อาจูหันมามองหน้าพระสนมเล็กน้องเมื่อนางเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ด้วยความนึกสงสัยเพราะอาจูเองก็อยู่ด้านนอก ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
“พระสนม…แม่นางเซียงผู้นั้นกับท่านอ๋องออกศึกด้วยกันตั้งแต่ท่านอ๋องยังเป็นแม่ทัพอยู่เพคะ จะว่าไปแม่นางหลานเองก็เช่นกัน นางรู้สึกชอบท่านอ๋องไม่ต่างกับพี่สาวนาง….!!…”
“พี่สาว??”
หลินเย่หันไปมองหน้าอาจูที่หลุดพูดออกมาเอง นางไม่ถามตรงๆ แต่นางเริ่มรู้วิธีที่จะคุยกับอาจูแล้ว
“เฮ้อ เช่นนี้ท่านอ๋องของพวกเจ้าคงปวดหัวหน่อย ในเมื่อพี่น้องต่างรักผู้ชายคนเดียวกัน เรื่องนี้คงน่าปวดหัวอีกนาน ขอเพียงไม่วุ่นวายมาถึงข้าก็พอ”
“พระสนมจะพูดเช่นนั้นหาได้ไม่นะเพคะ พระสนมหลานคนพี่สิ้นไปแล้ว พระองค์ก็ทรงทราบมิใช่หรือเพคะ ก่อนที่พระองค์จะมาที่นี่”
หลินเย่มองหน้าอาจูและทำเป็นว่ารู้เรื่องนี้ดี นางเริ่มคิดอย่างรวดเร็ว คุ้นๆว่ามีเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน พี่สาวนางตายเพราะถูกอ๋องชั่วกับองค์หญิงจินสืออิงโยนความผิดที่ฆ่าพระสนมอีกคน แต่นางจำไม่ได้ว่าพระสนมผู้นั้นคือใคร ที่แท้ก็เป็นสนมหลานพี่สาวของหลานมู่เอ๋อร์นี่เอง
“แต่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องของพวกเจ้าเป็นคนโยนความผิดให้ผู้อื่นรับผิดชอบไปแล้วนี่”
“ท่านอ๋องของพวกหม่อมฉันงั้นหรือเพคะ พระสนมเข้าใจผิดแล้ว พระสนมคงหมายถึงอ๋องคนเก่า หยวนซื่ออ๋องสินะเพคะที่ร่วมกับพระสนมจินใส่ร้ายแม่นางที่มาจากชุนฮัวจนนางถูกตัดหัว แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องเฟิ่งนะเพคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!! อ๋อง…ไม่ใช่ หมายถึง นี่เจ้ากำลังพูดว่า ท่านอ๋องมีสองคนงั้นหรือ”
“พระสนม พระองค์ไม่ทราบเรื่องนี้หรือเพคะ”
“อาจู เจ้าช่วยเล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่”
“หากพระองค์ไม่ทราบก็อาจจะไม่แปลกนะเพคะ เพราะเรื่องที่ท่านอ๋องเฟิ่งจื่อหลิงยึดอำนาจการปกครองเป็นเรื่องภายในที่ทำอย่างรวดเร็วออกคำสั่งโดยฮ่องเต้โดยตรง ตอนนั้นท่านอ๋องเฟิ่งยังเป็นแม่ทัพเฟิ่งประจำอยู่ชายแดนทางเหนืออยู่เลยเพคะ”
“หยวนซื่ออ๋อง….กับอ๋องเฟิ่งจื่อหลิงงั้นหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“พระสนมเพคะ ท่านอ๋องเฟิ่งพึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ก่อนพระสนมจะเดินทางมาถึงฉีโจวเพียงห้าวันเท่านั้นเองเพคะ”
“เช่นนั้น นี่คือเรื่องที่แม่นางหลานพูดเมื่อครู่ ท่านอ๋องเฟิ่งไม่เหมือนหยวนซื่ออ๋องนางพูดถึงท่านอ๋องคนก่อน”
“เพคะ แม่นางหลานถิงอันเป็นคนรักของท่านอ๋องเฟิ่งมาก่อนเพคะ”
