“เจ้าคิดดีแล้วใช่รึไม่ แน่ใจงั้นรึจะไม่เรียกร้องสิ่งใดในภายหลัง เช่นนั้นเกรงว่าโอกาสนั้นข้าคงมิอาจให้ได้แล้วกระมัง” เจิ้งหนานยังคงเอ่ยหยั่งเชิงนางอีกครา ก่อนดวงตาที่มาดมั่นของนางจะทำให้เขาเป็นฝ่ายใจไหวยวบ“เพคะ” ฟางเฟยเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว นางย่อมตัดสินใจมาแล้วเป็นอย่างดีต่อไปนี้หลังจากขจัดภัยให้กับหอบุปผชาติของตน อีกทั้งปลดเปลื้องพันธะจากจวนหนานอ๋อง นางจะได้เดินหน้าเร่งจัดการเรื่องของบิดาโดยมิต้องกังวลสิ่งใดเสียที และช่างเป็นสวรรค์เมตตากระมังที่ทำให้นักสืบสำนักเฉียนหลัวที่นางจ้างรายงานความคืบหน้าของเรื่องที่สืบแก่นาง“เฮ้อ...เช่นนั้นจวนนี้เจ้าก็อยู่ต่อเถิด ข้าสัญญาต่อจากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอีกที่ผ่านมาเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า เช่นนั้นก็อยู่เสียที่นี่ถือว่าข้าชดเชยให้แก่เจ้าก็แล้วกัน อีกอย่างเอ่อ...เจ้าก็คิดเสียว่าพวกเราเป็น...เอ่อ...เป็นดั่งพี่น้องหรือสหายย่อมได้กระมัง หากต้องการสิ่งใดก็ให้บอกกล่าวข้าได้ทุกเมื่อ อ่อเรื่องบิดาเจ้าไว้ข้าจะช่วยสืบให้กระจ่าง ถือซะว่าข้าชดเชยให้แก่เจ้าก็แล้วกัน”เจิ้งหนานที่เอ่ยเสียหลายประโยคติดกันในรวดเดียวเมื่อเอ่ยจบก็จำต้องยกชาขึ้นดื่มเมื่อเมื่อครู่รู้ส
“คุณหนูคนของตำหนักฉือเหอมาแจ้งว่าท่านอ๋องเรียกพบคุณหนูเจ้าค่ะ”“...” ฟางเฟยได้ยินก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ นางเองเวลานี้กำลังจดจ่อกับรายชื่อคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ดวงหน้างดงามวันนี้มีแววอ่อนล้าปรากฏ มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นปิดปากเล็กยามเมื่อร่างกายยังรู้สึกง่วงงุนมิเลิกราเจิ้งหนานหลังจากสั่งให้คนไปตามนางมาพบที่ตำหนักตนก็นั่งนิ่งอ่านตำราทัพรอท่า ท่วงท่าเวลานี้แววตาคมเข้มที่ทุกคราเปล่งประกายฉายแววพยัคฆ์หนุ่มบัดนี้กลับมีความอึมครึมและอ่อนล้าอยู่หลายส่วน“ท่านอ๋อง” ฟางเฟยเดินเข้ามายังตำหนักฉือเหอที่บัดนี้นางกลับรู้สึกว่าช่างกว้างใหญ่แลอ้างอ้างกว่าทุกคราทั้ง ๆ ที่นางเองก็มาเสียจนเรียกว่าเป็นประจำแลคุ้นชินแต่ความรู้สึกเวลานี้ช่างดูแปลกแยกไปเสียหมด ร่างบางทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะก้มหน้ามองพื้นนิ่งมิยอมเงยใบหน้ามองสบดวงตาคมเข้มแต่อย่างใด“มาแล้วรึ นั่งก่อนสิ” เจิ้งหนานมองดูท่าทีของนางในใจเกิดหนักอึ้งขึ้นมาครามครัน ก่อนจะหาเสียงตนอยู่นานจึงเอ่ยบอกนางให้นั่งลงเพื่อเจราจา อีกทั้งยังสั่งเสี่ยวกงกงให้ไปรอรับใช้อยู่ด้านอกและสั่งห้ามหากมิใช่ธุระเร่งด่วนก็ห้ามผู้ใดเข้า
