี่สักหน่อยก็คงดีขึ้น”เสี่ยวอี้ที่ยืนข้างๆ รีบพยักหน้ารับเร็วจี๋ เสริมแรงให้คำโกหกของเสี่ยวหนี่ดูน่าเชื่อขึ้นอีกนิด แม้จะมีเหงื่อผุดขึ้นที่ขมับอยู่หน่อยๆ ก็ตามแต่จี้เหวินขมวดคิ้วแน่น สีหน้าฉายชัดถึงความไม่เชื่
ห้องทำงานอันเงียบสงบที่มีเพียงเสียงพู่กันลากผ่านกระดาษ และเสียงพลิกฎีกาดังกรอบแกรบ ต้องแปรเปลี่ยนไปเมื่ออวี่หรงเริ่มเล่าเรื่องอย่างออกรส"ข้าได้ไปที่โรงเตี๊ยวอวี้ฮวาถังเมื่อสองวันก่อนตอนช่วงค่ำ ระหว่างกำลังจะเดินไปที่ห้องก็เห็นเสี่ยวหนี่..."เสียงของอวี่หรงทำให้หยางลี่ชะงักเล็กน้อย มือที่กำลังหยิบฎีกาแทบจะหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตาคมใต้คิ้วดกขยับเล็กน้อย เขาเผลอเปล่งเสียงในลำคอเบาๆ ว่า “หืม” กลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายอวี่หรงเห็นปฏิกิริยานั้นของพี่ชายก็ยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะเล่าต่ออย่างไม่เร่งรีบ คล้ายตั้งใจจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของหยางลี่"อะแฮ่ม ข้าเห็นนางในห้องเครื่องที่ชื่อหนี่ฮวา ไม่สิเสี่ยวหนี่....คล้ายคนผู้หนึ่งที่นั่น ตอนนั้นข้าเห็นว่ามีคนสะดุดตาข้า เป็นสาวงามคนหนึ่งที่คลุมผ้าปิดมิดชิด กำลังเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน แต่นางตัวเล็กนิดเดียว แต่ผ้าคลุมก็ใหญ่กว่าตัวเองมากตอนแรกก็แค่คิดว่าตัวเตี้ยดีเพราะผ้าคลุมซ่อนรูปหมด"หยางลี่ที่เหมือนพยายามควบคุมสีหน้าอยู่ทั้งคำเรื่องหาที่สนิทสนมทั้งการบรรยายรูปร่าง พูดแทรกขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบปรายมามองอวี่หรงอย่างไม่เชื
และไทเฮาฟู่ฉี...ก็คือขุนเขาที่ยากจะล่วงล้ำ นางมิใช่เพียงสตรีที่เป็นแม่ของสามี แต่คือต้นแบบแห่งภรรยา ขุนนาง และผู้นำหลังม่านบัลลังก์ ผู้คนกล่าวขวัญกันเสมอว่ายุคทองของแคว้นนี้มิได้มาเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงลำพัง แต่คือผลแห่งการสนับสนุนของไทเฮาฟู่ฉีด้วยชวีหยาคิดอย่างหนักใจ คำพูดของไทเฮามีน้ำหนักมาก ไทเฮาฟู่ฉีไม่ใช่ไทเฮาที่ธรรมดา นางอยู่คู่ช่วยเหลือสามีตั้งแต่เด็กจนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เรื่องในวังจัดการได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงมากด้วยความสามารถและดูแลบ้านเมืองได้ดียิ่งจนเป็นยุคทองอย่างแท้จริง แต่ผู้คนรับรู้กันทั่วว่าฮ่องเต้องค์ก่อนล้วนแบ่งปันคำสรรเสริญมาถึงไทเฮาฟู่ฉีอยู่เสมอว่า เวลาใครกล่าวชมเรื่องการดูแลบ้านเมือง ฮ่องเต้องค์ก่อนมักจะพูดว่าต้องขอบคุณไทเฮาฟู่ฉีด้วยที่ค่อยสนับสนุนช่วยเหลือมาเสมอ คำพูดพวกนี้ย่อมมากกว่าแค่คำว่าสนับสนุนดูแลสามี แต่คือสนับสนุนดูแลบ้านเมือง และอำนาจของนางยังคงอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนชวีหยาไม่กล้างัดข้อ ไม่กล้าแม้จะเงยหน้ามอง นางก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง น้ำเสียงนอบน้อม“หม่อมฉันจะระวังตนให้มากขึ้นเพคะ และจะไม่วุ่นวายกับเรื่องของ