“คนรักงั้นหรือ แต่ว่าแม่นางหลานเมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่านางเป็นน้องสาวของสนมหลาน แล้วนางรักบุรุษคนเดียวกับพี่สาว…”
“เรื่องนี้…หลังจากพระสนมหลานเข้าวังมาโดยที่ท่านอ๋องเฟิ่งไม่ทราบ นางถูกบังคับเพคะ สุดท้ายก็ถูก…เอ่อ…”
“เจ้าพูดมาเถอะ เจ้าพูดมาขนาดนี้แล้วข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก”
“พระสนมจินกับหยวนซื่อวางแผนวางยาสนมหลานให้นางยินยอมถวายตัวกับหยวนซื่ออ๋องสุดท้ายหยวนซื่อก็ขืนใจพระสนมหลานได้สำเร็จเพคะ หลังจากนั้นพระสนมจินเกิดความระแวงกลัวว่าจะถูกแย่งความรักไป จึงวางแผนฆ่าพระสนมหลานจนเป็นเหตุให้หาแพะรับบาป หยวนซื่ออ๋องกลัวว่าจะมีเรื่องกับชุนฮัวจึึงสั่งประหารสตรีที่ปรึกษาของพระสนมจินแทนเพคะ”
หลินเย่ทั้งอึ้งและตกใจกับเหตุการณ์ที่นางได้ฟัง ในตอนนี้นางเริ่มสับสน นางไม่รู้มาก่อนว่าคนที่นางแต่งงานและพยายามจะฆ่าเขานั้นเป็นคนละคนกับที่ฆ่าพี่สาวนาง
หากวันนี้นางไม่ไปพบเขานางก็คงจะไม่ทราบความจริง แล้วเขาเองก็คิดว่านางเป็นองค์หญิง เป็นน้องสาวของคนที่ฆ่าคนรักของเขา ทั้งคู่เลยเกลียดกันตั้งแต่แรกพบจนถึงตอนนี้
“เช่นนั้น….หยวนซื่ออ๋องผู้นั้น....”
“ถูกประหารเสียบประจานไปเมื่อสองเดือนก่อนเพคะ ชาวบ้านต่างพากันนำหินและสิ่งของขว้างปาเขาตั้งแต่ถูกนำตัวออกจากคุกไปยังลานประหาร แม้กระทั่งศีรษะของเขาที่เสียบอยู่ก็ไม่ละเว้น ถูกชาวบ้านขว้างปาสิ่งของใส่จนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใดเลยเพคะ”
“เรื่องนี้ เหตุใดไม่มีผู้ใดบอกข้าเลย”
“นั่นเพราะ…เรื่องทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นตอนที่พระองค์เดินทางมาที่นี่ ข่าวน่าจะยังไม่ถูกส่งไปที่ชุนฮัวของพระองค์เพคะ พระสนม ที่พระองค์บาดเจ็บคงเพราะท่านอ๋องโกรธแค้นท่านแทนพระสนมหลาน เรื่องนี้…”
“ข้าเข้าใจแล้วอาจู เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ เรื่องนี้ข้าจะไม่บอกใคร”
“อาจูจะดูแลท่านอย่างดีเพคะ พระสนมอย่าได้ทรงกังวลพระทัยไปเลยนะเพคะ ท่านอ๋องแต่เดิมเป็นแม่ทัพหนุ่มที่เก่งกาจรักราษฎรและทำเพื่อบ้านเมือง ชาวฉีโจวต่างยกย่องพระองค์เป็นวีรบุรุษที่กอบกู้ฉีโจวคืนจากหยวนซื่อ”
“เขาคงรักพระสนมหลานผู้นั้นมากสินะ ถึงได้รอแก้แค้นข้าถึงขนาดนี้”
“พระสนมเพคะ ท่านอ๋องมิได้ละเลยพระองค์นะเพคะ เพียงแต่….พระสนมหลานถูกพาเข้าวังลับหลังตอนที่ท่านอ๋องเฟิ่งออกศึก ตอนกลับมาก็พบว่านางตายแล้ว เขาจึงได้แค้นใจที่ไม่สามารถช่วยอะไรพระสนมหลานได้เพคะ นี่คือเรื่องที่ท่านอ๋องรู้สึกผิดกับสกุลหลานมากที่สุด ดังนั้น…แม่นางหลานมู่เอ๋อร์จึงได้…..”
