LOGINแช่เพียงไม่นาน เฉียวเนี่ยนก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในเส้นเลือดนั้นได้สลายไปหมดแล้วพอขึ้นจากบ่อน้ำพุโอสถ นางก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างปลอดโปร่งราวกับมีบางสิ่งมาเปิดลู่ทางเส้นลมปราณทั้งร่างให้โล่งขึ้นไม่รู้สึกถึงความไม่สบายตัวหลังพิษกำเริบเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกว่าร่างกายเบากว่าก่อนพิษกำเริบเสียอีกเฉียวเนี่ยนอดคิดไม่ได้ว่าหากผู้ฝึกยุทธ์มาแช่น้ำในบ่อนี้จะทำให้พลังภายในเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่นางนึกถึงเสิ่นม่อซึ่งมีวรยุทธลึกล้ำขนาดนั้น บางทีอาจเป็นเพราะบ่อน้ำพุโอสถแห่งนี้ก็เป็นได้คนธรรมดาเดิมไม่มีความผิด แต่การมีอัญมณีล้ำค่าอยู่กับตัว กลับนำมาซึ่งความผิดหากคนทั้งโลกรู้ถึงการมีอยู่ของบ่อน้ำพุโอสถแห่งนี้เข้าคงไม่ดีแน่เมื่อกลับถึงที่พัก เฉียวเนี่ยนสางผมหน้ากระจกอยู่ดีๆ ก็พบโดยบังเอิญว่ารอยแผลบนแขนของตนนั้นจางลงไปมากไม่ใช่เพียงจางกว่าเมื่อก่อน แต่... จางกว่าเมื่อวานเลยด้วยซ้ำนี่ก็เป็นผลของการแช่บ่อน้ำพุโอสถด้วยหรือ?นางอดประหลาดใจไม่ได้ พลันมีความรู้สึกไม่สบายใจบางเบาเกิดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจแต่ก็นึกว่าอาจจะคิดมากไปเองผู้คนในสำนักราชาโอสถมิได้ออกไปข้างนอกโ
นางคิดว่าตอนนี้ตนเองคงจะดูคล้ายเหยาวั่งซูในโลงน้ำแข็งอยู่มากนักเหอะ...มุมปากของเฉียวเนี่ยนเผยรอยยิ้มเย็นชาที่ปนความเวทนาออกมา ในที่สุดนางก็หลับตาลงอย่างช้าๆ และหมดสติไปไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เฉียวเนี่ยนค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความมืดมิด สติของนางราวกับเรือลำน้อยที่กำลังถูกคลื่นค่อยๆ ดันกลับเข้าฝั่งนางลืมตาขึ้น สายตาพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะมองเห็นชัดว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้นข้างเตียงสุดท้ายเมื่อคืนนางก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะปีนกลับขึ้นเตียงได้แสงแดดลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เฉียงๆ ตกกระทบบนปลายนิ้ว ไหล่ และเส้นผมยาวที่กระจายอยู่ของนาง ให้ความอบอุ่นราวกับผ้าไหมบางเบาเสียงแมลงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากนอกหน้าต่างขาดหายเป็นช่วงๆ แซมด้วยเสียงนกร้องใสกระจ่างราวกับมีใครกำลังกระโดดเบาๆ อยู่บนกิ่งไม้นางลองขยับนิ้วมือ ข้อต่อยังคงแข็งเกร็งอยู่บ้าง คงเพราะฤทธิ์ยาที่เสิ่นเยว่ให้ไว้นั้นหมดลงแล้ว ความปวดร้าวแผ่วเบายังคงแผ่ซ่านอยู่ในเส้นเลือดแต่เมื่อเทียบกับความทรมานจนแทบขาดใจเมื่อคืน ความเจ็บปวดในตอนนี้กลับอ่อนไปมากนางค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า อากาศมีฝุ่นละอองลอยคลุ้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพื
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เฉียวเนี่ยนรีบกลับเข้าห้อง หยิบขวดยาจากใต้หมอนออกมาในขวดนั้น บรรจุเม็ดยาบำรุงกำลังชั้นเลิศที่นางเคี่ยวจากสมุนไพรราคาแพงหลากหลายชนิดเมื่อไม่กี่วันก่อนความเจ็บปวด คือความรู้สึกที่สิ้นเปลืองพลังชีวิตที่สุดดังนั้นนางจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมหลังหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไป เฉียวเนี่ยนก็ถอดเสื้อคลุมออก แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มอากาศในหุบเขานี้ เดิมทีก็หนาวกว่าด้านนอกอยู่แล้วและวันนี้ บางทีอาจเพราะพิษใกล้จะกำเริบ เฉียวเนี่ยนยิ่งรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นเรื่อยๆแม้ตอนนี้จะอยู่ในผ้าห่มแล้วก็ตาม ร่างกายทั้งร่างก็ยังคงสั่นระริกด้วยความเย็นถึงขั้นที่นางรู้สึกว่า หนาวยิ่งกว่าห้องลับของเสิ่นม่อเสียอีกไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ร่างกายถึงค่อยๆ อุ่นขึ้นทีละน้อยฝ่ามือยังคงเจ็บแปลบแผ่วๆ แต่ไม่รุนแรงนักจนเฉียวเนี่ยนเผลอหลับไปในเวลาไม่นานนางฝันอีกแล้วนางฝันเห็นอาคารหรูหรางดงามหลังหนึ่ง ฝันเห็นเหยาวั่งซูที่ถูกกักขังอยู่ในนั้นแตกต่างจากครั้งก่อนที่เหมือนนางได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง คราวนี้นางกลับอยู่ในมุมมองของบุคคลที่สาม มองเห็นเหยาวั่งซูถูกคนของตระกูลมู่ดูหมิ่น ท
