Share

บทที่ 13

Penulis: โม่เสียวชี่
แม้แต่ท่านโหวหลินก็อดมองหน้าเฉียวเนี่ยนไม่ได้ แต่ยังคงพูดคุยกับหลินเย่ว์ต่อ “เคราะห์ดีที่วันนี้มีพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยมาออกหน้าให้ มิฉะนั้นอย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ข้าเองก็อาจไม่ได้ออกจากวังมาอีก!”

เฉียวเนี่ยนมองดูพื้นที่อยู่เบื้องหน้าตน ในใจแอบรู้สึกถึงความเย้ยหยัน

คำพูดนี้ น่าจะพูดให้นางฟังมากกว่า

ขณะกำลังคิดอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงหลินยวนแว่วมา “ท่านพ่อ...”

น้ำเสียงอ่อนหวานนั้น แฝงด้วยความอ่อนแรง ระคนความร้อนใจ คล้ายพร้อมจะขาดใจได้ทุกเมื่อกระนั้น

เฉียวเนี่ยนคิ้วขมวดเล็กน้อย พลันเห็นหลินยวนเดินอย่างอ่อนระโหยเข้ามาโดยมีสาวใช้เสี่ยวชุ่ยคอยประคอง ทันทีที่เห็นใบหน้าหลินเย่ว์มีเลือดไหลซึม น้ำตานางก็ร่วงหล่นลงพลัน พร้อมคุกเข่าลงข้างกายหลินเย่ว์ “ท่านพ่อ ขอท่านอย่าได้โกรธมาก แค่กๆๆ แค่กๆๆ...”

กล่าวยังไม่ทันจบประโยค หลินหยวนก็เกิดอาการไอรุนแรงขึ้นมา

ท่านโหวหลินเป็นห่วงเสียจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ พลางตวาดไปทางเสี่ยวชุ่ย “ยังไม่รีบพยุงคุณหนูขึ้นมาอีก!”

จนแม้แต่ฮูหยินหลินซึ่งแต่เดิมปกป้องหลินเย่ว์อยู่ ยังรีบไปพยุงให้นางยืนขึ้น “เจ้ายังป่วยอยู่ ออกมาทำไมกัน”

“ข้า...ได้ยินว่าท่านพ่อจะลงโทษพี่ชาย” น้ำตาหลินยวนร่วงเผาะเป็นเม็ดโตๆ “ข้า...รู้ว่าคงเพราะพี่ชายไปก่อเรื่องไว้ จึงทำให้ท่านพ่อโกรธถึงเพียงนี้ แต่พี่ชายมิใช่คนเกเร เขาทำสิ่งใดก็ย่อมมีเหตุผลของเขา ขอท่านพ่อโปรดเห็นแก่ยวนเอ๋อร์สักครั้ง อภัยให้พี่ชายด้วยเถิด...”

ทุกคำที่นางกล่าวมา ล้วนทำให้ท่านโหวหลินและหลินเย่ว์ใจอ่อนลงในบัดดล

หลินเย่ว์ตื้นตันใจยิ่ง แต่กลับเหลียวมองไปทางเฉียวเนี่ยนโดยไม่ตั้งใจ

พลางเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเฉยชา สีหน้าคล้ายไม่รู้สึกรู้สม ก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง

ยวนเอ๋อร์แม้จะไม่สบายยังออกมาขอร้องแทนเขา แล้วนางล่ะ?

ทั้งที่รู้ว่าเขาไปสั่งสอนนางกำนัลกลุ่มนั้นก็เพื่อนาง นางกลับไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย!

โทสะในใจท่านโหวหลิน เลือนหายเพราะคำพูดของหลินยวนไปกว่าครึ่ง แต่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางกล่าว “เอาเถิด เรื่องวันนี้ให้ถือเป็นบทเรียนให้เจ้า” กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อ เดินจากไปทันที

รอจนท่านโหวหลินออกไปแล้ว ฮูหยินหลินรีบสั่งให้บ่าวไพร่พยุงหลินเย่ว์ลุกขึ้น “รีบไปตามหมอมาทำแผลให้คุณชายโดยเร็ว!”

