แชร์

19. รอคอยอย่างมีหวัง

ผู้เขียน: หมอนบนโซฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-26 21:41:08

“ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบุตรชายคนโตที่จะต้องไปเข้าร่วมกองทัพ

“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ท่านพ่อขอรับ ข้าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ให้กับน้องเล็กต่อนะขอรับ สหายของข้านางเป็นบุตรสาวเศรษฐีสกุลลั่ว” เยว่ชิงยกยิ้มอย่างดีใจ หากพี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ท่านพ่อมิมีทางคัดค้านเป็นแน่ แม้ว่าเยว่ชิงจะมีทักษะการต่อสู้ที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อน แต่สิ่งที่นางได้เรียนรู้จากพี่ชายคือการหลบหลีกแฝงกาย ซึ่งต่างจากชีวิตก่อนของนาง ที่คุณพ่อมักจะให้นางเรียนการต่อสู้ซึ่งหน้ามากกว่า

“อืม เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ให้เยว่ชิงฝึกไว้ก็ดีเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยตอบรับบุตรชาย พลางเข้าไปตบบ่าบุตรชายเบาๆ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ รักษาตัวด้วย…พวกเจ้าดูแลกันให้ดี พี่ฝากดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” เฉินกงก้มคำนับบิดามารดาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับน้องทั้งสาม

“พี่ใหญ่เองก็รักษาตัวด้วยนะขอรับ”

“มิต้องเป็นห่วงไป พี่ร่ำเรียนกับอาจารย์มาอย่างตั้งใจ พี่จะช่วยให้แคว้นของเราชนะศึกครานี้ แล้วกลับมาหาพวกเจ้าอย่างปลอดภัย”

“เยว่ชิงเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจกับรู้สึกบีบรัดและกังวลเป็นที่สุด นางมิอาจเข้าไปร่วมต่อสู้กับพี่ชายในสนามรบได้ จากนี้ก็คงต้องเฝ้ารออย่างมีความหวังเท่านั้น เยว่ชิงมองแผ่นหลังของพี่ใหญ่ห่างออกไปเรื่อยๆ

ขอให้สิ่งที่ท่านได้ร่ำเรียนมาช่วยให้ท่านพ้นจากเคราะห์ร้ายทั้งปวง

.

.

“คุณหนูเจ้าคะ มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ” แม่นมลี่นำความเข้ามาแจ้งกับคุณหนูของตนถึงในลานกว้างที่เยว่ชิงใช้ฝึกซ้อม

“มูมู่รออยู่ที่นี่ก่อนนะ ประเดี๋ยวจะมาเล่นด้วย” เยว่ชิงเดินเข้าไปกอดมูมู่แล้วจึงเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเผิงจู เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็พบว่าท่านแม่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับหญิงสาวผู้หนึ่ง ใบหน้าหวานหยดแต่ทว่ากลับรับรู้ถึงความแข็งแกร่งจากสายตาคู่งามนั้น

“ท่านแม่…”

“เยว่ชิงมาพอดี นี่คุณหนูลั่วฟางฟาง สหายของพี่ใหญ่เจ้า” เยว่ชิงก้มคำนับสหายของพี่ชายอย่างนอบน้อม พี่ใหญ่ของนางเอ่ยว่าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ต่อจากที่พี่ใหญ่สอน ดังนั้นศิษย์ย่อมต้องเคารพอาจารย์

“เฉินกงเอ่ยถึงน้องเล็กของเขาอยู่บ่อยครั้ง มิคิดว่าจะงดงามถึงเพียงนี้”

“คุณหนูลั่วเองก็งดงามมิแพ้กันเจ้าค่ะ”

“เรียกข้าว่าพี่ฟางเอ๋อร์ก็ได้”

“เช่นนั้นพี่ฟางเอ๋อร์เรียกข้าว่าเยว่ชิงเถิดเจ้าค่ะ” เยว่ชิงยกยิ้มให้กับท่านอาจารย์คนใหม่ของนาง

“พาคุณหนูลั่วไปเที่ยวชมเรือนเถิด แม่จะไปเตรียมขนมมาให้” ได้ยินดังนั้น เยว่ชิงจึงเดินนำลั่วฟางฟางไปยังลานฝึกของตนทันที แต่ยังไม่ทันที่ฟางฟางจะได้ก้าวเข้าไปในลานฝึก สายตาของนางก็สะดุดเข้ากับเสือขาวตัวใหญ่ที่กำลังวิ่งมาทางนาง

“กรี๊ดดดดด เสือ เสือ ฮื่อออออ” ฟางฟางกรีดร้องเสียงดังลั่นเรือน จนบ่าวไพร่ต่างแห่แหนกันมาดู