“เช่นนั้นเขาก็ควรรับนางมาเป็นพระสนมแทนพี่สาวของนางเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดนี้สิ เหตุใดยังไม่ยอมปล่อยข้าไปอีก”
“พระสนม….แต่ว่าท่านอภิเษกเข้ามาอย่างถูกต้องตามประเพณีนะเพคะ”
“นั่น…”
นางจะพูดได้อย่างไรว่านางมิใช่องค์หญิงจินลั่วเฟย นางเป็นเพียงบุตรสาวท่านแม่ทัพของชุนฮัวเท่านั้น เรื่องนี้นางพลาดไปแล้ว พลาดทั้งที่คิดว่าสืบมาจนรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นอ๋องชั่ว
แต่เมื่อมาถึงกลับนึกไม่ถึงว่าอ๋องชั่วผู้นั้นถูกท่านอ๋องอีกคนกำจัดไปก่อนหน้าที่นางจะมาถึงเพียงห้าวัน แล้วเขายังคิดว่านางเป็นน้องสาวของคนที่ฆ่าคนรักของเขาอีกด้วย
“อาจู ข้าอยากจะพักผ่อนเสียหน่อยเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“เพคะพระสนม”
นางเริ่มนึกถึงเรื่องตั้งแต่วันส่งตัวเข้าหอ หากวันนั้นนางรู้ก่อนว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คงจะบอกเขาไปตรงๆและขอให้ปล่อยตัวนางไป
พวกเขาทั้งคู่ไม่ควรจมอยู่กับเรื่องแก้แค้นจนลืมสืบให้แน่ใจก่อนว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนร้าย แต่ตอนนี้นางในสายตาเขาคือศัตรูที่มีพี่สาวเป็นผู้ฆ่าคนรักของเขา
“เช่นนั้นหากเขาจะฆ่าข้าก็ไม่ผิด แต่คนที่ข้าตั้งใจจะมาฆ่ากลับถูกเขาฆ่าไปแล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า”
นางควรจะยอมรับไปตรงๆว่านางไม่ใช่องค์หญิงแล้วให้เขาส่งตัวกลับไป หรือยังต้องแสดงเป็นองค์หญิงก่อนและค่อยหาทางกลับไปหาพี่ชายที่ชายแดนชุนฮัวดี
“เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทางหนีออกจากตำหนักนี้ให้ได้ก่อน ใช่แล้ว ต้องหนี”
หลินเย่เผลอคิิดมากไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไปที่เตียงของนาง โดยไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาในห้อง เขายืนมองหน้านางยามหลับที่ดูไร้พิษสงตรงหน้า เมื่อครู่เขายังจูบกับนางในห้องทรงงานอยู่ สัมผัสนั้นทำให้เขาไม่อาจลืม กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาหยุดตรงหน้าตำหนักของนางแล้ว
“หยางหลินเย่ ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”
งานอภิเษกองค์หญิงจินลั่วเฟยงานอภิเษกยิ่งใหญ่ดังคำประกาศที่ฝ่าบาทได้แจ้งเอาไว้จริงๆ บัดนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงของชุนฮัวต่างพากันตกแต่งซุ้มดอกไม้และประดับธงมงคลทั่วทุกบ้าน และทางวังหลวงยังจัดให้มีขบวนรถม้าเพื่อแห่ขบวนคู่บ่าวสาวของราชวงศ์ตามธรรมเนียมของชุนฮัวด้วยเช่นกันบ่าวสาวในชุดสีขาวบริสุทธ์ปักด้วยเพชรและทองทั้งตัวจากช่างฝีมือดีของในวังที่เพียรตัดชุดนี้ขึ้นมาอย่างประณีต