บ่าวไพร่รับคำแล้วออกไปทันที หลินยวนเริ่มไอขึ้นมาอีก ฮูหยินหลินจึงหันไปดูแลนางบ้าง

เฉียนเนี่ยนยืนมองเหตุการณ์เบื้องหน้า รู้สึกคล้ายตนเองเป็นคนนอก เมื่อเห็นว่าเรื่องต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว จึงหันหลังคิดจะออกไป

แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นจากห้องโถง ก็ได้ยินเสียงหลินเย่ว์เอ่ยปาก “เจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดบ้างรึ?”

เฉียวเนี่ยนหยุดก้าวเดิน พลางหันกลับมามองหน้าหลินเย่ว์ “ท่านโหวน้อยต้องการให้ข้าพูดอะไรบ้าง?”

หลินเย่ว์เจ็บแปลบขึ้นในใจ “ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดสิ่งใด แต่สิ่งที่ข้าทำก็ล้วนเพื่อเจ้า แล้วเจ้าจะไม่พูดอะไรกับข้าบ้างรึ?”

เขาถึงขั้นปล่อยมือที่กุมบาดแผลลง ปล่อยให้โลหิตสีแดงฉานบาดตาเฉียวเนี่ยน

เขาคิดในใจ ไม่ได้หวังให้นางเป็นห่วงเขาเช่นเดียวกับยวนเอ๋อร์ แต่ขอเพียงนางเห็นใจเขาสักนิด เพียงนิดเดียวก็ยังดี

เท่ากับว่าการกระทำของเขาในวันนี้ ไม่นับว่าเสียเปล่า

แต่ว่า ในสายตาเฉียวเนี่ยนมีแต่ความเย็นชา นางกวาดตาไปยังผู้อื่นที่อยู่ในห้องโถง สีหน้าทุกคนล้วนแสดงความรู้สึกเดียวกัน คือหวังให้นางพูดสิ่งใดออกมาบ้าง

พูดในเรื่องที่พวกเขาต้องการจะฟัง

แต่ทว่า เฉียวเนี่ยนละสายตากลับคืนมา มองหน้าหลินเย่ว์ มุมปากผุดรอยยิ้มหยันรางๆ “ท่านโหวน้อยน่าจะดื่มจนเมามาก กระทั่งแยกไม่ออกว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ เพื่อข้าจริงๆ หรือเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในใจท่านกันแน่”

“หลินเนี่ยน!” หลินเย่ว์ตวาดเสียงลั่น มองหน้าเฉียวเนี่ยนด้วยความรู้สึกผิดหวังยิ่ง

นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร?

ไฉนจึงเป็นไปได้?

แม้แต่หลินยวนยังอดไม่ได้ที่จะพูดแทนหลินเย่ว์ “พี่เนี่ยน พี่ชายไม่เคยบุ่มบ่ามเช่นนี้มาก่อน วันนี้ทำเพราะท่านจริงๆ...”

“หากท่านโหวน้อยคิดทำเพื่อข้าจริง คนแรกที่ควรสั่งสอนหาใช่เหล่านางกำนัลที่กรมซักล้างไม่” เฉียวเนี่ยนเอ่ยปากเนิบๆ ดูเย็นชายิ่ง

แม้นางจะไม่ได้มองหน้าเสี่ยวชุ่ย แต่ทุกคนในห้องโถงต่างก็รู้ดี คนที่นางกล่าวถึงก็คือเสี่ยวชุ่ยนั่นเอง

ที่นางถูกข่มเหงรังแกมาสามปีเต็ม ตัวการอันดับหนึ่งก็คือเสี่ยวชุ่ย และวันนี้คนที่ชี้หน้ากล่าวหานางก็คือเสี่ยวชุ่ยอีก แต่ว่า หลินเย่ว์ได้ทำอะไรบ้าง?

เขากลับไปสั่งสอนนางกำนัลกลุ่มนั้นแทน

ช่างน่าขำยิ่งนัก!