“พี่ฟางเอ๋อร์ใจเย็นลงก่อนเจ้าค่ะ นี่เป็นเสือของข้าเอง มูมู่เป็นเด็กดีไม่ทำร้ายพี่ฟางเอ๋อร์แน่ หายใจลึกๆ เจ้าค่ะ” เยว่ชิงและเผิงจูรีบเข้าไปประคองฟางฟางเอาไว้ เพราะกลัวว่านางจะเป็นลมล้มพับลงไป

“สะ เสือเจ้าหรอกหรือน้องเยว่ชิง มะ มันจะไม่กัดพี่ใช่หรือไม่”

“ไม่กัดแน่เจ้าค่ะ มิมีสิ่งใดแล้ว พวกเจ้าไปทำงานกันเถิด” เยว่ชิงเอ่ยตอบฟางฟาง แล้วจึงหันไปบอกบ่าวรับใช้ให้กลับไปทำงาน

“อันใดกัน เสียงกรีดร้องของผู้ใด ดังแสบหูเสียจริง อึก!” หมิงยู่ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากลานฝึกซ้อมของน้องสาวก็รีบมาดู จึงได้พบกับหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่เคียงข้างน้องสาว

“ข้ามิได้กรีดร้องเสียงดังถึงเพียงนั้นนะ” ฟางฟางเอ่ยออกไปแผ่วเบา หวังลบล้างเรื่องอับอายที่พึ่งเกิดขึ้น นางจะมาเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ แต่กลับกรีดร้องเสียงหลงเพราะกลัวเสือเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ฮื่อออออ

“เหอะ เสียงดังลั่นเรือนขนาดนี้ ยังว่าไม่ดังอีกหรือ…ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ใด เข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร” หมิงยู่เอ่ยถามหวังสืบความจากหญิงสาวตรงหน้า

“พี่รองอย่าได้เสียมารยาท นี่คุณหนูลั่วฟางฟางเป็นสหายของพี่ใหญ่ นางจะมาเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ให้กับเยว่ชิง”

“อาจารย์…กรีดร้องจนเสียงหลงเช่นนี้จะไหวหรือ หากถูกมูมู่คำรามใส่นางจะไม่เป็นลมเป็นแล้งไปหรอกหรือ” หมิงยู่ยิ้มเยาะอย่างท้าทายจนคนฟังอย่างฟางฟางถึงกับโมโห

“ข้าเพียงตกใจเพราะพึ่งจะเคยพบกับมูมู่เท่านั้น นานวันเข้าก็คุ้นชิน น้องเยว่ชิงพี่ว่าเรามาเริ่มฝึกกันเลยดีหรือไม่”

“ดีเจ้าค่ะ พี่ฟางเอ๋อร์ไปเปลี่ยนชุดก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ใส่ชุดของข้าไปก่อน หากใส่ชุดนี้ฝึกซ้อมคงจะเปรอะเปื้อนจนอาภรณ์เสียหายเป็นแน่”

“นั้นสินะ รบกวนเจ้าด้วย” เดิมทีฟางฟางเพียงต้องการมาทำความรู้จักกับครอบครัวสกุลลู่ไว้ก่อน จึงได้สวมอาภรณ์สีชมพูสดใสมา แต่กลับมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นางมิอาจทนให้ตนเองขายหน้ากับคุณชายรองของสกุลลู่ได้ นางจึงอยากแสดงให้เขาเห็นว่านางเป็นอาจารย์ได้ หลังจากที่ฟางฟางเดินตามเผิงจูไปเปลี่ยนอาภรณ์ในเรือน จึงพอมีเวลาให้เยว่ชิงไต่สวนพี่รองของนาง

“เหตุใดจึงไปว่าพี่ฟางเอ๋อร์เช่นนั้นเล่าพี่รอง”

“ก็มันจริงมิใช่หรือ พี่เพียงพูดไปตามที่เห็น” หมิงยู่พยายามหลบสายตาขี้สงสัยของน้องสาว

“หึ ปกติแล้ว แม้พี่รองจะปากเสีย แต่ก็มิเคยต่อว่าผู้ที่เคยพบเจอกันคราแรกเช่นนี้ มิใช่ว่าพี่รองอยากให้พี่ฟางเอ๋อร์จดจำท่านได้หรอกหรือ จึงเอ่ยหยอกนางไปเช่นนั้น” เยว่ชิงกระตุกแขนเสื้อพี่ชายตนเองพลางส่งยิ้มกริ่มไปให้

“อะแฮ่ม! เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าตั้งใจเล่าเรียนก็เพียงพอ…ว่าแต่เจ้าจะเริ่มฝึกซ้อมเลยหรือ ข้าว่าจะมาเล่าเรียนด้วย อย่างไรก็ต้องเสียเงินทองจ้างเขามาสอนเจ้าอยู่แล้ว ให้พี่กับลี่อินมาเรียนด้วยนางคงจะมิมีปัญหากระมัง” หลังจากหมิงยู่พูดจบเยว่ชิงก็หัวเราะร่า เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงด้วย