ณ ศาลาเย็นริมสระบัวภายในตำหนักไทเฮา กลิ่นหอมอ่อนของชาอวี้เซวียนลอยอ้อยอิ่งในสายลมยามสาย เสียงน้ำไหลเบาๆ ผสานกับเสียงนกในสวน ทำให้บรรยากาศดูสงบและงดงามเหนือกาลเวลากุ้ยเฟยชวีหยาเดินเข้ามาในศาลาอย่างสง่างาม แม้จะแต่งกายเรียบง่ายกว่าปกติ แต่ท่วงท่ายังคงสูงศักดิ์ ย่อกายถวายพระพรไทเฮาฟู่ฉีอย่างนอบน้อม“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”ไทเฮาฟู่ในอาภรณ์ไหมสีงาช้าง นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าชุดน้ำชา ท่วงท่าภูมิฐานสมเป็นอดีตพระมเหสีแห่งฮ่องเต้องค์ก่อน แววตาเยือกเย็นนั้นมองสบมายังชวีหยาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้นั่งลง“นั่งลงเถอะ”ชวีหยาทำตามโดยไม่อิดออด แม้ในใจจะระวังตัวมากกว่าทุกครั้ง ยิ้มบางๆ พลางประคองถ้วยชาอย่างนอบน้อม“ไทเฮาเรียกหาหม่อมฉัน ซวีหยายินดีรับใช้อย่างยิ่งเพคะ”ไทเฮาฟู่ฉีไม่ตอบในทันที นางเพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ เสียงราบเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ“ช่วงนี้วังหลังดูสงบเงียบดี เจ้าเองก็ดูจัดการเรื่องภายในได้ดี… จนข้าวางใจ”“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ หากมีสิ่งใดบกพร่อง หม่อมฉันพร้อมรับคำตำหนิทุกประการ แต่หากเป็นคำชม ก็ต้องแบ่งปันให้กับเหล่าสนมน้อยใ
เมื่อเก็บจานล้างครัวจนเสร็จ พวกสาวๆ ที่เหลือก็พากันรีบแยกย้าย ราวกับไม่อยากอยู่ใกล้เสี่ยวหนี่ตอนระเบิดลง เหลือเพียงเสี่ยวหนี่ เสี่ยวอี้ และจี้เหวินที่ยังอยู่ในห้อง“คุณหนู...” เสี่ยวอี้หันมามองเสี่ยวหนี่ สีหน้าลังเล เสี่ยวหนี่ฝืนยิ้ม ก่อนจะตบไหล่เสี่ยวอี้เบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความเศร้า “เจ้าน่ะกลับไปกับจี้เหวินเถอะ เสี่ยวอี้ เจ้าอยู่ด้วยข้า...ข้าตอแหลไม่ออกจริงๆ แล้วถ้าความแตก อย่างน้อยยังเหลือเจ้าช่วยจี้เหวินทำอาหารอยู่ ไม่ถึงกับเผาถ่านเสิร์ฟแน่ๆ หรอก...แค่ฝีมือตกหน่อยเท่านั้นเอง”นางหยุดนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อเหมือนกำลังพูดลอยๆ กับโชคชะตา“ถึงตอนนั้น...โดนไล่ออกก็กลับบ้านกันก็ได้ ว่าไหม...”“มันเลวร้ายเพียงนั้นเชียวหรือ” จี้เหวินถามเสี่ยวหนี่กำลังทำหน้าเครียด พลางพยายามจะทำซึ้งเรียกน้ำตาสักหน่อยให้ดูดราม่าหนีความผิด แต่ยังไม่ทันมีน้ำตาหยดแรก เสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“จะกลับไปไหนกันหรือ”เสี่ยวหนี่ตลึงงันในท่าเดิม ลมหายใจติดคอ อวี่หรง...องค์ชายรองที่นางคิดว่าน่าจะรออยู่ด้านนอกกลับเข้ามายืนอยู่ข้างหลังแบบไร้สุ้มไร้เสียง ราวกับภูตผีปีศาจกลางคืนที่โผล่มาเล่น