หน้าอกหลินเย่ว์กระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง ลำคอคล้ายมีมือใหญ่มาบีบไว้แน่น ไฟโทสะคุกรุ่นจนแทบอยากระเบิดออกมา

ทันใดนั้น พ่อบ้านหลิวแห่งจวนโหวอุ้มห่อผ้าขนาดใหญ่ห่อหนึ่ง เดินปรี่เข้ามาในห้องโถง “ฮูหยิน พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยให้คนส่งห่อเสื้อผ้ามาขอรับ”

แม้ปากจะรายงาน แต่ห่อผ้านั้นหาได้ส่งไปเบื้องหน้าฮูหยินหลินไม่ กลับไปยืนข้างเฉียวเนี่ยนแทน “ซ้ำยังกล่าวว่า คุณหนูซักเสื้อผ้าได้ดี ที่ส่งมาเป็นชุดเลอค่า ให้ผู้อื่นซัก พระสนมจะไม่วางใจ”

ขณะพูดจา ที่น่าขำก็คือแม้แต่พ่อบ้านหลิวยังคล้ายกับร้อนตัว พลางลอบดูสีหน้าเฉียวเนี่ยนเป็นระยะ

เฉียวเนี่ยนกลับเข้าใจดี นี่คงเป็นสิ่งที่ฮูหยินหลินได้พูดมา พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยกำลังหาวิธีให้อยู่

มีคุณหนูของตระกูลขุนนางใดบ้าง ที่รับซักเสื้อผ้าให้แก่คนในวัง?

ลบหลู่นาง ก็เท่ากับตบหน้าคนของจวนโหวด้วย

นางหันไปพยักหน้าให้หนิงซวงรับเอาห่อผ้าไว้ พร้อมได้ยินพ่อบ้านหลิวกล่าวต่อ “พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยยังกำชับมาอีกว่า เสื้อผ้าเหล่านี้พรุ่งนี้เช้าจะต้องส่งเข้าวัง เพราะนางยังต้องสวมใส่อีก!”

พรุ่งนี้เช้าส่งเข้าวัง ก็แปลว่าคืนนี้ต้องซักให้สะอาด

เฉียวเนี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงหันไปทางหลินเย่ว์ “หากจำเป็นต้องพูดสิ่งใดจริง งั้น...ข้าขอขอบคุณท่านโหวน้อย”

ขอบคุณที่เข้าวังช่วยนางรับเอางานอัปยศเช่นนี้มา

เมื่อกล่าวจบ เฉียวเนี่ยนจึงเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังอีก หนิงซวงอุ้มห่อผ้าติดตามไป ระหว่างทางไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว

จวบจนกลับถึงเรือนฟางเหอ เฉียวเนี่ยนบอกให้นางไปเตรียมน้ำไว้ นางจึงอุ้มห่อผ้าพลางกล่าวตอบ “วันนี้คุณหนูตกน้ำมา ควรรีบไปพักผ่อนเสีย เสื้อผ้าเหล่านี้บ่าวจะซักให้เอง!”

วันนี้ แม้ว่าคุณหนูจะได้ดื่มน้ำขิงไป ทั้งยังแช่น้ำอุ่นอีก แต่อย่างไรก็คือได้รับความหนาวเย็นมา

ขนาดคุณหนูรองยังล้มป่วย แล้วคุณหนูของนางจะรอดได้อย่างไร?

เสื้อผ้าเหล่านี้คุณหนูซักไม่ได้ นางจะต้องพักผ่อน!

แต่เฉียวเนี่ยนกลับแย่งห่อผ้ามาจากมือหนิงซวง “พระสนมกุ้ยเฟยบอกว่าเสื้อผ้าเหล่านี้หากข้าไม่ซักเอง นางจะไม่วางใจ เรื่องวันนี้เจ้าก็เห็นอยู่ ถ้าข้าไม่ซักด้วยตัวเอง พรุ่งนี้เกรงว่าจะมีเรื่องตามมาอีก ไปเถิด ข้าจะใช้น้ำเย็น”

ชุดอาภรณ์ล้ำค่าไม่ควรแช่ด้วยน้ำอุ่น หากซักแล้วเสียหายก็จะเป็นเรื่องใหญ่

หนิงซวงไม่ขยับตัว ยังคงยืนนิ่งมองดูเฉียวเนี่ยน ปลายจมูกแสบขึ้นมา

เฉียวเนี่ยนมองนางด้วยความแปลกใจ “ทำไมรึ?”

“คุณหนูเจ้าคะ...” หนิงซวงเอ่ยปาก น้ำตาก็พรั่งพรูลงมาทันที “พวกเขารังแกท่านนัก แต่ละคนคอยจ้องจะเล่นงานท่านทั้งสิ้น ฮือๆๆ...”