องค์ชายฟงเจ้าหนานจับมือองค์หญิงจินลั่วเฟยขึ้นรถม้าที่ประดับด้วยดอกไม้พร้อมกับรับตะกร้ามาจากสาวใช้ ในนั้นบรรจุแผ่นทองเต็มสองตะกร้า เพื่อให้ทั้งคู่โปรยแจกราษฎรในเมืองหลวงระหว่างที่ขบวนแห่เริ่มออกจากวังหลวง“ข้าน่าจะมาแต่งที่ชุนฮัวบ้างนะ พิธีการของที่นี่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”“พระองค์อยากแต่งที่ชุนฮัวหรืออยากได้พระสนมที่ชุนฮัวเพิ่มเพคะ”“เปล่านะๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าอย่าเข้าใจข้าผิด เจ้าดูสิ พวกเขานั่งรถม้าโบกมือให้ประชาชนที่มารอร่วมยินดีกับพวกเขาทั้งสองข้างทาง ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ในฉีโจวเราไม่มีพิธีแบบนี้เกิดขึ้นเลยสักครั้ง”“ชุนฮัวเป็นเช่นนี้มานานแล้วเพคะ เพียงแต่ว่านานๆถึงจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เหล
แคว้นชุนฮัว“หลินเย่ ถึงแล้ว”“จื่อหลิง เหตุใดจึงหนาวเช่นนี้เพคะ”“ตอนนี้ชุนฮัวคงเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว มาเถอะ ข้าจะสวมเสื้อคลุมกับถุงมือให้”“ขอบพระทัยเพคะ”“หลินเย่ พี่เฟิ่งพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง”“อ้อ เจ้าหนานหลินเย่คงไม่ค่อยชินเท่าไหร่น่ะ เห็นบ่นว่าหนาวลั่วเฟยล่ะ”“พานางไปดื่มชาร้อนด้านในก่อนเถอะ ลั่วเฟยบอกให้กข้ามารับพวกท่านเข้าไปด้านในก่อน อีกห้าสิบลี้กว่าจะถึงชุนฮัว ต้องพักที่นี่ก่อน”“ได้สิ อีกเดี๋ยวข้าจะตามเข้าไป แล้วเนี่ยฝานกับลั่วเจินเล่า”“พวกเขาเข้าไปแล้วขอรับ”“ได้ เช่นนั้นข้าจะรีบพาหลินเย่ตามเข้าไป”“ได้ขอรับ”“หลินเย่ ไหวหรือไม่”“จื่อหลิง หนาวจังเลยเพคะ หม่อมฉันไม่อยากออกไปเลย”“มาเถอะ ข้าพยุงเจ้าไปเองนะ ลั่วเฟยให้เจ้าหนานมาตามเราเข้าไปด้านใน อยู่ตรงนี้จะหนาวนะ ไปเถอะหลินเย่ค่อยๆเดินออกมาด้านนอกรถม้าที่จอดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมก่อนถึงแคว้นชุนฮัว นางเดินลงจากรถม้าและรีบโผเข้ากอดเฟิ่งอ๋องทันทีเพราะความหนาวเย็นเขาพยุงนางและพาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่คนที่เหลือนั่งดื่มชารออยู่ ลั่วเฟยเมื่อเห็นหลินเย่เดินเข้ามาจึงรีบนำเตาอุ่นมือวิ่งเอาไปให้นาง“หลินเย่ นี่เตาอุ่นมื่อ เจ้าอุ้มเอ