เพียงพบเจอกันคราแรกก็ถูกตาต้องใจเลยหรือ จิตใจอ่อนไหวเสียจริง

“เจ้าค่ะๆ เช่นนั้นพี่รองก็รีบไปตามพี่สามแล้วรีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เสีย ข้าจะพูดเรื่องนี้กับพี่ฟางเอ๋อร์ให้”

“อืม ขอบใจเจ้ามาก น้องรักของพี่” หมิงยู่เดินมากอดรัดเยว่ชิงเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออกแล้วจึงรีบวิ่งไปเรียกลี่อิน ไม่นานทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ก็เตรียมพร้อม ฟางฟางเริ่มฝึกซ้อมร่างกายให้ลี่อินและหมิงยู่ก่อน เพราะทั้งคู่ยังไม่มีพื้นฐานและร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่สำหรับเยว่ชิงและเผิงจู ฟางฟางให้เริ่มฝึกทักษะการต่อสู้ การยิงธนู และการเร้นกาย เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีพื้นฐานมาจากการเรียนกับเฉินกงบ้างแล้ว

“ท่านอาจารย์ทำเช่นนี้หรือ” หมิงยู่ที่กำลังตั้งท่าฝึกร่างกายเอ่ยถามฟางฟางที่กำลังฝึกให้เยว่ชิงอยู่ ฟางฟางจึงต้องหันกลับมาดูหมิงยู่

“เหยียดแขนให้ตรงกว่านี้ ขาต้องอ้าให้กว้างกว่านี้ด้วย” ฟางฟางจับแขนของหมิงยู่ให้เหยียดตรง ทั้งยังจัดท่าทางให้หมิงยู่อย่างถูกต้อง โดยมิได้รับรู้เลย ว่านี่เป็นแผนการเรียกร้องความสนใจฉบับคุณชายรองสกุลลู่ และหลังจากนั้นเยว่ชิง ลี่อิน และเผิงจูก็มักจะได้ยินเสียงของหมิงยู่ที่เอาแต่เรียกหา ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ อยู่ร่ำไป…

.

.

“ท่านพี่ได้ข่าวคราวเฉินกงบ้างหรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งเอ่ยถามถึงบุตรชายที่ไปร่วมรบกับชนเผ่านอกด่าน ตลอดสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าร้านซิ่งฟู่จะเจริญรุ่งเรืองจนสกุลลู่มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ ทั้งเรือนสกุลลู่ยังมีเสียงหัวเราะของบุตรทั้งสามเคล้าคลออยู่ตลอดเวลา แต่ครอบครัวสกุลลู่ก็ยังมีเรื่องเฉินกงให้กังวลใจอยู่เรื่อยมา

“นั่นสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่เจ้าคะ” หากว่าผู้อื่นกังวลใจอยู่ห้าส่วน เยว่ชิงคงจะกังวลใจอยู่สิบส่วน ด้วยว่าในนิยายเรื่องชะตาร้ายยามที่ลู่เยว่ชิงอายุได้สิบสองหนาว ทัพใหญ่จะต้องเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแล้ว แต่ตอนนี้นางอายุได้สิบสามหนาว พี่ใหญ่ของนางยังไม่กลับมา ทั้งที่เหตุการณ์ที่พี่สามป่วยก็ตรงกับช่วงอายุที่ในนิยายได้กล่าวไว้

“ทำศึกจะส่งจดหมายมาได้อย่างไรเล่า แต่พ่อได้ข่าวว่าแม่ทัพใหญ่ได้ทำการปราบชนเผ่านอกด่านจนสิ้นแล้ว ทั้งบัดนี้แคว้นหลงก็ได้ถอนกำลังทหารออกจากชายแดนทางใต้ของเราไปแล้ว อีกไม่กี่เดือนทัพใหญ่คงจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวง” คำบอกเล่าของบิดามิได้ทำให้เยว่ชิงเบาใจลงได้เลย ให้หัวเฝ้าคิดแต่เพียงว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มจะไม่ตรงตามเวลาที่นิยายได้กล่าวไว้

หรือว่าจากนี้…เรื่องราวจะเปลี่ยนไปแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   19. รอคอยอย่างมีหวัง