ฉึก!เจิ้งหนานเวลานี้มือที่ยกเตรียมผลักประตูแข็งค้างอยู่กับที่ราวถูกสาป เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจสอดประสานกันระหว่างสองนายบ่าวดังแว่วออกมาให้ได้ยิน มือที่เตรียมผลักประตูบัดนี้จึงกลายเป็นกำเข้าหากันแน่นพร้อมกรามแกร่งที่ถูกเจ้าตัวขบกัดจนเป็นสันนูนขึ้นให้ได้เห็น เขานิ่งอยู่กับที่อย่างใช้ความคิดกับตัวเองเพียงครู่เสียงของฟางเฟยก็ทำให้เขานั้นรู้สึกชานิ่งไปทั้งตัว ก่อนดวงตาคมเข้มจะวาววับขึ้น สองมอกำแน่นจนเห็นเป็นเส้นเลือดนูนเด่น คิ้วคมเข้มบัดนี้ผูกเป็นปม ใจแกร่งไหวอ่อนยวบพร้อมทั้งความรู้สึกเจ็บลึกอย่างมิเคยเป็นมาก่อน หนานจวิ้นอ๋องเวลานี้สะกดกลั้นอารมณ์ตนเองจนดวงตาแดงก่ำทอดถอนหายใจแหงนเงยใบหน้าเพื่อระงับอารมณ์ไม่ปกติในใจตน ก่อนจะหมุนตัวหันหลังพร้อมทั้งก้าวรุดจากไปในทันที“ฮึก คุณหนูของบ่าว โธ่ เช่นนั้นแล้วเหตุใดท่านอ๋องถึงยังได้เอ่อรั้งคุณหนูไว้เล่าเจ้าคะ”“ฮึก ฮือ” ฟางเฟยมอเอ่ยนางเองก็มิอาจคิดหาเหตุผลได้ในเวลานี้ ใบหน้างดงามจึงทำเพียงส่ายไปมาน้อย ๆ“ระหรือว่าท่านอ๋อง พระองค์จะมีใจให้ท่าน...”“หึ! ไม่หรอก ฮึก” ถ้อยคำของซูหนิวทำให้ฟางเฟยถึงกลับต้องเผยยิ้มเยาะตนเองออกมา จะมีใจให้เช่นไรหากมีใจแล้วก
เวลานี้ยามไฮ่ [23.00 น.] ในจวนใหญ่มีเพียงทหารที่เฝ้ายามบางตา ในตำหนักใหญ่บัดนี้เจิ้งหนานมิอาจทนข่มสายตาให้หลับลงได้ เขาพลิกตัวไปมาหลายต่อหลายครั้งในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้แก่เรื่องรบกวนในจิตใจ ถ้อยคำตัดรอนแววตาปวดร้าว ทุกถ้อยคำของฟางเฟยเหมือนนางทนทุกข์ทรมานเหลือแสนจากการกระทำของเขา เมื่อครั้นคิดไม่ตกเจิ้งหนานจึงเลือกที่จะลุกขึ้นมาเปิดม้วนฎีกาแทน เขาพลิกอ่านฎีกาในมือไปมาสองสามคราก็พบว่าอ่านเช่นไรก็ไม่มีสมาธิจดจ่อ สายตาคมทอดมมองออกไปยังเบื้องหน้าโถงตำหนักใหญ่ก่อนแสงเปลวเทียนที่ไหววูบจะเข้ามาในคลองจักษุร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่มือหนากำแน่น ก่อนในใจจะนึกตกผลึกถึงเรื่องราวที่เขานั้นต้องคอยข้องแวะกับนาง ที่ทำไปก็เพราะว่าเรื่องร่วมเตียงคืนวสันต์เขากับนางเข้ากันได้ดี และพบว่าหยินหยางหลอมรวมเมื่อยามตื่นร่างกายเขามักจะกระปรี้กระเปร่าสดชื่น รึว่านี่ถึงคราที่ข้าจะปล่อยเจ้าไปสตรีมีมากก็คงมีซักคนกระมังที่ทดแทนเจ้าได้ ในเมื่อนางบอกว่าตลอดมามีแต่ความทุกข์เช่นนั้นวันนี้เจิ้งหนานจึงได้คำตอบที่ค้นหากับตัวเองมาตลอดทั้งช่วงบ่ายของวัน ร่างสูงสง่าบัดนี้ใบหน้ามืดครึ้มแววตาหนักอึ้งสื่อความหมาย ก่อนจะลอบถอนหายใจหนั