“พี่หญิงข้าจะรีบไปรีบกลับนะเจ้าคะ ท่านอยู่ที่นี่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถอะเจ้าไม่ต้องห่วงข้ากับท่านพ่อนะ เที่ยวให้สนุก”“แม่ชีหลาน ไว้พบกันวันขึ้นเขานะ”“ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าสหายที่ตะโกนบอกกับหลานผิงอันอยู่ข้างรถม้าของเขา เฟิ่งจื่อหลิงรู้สึกว่าท่าทีของสหายข้างๆแปลกไป หลายวันมานี้เขาขอตัวไปเฝ้าและรับอาสาส่งยาของท่านหมอไปที่จวนสกุลหลานนอกเมืองและมักจะหายไปหลายชั่วยามในแต่ละวัน“เจ้าจะรอจนนางกลับไปบำเพ็ญเพียรก่อนจึงจะยอมบอกความรู้สึกหรืออย่างไร”“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงตรัสอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่....”“อย่ามาใช้คำพวกนี้กับข้า เป็นสหายกับเจ้ามาหลายปี มาตอนนี้จะมาเรียกข้าเช่นนี้ บอกข้ามาเจ้ากำลังตกหลุมรักเข้าแล้วสินะ”“จื่อหลิงเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าน่ะ...”“พี่ใหญ่ ท่านพี่ พวกท่านคุยอะไรกันอยู่เพคะ”“อ้อ...หลินเย่ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าด้วย คือว่า..”“ก็ได้ๆ เฟิ่งจื่อหลิงเจ้าคนเจ้าเล่ห์ ข้ายอมรับ เจ้าอย่าพึ่งบอกหลินเย่นะ นางหวงหลานผิงอันยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก”“เรื่องนี้น้องรองของเจ้าก็รู้สินะ”“ใช่ นางรู้”“แล้วเหตุใดให้หลินเย่รู้ไม่ได้เล่า”“น้องสามไม่เหมื
“หม่อมฉันเองก็มีความสุขมากเพคะ ที่พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ เสียดายที่ท่านพ่อหลานมาไม่ได้”“ใต้เท้าหลานคงต้องรักษาตัวอีกสักพัก เขาตามไปอยู่ที่วัดกับแม่ชีหลานอาจจะทำให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมาก็เป็นได้”“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเพคะ”พวกเขาเข้ามาร่วมวงสนทนาเป็นวงใหญ่เมื่อท่านอ๋องและพระชายามาร่วมด้วยทำให้กลุ่มของพวกเขาเสียงดังกว่าผู้ใดในงานเลี้ยงจนเป็นที่จับตามอง“องค์ชาย หากว่าท่านกลัวว่าฝ่าบาททของชุนฮัวไม่ยกองค์หญิงให้ เช่นนั้นข้าจะเป็นตัวแทนฝ่ายเจ้าบ่าวไปสู่ขอให้ท่านดีหรือไม่”“ท่านอ๋อง พระองค์ตรัสจริงหรือไม่เรื่องนี้กล่าวเล่นๆไม่ได้นะเพราะข้าจริงจังมาก”“ข้าไม่ได้กล่าวเล่นๆ ในเมื่อช่วยให้พวกท่านสมหวังได้เหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้กันเล่า ถือโอกาสพาหลินเย่กลับไปเยี่ยมบ้านด้วย ใช่หรือไม่เนี่ยฝาน”“ดี ยอดเยี่ยม ขบวนรถม้าครั้งนี้คงราวกับคาราวานขนส่งสินค้าข้ามแดนเลยกระมังดูจากผู้ที่ร่วมเดินทางแล้วมีมากเหลือเกิน”“เป็นหน้าที่ท่านกับหลงอี้แล้วล่ะที่ต้องดูแลพวกเราตอนเดินทาง ว่าอย่างไรองค์ชายฟงเจ้ายังกลัวอยู่หรือไม่”“หากว่าท่านอ๋องเอ่ยปากขนาดนี้ มีทุกคนช่วยพูด ข้าเชื่อว่างานนี้ฝ่าบาททไม่ยอมก็ต้