    “ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบุตรชายคนโตที่จะต้องไปเข้าร่วมกองทัพ“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ท่านพ่อขอรับ ข้าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ให้กับน้องเล็กต่อนะขอรับ สหายของข้านางเป็นบุตรสาวเศรษฐีสกุลลั่ว” เยว่ชิงยกยิ้มอย่างดีใจ หากพี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ท่านพ่อมิมีทางคัดค้านเป็นแน่ แม้ว่าเยว่ชิงจะมีทักษะการต่อสู้ที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อน แต่สิ่งที่นางได้เรียนรู้จากพี่ชายคือการหลบหลีกแฝงกาย ซึ่งต่างจากชีวิตก่อนของนาง ที่คุณพ่อมักจะให้นางเรียนการต่อสู้ซึ่งหน้ามากกว่า“อืม เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ให้เยว่ชิงฝึกไว้ก็ดีเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยตอบรับบุตรชาย พลางเข้าไปตบบ่าบุตรชายเบาๆ“ท่านพ่อ ท่านแม่ รักษาตัวด้วย…พวกเจ้าดูแลกันให้ดี พี่ฝากดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” เฉินกงก้มคำนับบิดามารดาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับน้องทั้งสาม“พี่ใหญ่เองก็รักษาตัวด้วยนะขอรับ”“มิต้องเป็นห่วงไป พี่ร่ำเรียนกับอาจารย์มาอย่างตั้งใจ พี่จะช่วยให้แคว้นของเราชนะศึกครานี้ แล้วกลับมาหาพวกเจ้าอย่างปลอดภัย”“เยว่ชิงเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจกับรู้สึกบีบรัดและ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   18. จดหมายเรียกตัว (2)

    “พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง“ใช่แล้ว พี่เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ครบถ้วนหมดแล้ว จนท่านอาจารย์ไล่พี่กลับเรือนนี่อย่างไร” เยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ ตลอดสามหนาวท่านแม่ได้สอนการบ้านการเรือนให้กับนาง จนนางไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมดาบ มูมู่เองก็คงเบื่อหน่ายที่นางมิมีเวลาไปเล่นด้วย แต่เมื่อพี่ใหญ่กลับมาครานี้นางจะให้เขาสอนวิชาให้เสียหน่อย สอนมูมู่และเสี่ยวจูด้วย“เช่นนั้นพี่ใหญ่สอนข้าได้หรือไม่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน จนทุกคนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้“หึๆ ย่อมได้ น้องรองกับน้องสามจะมาฝึกซ้อมด้วยกันหรือไม่”“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงนักขอรับ แหะๆ”“ส่วนข้าจะไปดูแลกิจการยามที่เยว่ชิงฝึกซ้อมเอง” ทั้งลี่อินและหมิงยู่ต่างเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที จนเฉินกงอดหัวเราะออกมามิได้“เอาเถิดๆ เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด แม่ทำความสะอาดรอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ มิมีฝุ่นผงแม้แต่น้อย”“ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ขอรับ” ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เยว่ชิงแวะไปเล่นกับมูมู่อยู่พักใหญ่แล้วจึงเข้าครัวช่วยท่านแม่จัดการเรื่องมื้อเย็น หลังจากจัดเตรียมอาหารเ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   17. จดหมายเรียกตัว (1)

    “คุณหนูเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เผิงจูวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาเรียกเยว่ชิงในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ เยว่ชิงที่บัดนี้ย่างเข้าวัยสิบหนาวเริ่มฉายแววงามล่มเมืองตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น“มีอันใดหรือเสี่ยวจู เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้” เยว่ชิงและหมิงยู่เงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน“ดะ ด้านนอก มีนักเลงยกพวกตีกันหน้าร้านเราเจ้าค่ะ พี่เผิงจงเข้าไปห้าม แต่กลับโดนทุบตีจนเลือดอาบหน้าแล้วเจ้าค่ะ ฮื่อออ” เผิงจูพูดไปก็ร้องไห้ไป เดิมนางคิดจะเข้าไปช่วยพี่ชาย เพราะนางเคยฝึกต่อสู้กับคุณหนูมาบ้าง แต่เผิงจงกลับสั่งให้นางรีบมาแจ้งคุณชายกับคุณหนู“พวกนักเลงหัวไม้อีกแล้วหรือ หากข้าวของข้าเสียหาย ข้าจะฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!!!” เยว่ชิงเดินไปหยิบหน้ากากและดาบไม้ที่นางใช้ฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วรีบสาวเท้าออกไปหน้าร้านทันที“ดะ เดี๋ยวๆ เยว่ชิง! เจ้าใจเย็นๆ ก่อน รอข้าด้วย” หมิงยู่รีบวิ่งตามน้องสาวไป หากว่าเยว่ชิงมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่น นางต้องโดนลงโทษเหมือนคราที่นางเข้าไปชกต่อยกับพวกนักเลงเป็นแน่เด็กหญิงวัยสิบหนาวที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มือขวาถือดาบชี้ไปที่นักเลงพวกนั้น มิมีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย“หากพว

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   16. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (2)

    “คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   15. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (1)

    “นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   14. อาการป่วย

    “พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status