“ฮึก ๆ” ฟางเฟยกลั้นสะอื้นจนตัวโยน นางส่งสายตาให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้อย่างนึกตัดพ้อ ในเมื่อเขารู้แล้วเหตุใดถึงต้องคอยแต่กล่าววาจาร้าย ๆ ที่ไม่เป็นความจริงใส่นางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหตุใดถึงไม่ยอมบอกกล่าวนาง เหตุใดเขาถึงได้คอยใจร้ายกลั่นแกล้งนางเรื่อยมา เขาเห็นนางเป็นอะไรกันสิ่งของ กาฝาก เขาคิดว่านางไม่มีจิตในเช่นนั้นหรือ“ฟางเฟยคือข้า...” เจิ้งหนานบัดนี้รู้สึกราวน้ำท่วมปาก ครานี้เหตุใดเขาถึงรู้สึกขลาดเขลานักเพียงเสียงหวานติดสะอื้นของนางเอ่ยถามอีกทั้งตัดพ้อในที ใจแกร่งกลับบีบรัดแน่นจนรู้สึกหายใจติดขัด เจิ้งหนานในเวลานี้เกิดความโง่เขลาขึ้นในใจจนมิอาจทานทนต่อสายตาตัดพ้อของนางได้จึงกดศีรษะของนางให้ซบฝังลงที่อกแกร่งแน่น ก่อนจะกอดนางไว้ในอ้อมอกคล้ายสื่อต้องการสื่อความนัยน์ให้นางได้รับรู้“ฮึก ฮือ ขะข้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่งที่ที่บ้าน ฮึก เกิดวิกฤติ แต่บังเอิญ ฮึก! บังเอิญมีผู้ใจดียื่นมือเข้าช่วยขะข้า...ข้าจึงได้มีที่ซุกหัวนอน ข้าอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด ข้ารู้ว่าท่านเกลียดข้าเพียงใด อีกทั้งที่ผ่านมาข้า ฮึก มักถูกท่านต่อว่าอีกทั้งย่ำยี ฮึก ฮื้อ ท่านเคยคิดรึไม่ว่า ฮึก ข้ารู้สึกเช่นไร ข้าเองเพื่อค
“...” เจิ้งหนานเมื่อถูกถามจี้จุดจึงทำเพียงกลืนน้ำลายลงคอพร้อมทั้งสายตาคมเสมองไปยังทิศทางอื่น ดูนางเถิดเขารึก็อุตส่าห์ร้อนใจเป็นห่วง เมื่อได้รับรายงานขจากคนของตนว่าฟางเฟยมีท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ และกำลังติดตามคนสนิทของนางไปที่ใดสักที่ เขาที่ประชุมอยู่กับเหล่าขุนนางก็ถึงขั้นอยู่ไม่สุข เมื่อจิตใจไม่สงบก็ไม่อาจทนทำสิ่งใดได้เขาจึงเสียมารยาทขอตัวออกมากลางคัน แต่เมื่อมาเห็นแม่คนงามที่กำลังปีนเถาวัลย์ลงมาก็ต้องถอนหายใจโล่งอก อีกทั้งทำได้แต่ต่อว่านางอยู่ในใจ“เช่นนั้นก็...” ฟางเฟยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบไม่ตอบนางซ้ำไม่ยอมสบตาจึงได้ดึงมือบางกลับ แต่ก็จำต้องชะงักเมื่อพบว่ามือใหญ่นั้นมิยินยอมให้นางได้ทำดั่งใจซ้ำเขากลับยกมันขึ้นพร้อมทั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางเช็ดแผลให้นางไปมาเบา ๆ ก่อนครู่ต่อมาใจนางจะกระหน่ำเต้นระรัวเร็วเมื่อถูกลมเย็น ๆ เป่าปะทะเข้าที่ฝ่ามือนุ่มพรู่!เฮือก! ตึก ๆ ๆ !ฟางเฟยใบหน้าเลิ่กลั่นก่อนครู่ต่อมาจะแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อเขานั้นพันผ้าเช็ดหน้าเข้ากลับมือของนางเบา ๆ อย่างไม่นึกรังเกียจ แต่กระนั้นหนานจวิ้นอ๋องเองก็ยังมิยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา และเมื่อเป็นเช่นนั้นฟางเฟยจึงเป็นฝ่