ยกมือขึ้นมองจุดดำบนฝ่ามือ นางขมวดคิ้วแน่นเป็นปม ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ให้มั่นคงจึงพลิกกายลุกลงจากเตียงเมื่อจัดการล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อย นางก็ตรงไปยังทิศทางของห้องหนังสืออากาศในหุบเขานี้ มักจะสดชื่นเป็นพิเศษอยู่เสมอเฉียวเนี่ยนเดินไปตามทางเดินหินที่เคยเดินเมื่อวาน ไม่นานก็ถึงหน้าห้องหนังสือขณะกำลังจะผลักประตูเข้าไป ทว่าดาบเล่มหนึ่งกลับปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง“เจ้าคือผู้ใด?” เสียงกังวานใสดุจสายลมในหุบเขา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบคม “ห้องหนังสือของเจ้าสำนัก ผู้บุกรุกต้องตาย!”เฉียวเนี่ยนหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ไม่รู้มาอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใด เสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบดินโคลน ดูท่าทางน่าจะเพิ่งกลับมาจากในป่าการแต่งกายของเขาแตกต่างจากผู้รับใช้คนอื่นๆ ในสำนัก คาดว่าน่าจะเป็นบุคคลสำคัญเฉียวเนี่ยนจึงค้อมตัวคารวะ “ข้าชื่อเฉียวเนี่ยน มีเรื่องสำคัญต้องตรวจสอบตำราในห้องหนังสือของท่านเจ้าสำนัก หวังว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปได้”“เฉียวเนี่ยน?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ลดดาบลง สีหน้าเย็นชาเมื่อครู่พลันอ่อนลงไม่น้อย “ที่แท้เจ้าก็คือเนี่ยนเนี่ยน ลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์
เฉียวเนี่ยนยืนอยู่หน้าโลงน้ำแข็ง ความเย็นเฉียบแล่นขึ้นจากฝ่าเท้าจนถึงกระดูกสันหลังนางจ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนฝาโลง ความคิดสับสนวุ่นวายจนจับต้นชนปลายไม่ถูกคำพูดของเสิ่นม่อเปรียบดั่งคมมีดอันแหลมคม ที่เฉือนเปิดความจริงอันโหดร้ายเบื้องหลังเกียรติยศร้อยปีของตระกูลมู่ พร้อมกันนั้นก็ทำให้นางได้ตระหนักถึงตัวตนของตนเองในอีกแง่มุมหนึ่งแต่เดิม นางคิดว่าตนเป็นเพียงบุตรีขุนนาง เป็นคุณหนูผู้สูงส่งธรรมดาๆ แม้จะผ่านความยากลำบากมาบ้าง ทว่าท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?แต่บัดนี้ เหยาวั่งซู ตระกูลมู่ สำนักราชาโอสถ...นางไม่เคยคิดเลยว่า ตนเองจะมีความเกี่ยวพันกับทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน!ในตอนนี้ นอกจากผงเก้ากระบวนตัดวิญญาณที่เสิ่นม่อมอบให้แล้ว คำพูดของเจ้าตระกูลมู่ที่เคยกล่าวถึงสมบัติบางอย่าง ก็ยังทำให้นางอดกังวลไม่ได้หากทุกสิ่งเป็นจริงดังที่เสิ่นม่อว่าไว้ ตั้งแต่ต้นตระกูลมู่ก็ได้มาซึ่งความมั่งคั่งมหาศาลด้วยวิธีสกปรก เช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่าคนตระกูลมู่ล้วนไม่น่าไว้วางใจเช่นนั้นเซียวเหิงเล่า...คิดถึงตรงนี้ เฉียวเนี่ยนเผลอกำหมัดแน่นแท้จริงแล้วนางก็ไม่ได้นึกถึงเซียวเหิงม
กระทั่งถึงตอนนี้ เฉียวเนี่ยนก็ยังไม่เข้าใจว่าเสิ่นม่อต้องการจะทำอะไรกันแน่เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองไปยังเฉียวเนี่ยน “เจ้าคือเหลนของเหยาวั่งซู มีพรสวรรค์ด้านวิชาแพทย์สูงส่งไม่ต่างจากเหยาวั่งซู หากในภายภาคหน้าสามารถมอบสำนักราชาโอสถให้เจ้าได้ ข้าก็วางใจได้แล้ว”เฉียวเนี่ยนแปลกใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นม่อจะอยากมอบสำนักราชาโอสถให้แก่ตนแน่นอนว่าในใจนางยังคงแฝงไว้ด้วยความสงสัย “แต่ท่านวางยาพิษข้า”นางแบฝ่ามือออกให้ดู จุดดำบนฝ่ามือที่มีอยู่เดิม ผ่านไปหลายวันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก“หากท่านตั้งใจจะมอบสำนักราชาโอสถให้ข้า แล้วบอกความจริงกับข้าเสียตั้งแต่แรก ข้าย่อมยินดีเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ ข้าไม่อาจเชื่อท่านได้อีก”เดิมทีนางยังคิดจะอยู่ที่นี่อย่างสงบ รอจนพิษสลายก่อนค่อยจากไปแต่บัดนี้ เมื่อนางมองดูศพที่มีใบหน้าเหมือนตนทุกประการแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่ต่ออีกสีหน้าของเสิ่นม่อก็เย็นชาลงทันทีเขาหันหน้าเข้าหาโลงน้ำแข็งอีกครั้ง เอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยาวั่งซูตายอย่างไร?”เฉียวเนี่ยนส่ายหน้า “ไม่รู้เจ้าค่ะ”เสิ่นม่อกลับไม่ให้คำตอบในทันที แต่ใช้สองมือแตะลงบนโลงน้ำแข็ง แล้วออกแรงผลักฝาโลงถู