เด็กคนนี้พอร้องไห้ก็แทบหยุดไม่ได้

เฉียวเนี่ยนถอนหายใจด้วยความจนปัญญา แต่ว่า นางก็ไม่รู้จะปลอบใจหนิงซวงอย่างไรดี และไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรด้วย

เพราะนางเองก็อยากรู้ เหตุใดพวกเขาจึงจ้องจะรังแกนางเพียงผู้เดียว?

เพราะนางไม่ใช่ลูกในไส้กระนั้นรึ?

เคราะห์ดีที่เสื้อผ้ามีไม่มากนัก เฉียวเนี่ยนซักเสร็จก่อนฟ้าจะมืดลง รุ่งขึ้นจึงนำไปส่งมอบให้พ่อบ้านหลิว ให้เขาส่งต่อเข้าวังไป

แต่ไม่คาดคิดว่า พ่อบ้านหลิวกลับบอกนางว่า พระสนมกุ้ยเฟยรับสั่งให้นางไปส่งด้วยตนเอง

นางจึงอุ้มห่อผ้ายืนตะลึงอยู่กับที่

ให้นาง เข้าวังอีกครั้งกระนั้นรึ?

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi
Komen (17)
goodnovel comment avatar
เกสรา เทียนเล็ก
สนุกมากๆค่ะอยากอ่านจนจบ
goodnovel comment avatar
เกสรา เทียนเล็ก
อยากอ่านจนจบสนุกมากๆค่ะ
goodnovel comment avatar
ปวิช
บทที่ 13 นี่ผมละอยากถาม คุณพี่ครับเอ็งทำร้ายนางกำนัลทำไมเหรอ หรือเพราะอยากระบายความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหรอ
LIHAT SEMUA KOMENTAR

Bab terbaru

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1432

    ขณะที่พูด สายตาก็ลอบชำเลืองมองเฉียวเนี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลงกระซิบถามอย่างใคร่รู้ว่า “อิ๋งชี คุณหนูของข้าใช้ให้ท่านไปทำอะไรมาหรือ ท่าทางลับลมคมในเชียว!”อิ๋งชีปรายตามองหนิงซวงแวบหนึ่ง รับถ้วยยามากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นจึงทิ้งมือยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง สำรวมกายใจประหนึ่งรูปปั้นหิน ราวกับไม่ได้ยินคำถามของหนิงซวงแม้แต่น้อยหนิงซวงรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ทว่าก็รู้อยู่เต็มอกว่าคงง้างปากถามความอันใดไม่ได้ จึงได้แต่เบ้ปากแล้วถือถ้วยยาเปล่าถอยออกไปเวลาล่วงเลยไปทีละน้อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยขึ้นสูง ยามอู่ใกล้เข้ามาทุกทีทันใดนั้น ด้านนอกเรือนปีกข้างพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบสับสนวุ่นวายดังขึ้น เคล้าไปกับเสียงตะโกนและเสียงครวญครางแผ่วเบาประตูเรือนที่ปิดสนิทถูกผลักออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง “โครม”ผู้ที่ปรากฏกายคือมู่ซ่างเสวี่ย มู่เจิ้นเจียง และพรรคพวกที่ย้อนกลับมา ทว่าบัดนี้บนใบหน้าของพวกเขาหาได้มีความแข็งกร้าวและมืดมนอำมหิตดังก่อนหน้า เหลือไว้เพียงความตื่นตระหนกและหวาดผวาอย่างถึงที่สุด!ใบหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยซีดเผือด หน้าผากชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ฝ่ายมู่เจิ้นเจียงนั้นอาการหนักหนายิ่ง