งานแต่งตั้งพระชายาท่านอ๋องชุดสีแดงสลับขาวปักเลื่อมลายนกยูสีทองบนฉลองพระองค์พร้อมกับเครื่องประดับสีทองถูกสวมลงบนเรือนร่างของพระสนมหยางหลินเย่ เมื่อเกี้ยวจอดอยู่หน้าตำหนักเพื่อมารับพระสนมไปที่ท้องพระโรงเพื่อทำพิธีแต่งตั้งพระชายา “เมื่อขึ้นเกี้ยวนี้ไปกลับเข้ามาอีกครั้งต้องเป็นพระชายาแล้วนะหลินเย่ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าภารกิจหลังจากนี้เจ้ากับท่านอ๋องต้องร่วมใจกันทำเพื่อชาวฉีโจว”“เจ้าค่ะพี่รอง พี่ใหญ่เล่าเพคะ”“พวกเขาไปรออยู่ที่ท้องพระโรงแล้ว เหลือข้ากับผิงอันรอส่งเจ้าที่ตำหนัก”“พี่หญิง”“น้องพี่…วันนี้เจ้างดงามมากจริงๆ ใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดีเชื่อใจและมั่นใจในกันและกัน เจ้ากับท่านอ๋องคือคู่ที่สวรรค์ลิขิต ไปได้แล้วข้ากับลั่วเจินจะไปรอเจ้าที่ท้องพระโรง”“เจ้าค่ะ”หยางหลินเย่เดินขึ้นเกี้ยวอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นพระราชพิธีเพื่อแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระชายา ชุดแดงขาวปักนกยูงสีทองยางลากพื้นเมื่อนางเดินถือหนังสือแต่งตั้งสีทองเดินขึ้นยังท้องพระโรงด้านในนั้นมีเฟิ่งอ๋องที่สวมชุดสีเดียวกันกับนางนั่งที่ประทับรออยู่แล้วเพื่อสวมรัดเกล้าพระชายาให้กับพระชายา เมื่อเดินไปยังหน้าพระที่นั่งที่รายล้อมไปด้วยเหล่าข
หลินเย่กลับมาที่ห้องบรรทมอีกครั้งในตอนค่ำเพื่อเสวยมื้อค่ำกับท่านอ๋อง ซึ่งตอนนี้ทำท่านั่งโกรธอยู่ที่โต๊ะเสวยพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่เขาเคยทำเมื่อเริ่มโกรธ“ท่านอ๋องเพคะ เนื้อไก่นี่อร่อยนะเพคะ พระองค์ลองชิมดูเพคะ”เขาทำเพียงแค่มองและขยับเนื้อไก่นั้นเอาวางไว้ริมชาม คนที่ตักให้ถึงกับขำกับท่าทางของคนตัวโตตรงหน้าที่งอนราวกับเด็กๆพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจนาง“ท่านอ๋อง…..”“จื่อหลิง….”หลินเย่งัดไม้ตายสุดท้ายมาเมื่อนางขยับตัวเข้ามาใกล้เขาและจงใจใช้อกอวบแน่นนั้นบดเบียดแขนของเขาอย่างจงใจจนคนที่ถูกยั่วนั้นใบหูเริ่มแดงขึ้น“ท่านพี่….ไม่สนใจหม่อมฉันจริงหรือเพคะ”คำว่า “ท่านพี่” ของนางเกือบทำให้เขาใจอ่อน แม้ว่าจะรีบยกชามข้าวขึ้นมาบดบังรอยยิ้มนั้นเกือบไม่ทันแต่ไม่นานเขาก็กลับมาตีหน้าเฉยชาอีกครั้ง“ข้าจะกินข้าว”“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์อยากจะกิน….อย่างอื่นเสียอีก…เฮ้อ เช่นนั้นก็เชิญพระองค์เสวยไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อน”“จะ…เจ้าไม่กินหรือ…”เสียงที่เริ่มสะอึกเพราะคำว่า “อาบน้ำ” ที่นางบอกทำให้คนฟังคิดไปไกลจนเตลิดแต่ยังไม่เท่ากับสิ่งที่นางกำลังจะทำ“ใช่เพคะ วันนี้ร้อนอบอ้าว