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1431

    พี่ห้าแทบอยากจะพุ่งเข้าไปถีบพี่ชายของตนเสียให้รู้แล้วรู้รอด ส่งให้ถลาเข้าไปหาเฉียวเนี่ยนเสียตรงนั้นทว่าสองเท้าของฉู่จืออี้กลับราวกับถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น หนักอึ้งเสียจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยยิ่งปรารถนาจะกระทำสิ่งใด กลับยิ่งมืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดดีความรู้สึกพ่ายแพ้และโทสะที่เกรี้ยวกราดใส่ตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถาโถมเข้าเกาะกุมจิตใจราวกับเถาวัลย์ที่รัดพันร่างเขาไว้อย่างแน่นหนาแต่แล้วในยามนั้นเอง เฉียวเนี่ยนกลับเป็นฝ่ายสืบเท้าเดินเข้าไปหาฉู่จืออี้เสียเองแสงตะวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งก้านใบไม้ที่โปร่งตา ทาบทอเป็นเงาสลัวรางบนเรือนร่างของนางเมื่อเห็นดังนั้น ผู้คนในลานเรือน ไม่ว่าจะเป็นหนิงซวงที่อยู่ใต้ระเบียงทางเดิน เกอซูอวิ๋น หรือเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ ต่างก็รู้ความยิ่งนัก รีบถอยฉากกลับเข้าห้องของตนไปอย่างพร้อมเพรียง ลานเรือนอันกว้างใหญ่พลันว่างเปล่าเงียบสงัด เหลือเพียงคนสองคนที่ยืนตระหง่านเผชิญหน้ากัน และเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังสวบสาบเท่านั้นจนกระทั่งเฉียวเนี่ยนมายืนอยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนมองเห็นไรขนอ่อนบนใบหน้าซีดเผือดและความเหนื่อยล้าที่ซุกซ่อนอยู่ลึกในแว

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1430

    สีหน้าของฉู่จืออี้ทะมึนถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าตระกูลมู่ถือดีที่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ว่ามิปรารถนาให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นจนราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน จึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้!ทว่า... ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น!ขอเพียงตระกูลมู่เอ่ยปาก ต่อให้ฮ่องเต้ถังมิประสงค์จะเปิดศึก ก็มิอาจทัดทานแรงกดดันที่ถาโถมจากตระกูลมู่ได้ถึงยามนั้น สงครามระหว่างสองแคว้นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง!สองหมัดของฉู่จืออี้กำแน่นโดยไม่รู้ตัว เพลิงโทสะที่ไร้ชื่อสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นกลางอกทันใดนั้น ปลายแขนเสื้อพลันถูกกระตุกเบา ๆฉู่จืออี้หันขวับกลับมา สบเข้ากับแววตาของเฉียวเนี่ยนภายในแววตาคู่นั้น อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำที่ถูกกดข่มไว้นางส่ายหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิใคร่จะให้หน่วยองครักษ์พยัคฆ์ลงมือเช่นกันลูกกระเดือกของฉู่จืออี้ขยับเลื่อนขึ้นลงอย่างรุนแรง สันกรามขบเกร็งประดุจเหล็กกล้าเขาสูดลมหายใจเข้าลึก กดข่มไอสังหารอันเยือกเย็นลงไป ก่อนจะกุมมือที่เย็นเฉียบและสั่นเทาของเฉียวเนี่ยนเอาไว้แน่นเขาไม่ชายตามองคนตระกูลมู่อีกแม้แต่หางตา เพียงตระกองกอดปกป้องเฉียวเนี่ยน แล้วเดินกลับเข้าสู่เรือนรองปร

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1429

    “ไม่ได้การ! ข้าจะรอช้ากว่านี้มิได้แล้ว!” น้ำเสียงของเฉียวเนี่ยนแหบพร่าเจือแววร้าวรานปานใจจะขาด นางกำจดหมายในมือแน่น ร่างกายโงนเงนถลันจะวิ่งออกไปด้านนอกฉู่จืออี้ซึ่งเฝ้าระวังอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด เห็นนางพุ่งตัวออกมาเช่นนั้น จึงรีบสืบเท้าเข้าไปประคองร่างที่โอนเอนคล้ายจะล้มลงได้ทุกเมื่อเอาไว้หนิงซวงและเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ต่างก็รีบรุดเข้ามาสมทบ สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียด “เนี่ยนเนี่ยน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”“เป็นเซียวเหิง!” เกอซูอวิ๋นที่ตามหลังเฉียวเนี่ยนออกมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เซียวเหิงกำลังจะไม่ไหวแล้ว!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่จืออี้พลันตื่นตระหนก ก้มลงมองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบสิ้นหวังของเฉียวเนี่ยน หัวใจของเขาพลันบีบรัดรุนแรงเขาออกคำสั่งเสียงขรึมทันที “เตรียมม้า! ไปจวนองค์ชายรอง”คณะเดินทางรีบจัดเตรียมความพร้อม ทว่าเมื่อก้าวเท้ามาถึงหน้าประตูเรือนปีกข้าง กลับต้องชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าด้านนอกประตูเรือน บัดนี้รายล้อมไปด้วยองครักษ์ของตระกูลมู่ที่ตรึงกำลังอยู่อย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบพวกเขาสวม

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1428

    นางหวนนึกถึงสายตาของฉู่จืออี้ที่กวาดมองมาเมื่อครู่ ในใจยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หายอิ๋งชีหันหลังให้นาง เดินไปที่โต๊ะแล้วรินชาเย็นชืดมาจอกหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบเขาเงียบงันไปครู่ใหญ่จึงค่อยหันกลับมา สีหน้ากลับมาเรียบเฉยดังเดิม พลางย้ำคำพูดเดิมซ้ำอีกครั้ง “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าในเมื่อเหยาวั่งซูผู้นั้นมาจากสำนักราชาโอสถ ของที่ทิ้งไว้ย่อมต้องไม่ธรรมดา อาจเป็นของวิเศษที่หลงเหลืออยู่ของหุบเขา ข้าก็แค่เกิดความสงสัยใคร่รู้ชั่ววูบเท่านั้น”หนิงซวงมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เชื่อน้ำคำเขาทั้งหมด แต่ยามนี้นางเป็นห่วงความรู้สึกของเฉียวเนี่ยนมากกว่านางลอบถอนหายใจ เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะยังไง ท่านอย่าเพิ่งพูดถึงมันตอนนี้เลย ตอนนี้... ในใจคุณหนูคงทุกข์ตรมจะแย่อยู่แล้ว หญ้าผลึกหยกม่วงที่เฝ้าคะนึงหาก็สูญหายไป ทางฝั่งแม่ทัพเซียวเองก็... เฮ้อ”นางเว้นจังหวะ น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกหลายส่วน “ช่วงนี้ท่านก็ทำตัวให้สงบเสงี่ยมหน่อยเถิดอย่าได้ถามเรื่องสัพเพเหระให้คุณหนูต้องกลัดกลุ้มใจอีกเลย เมื่อครู่ดูสายตาของท่านผู้บัญชาการฉู่สิ หากเจ้ายังขืนมากความอีก ข้าล่ะกลั

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1427

    ฉู่จืออี้หยุดฝีเท้าลง ส่ายหน้าให้แก่ทุกคน น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววเหนื่อยล้าและหนักอึ้งราวกับฝุ่นละอองที่ร่วงหล่นสู่พื้นหลังพายุสงบลง “ไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง”ถ้อยคำสั้น ๆ นั้นประดุจคำพิพากษาอันเยือกเย็น ทำให้ใบหน้าของหนิงซวงและเกอซูอวิ๋นซีดเผือดลงในทันที ประกายความหวังสายสุดท้ายในแววตาดับวูบลงไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง นั่นมิเท่ากับยืนยันว่าเซียวเหิงต้องตายแน่แล้วหรือ?ฉู่จืออี้ไม่อยากเอ่ยความใดให้มากความ เขาเพียงต้องการพาเฉียวเนี่ยนกลับห้องไปพักผ่อนโดยเร็วที่สุดร่างสูงเบี่ยงกายเล็กน้อย เตรียมจะเดินเลี่ยงผ่านพวกเขาไป“เช่นนั้น…” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอิ๋งชีก้าวออกมาข้างหน้า สายตาคมกริบกวาดมองฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยน น้ำเสียงเจือความร้อนรนและคาดคั้นผิดวิสัย “ในแดนต้องห้ามมีสิ่งใดอยู่กันแน่ขอรับ?”ฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยนเงยหน้ามองอิ๋งชีขึ้นพร้อมกันคำถามนี้ช่างดูไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่งในเวลานี้ มิหนำซ้ำยังดูแปลกประหลาดพิกลนัยน์ตาของฉู่จืออี้ฉายแววพินิจพิเคราะห์พาดผ่านเพียงชั่ววูบฝ่ายเฉียวเนี่ยนแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเจียนขาดใจ แต่ก็ยังฝืนรวบรวมสติ ตอบกลับด้วยน้ำเสียง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status