“ เจ้านายครับใกล้ได้เวลาแล้วครับ ” ทัชบอกเจ้านายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมสนามพร้อมหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง
“ อืม รู้แล้ว ”
“ คุณมินตราครับ เชิญตามผมมาทางนี้ครับ ”
มินตราจู่ๆขาก็แข็งก้าวไม่ออกซะงั้นเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ถูกสร้างจำลองเหตุการณ์แต่กลับเป็นเหมือนสถานการณ์จริงแถมรอบๆที่ดูน่ากลัววังเวง เริ่มตกเย็นแล้วด้วยเพราะก่อนลงสนามนี่เขาก็บอกกติกาและวิธีการเล่นก็เสียเวลาไปนานพอสมควร
“ คุณเป็นอะไรรึเปล่ามิน ” เขาถามเมื่อเห็นเธอหน้าซีดเล็กน้อย
“ ปะเปล่าค่ะ ”
“ คุณไปเตรียมตัวตัวสิ ผมจะไปส่ง ” ภวิชกล่าวขึ้น
“ มาสิมิน ” เขาเร่งเมื่อเธอไม่ยอมเดินตามมา
“ คะ ” ระหว่างทางที่เดินไม่มีการพูดคุยกันภวิชลอบมองสีหน้ากังวลของเธออยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เห็นเธอจะเอ่ยปากอะไรกับเขาเมื่อถึงแท่นแสตนที่มีเสาอยู่ต้นนึง
แสตนสูงที่ทำจากเหล็กมินตราพยายามทำใจให้กล้าอย่าไปกลัวมันก็แค่เกมส์
“ ถ้างั้นผมไปประจำที่ก่อนนะ ”
“ ดะเดี๋ยวค่ะ มันเป็นแค่เกมส์ใช่ไหมไม่อันตรายใช่ไหมคุณจะมาช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม ” เธอคว้าแขนของเขาไว้ทันทีที่เขาหันหลังจะก้าวกลับไปทางเดิมภวิชมองมือบางเล็กที่จับแขนเขาไว้พร้อมพยักหน้า
“ อืมแน่นอนผมต้องช่วยคุณอยู่แล้ว ”
“ งั้นสัญญามาก่อน ว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันห้ามผิดคำพูดด้วย!! ”
เธอชูนิ้วก้อยข้างขวาขึ้นมายื่นไปหาภวิชเขายิ้มบางๆส่ายหัวแววตาที่จริงจังของเธอท่าทางที่เหมือนเด็กทำเอาเขาอยากเก็บไปไว้ที่บ้านไม่อยากเห็นเธอทำแบบนี้กับใคร
“ ไม่เอาน่ามินทำเหมือนเด็กไปได้คุณอย่ากังวลนักเลยมันก็แค่เกมส์เอง ” มินตราเองถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเกมส์แต่เหตุการณ์ที่เคยผ่านมากับครอบครัวเธอมันก็หวั่นไม่น้อย เธอแค่อยากมั่นใจว่าเธอจะปลอดภัยขอแค่เขายืนยันให้ได้ความมั่นใจเท่านั้นมันรู้สึกแปลกที่เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขาเหมือนเขาเป็นที่พักพิงให้กับเธอได้ การเป็นพี่สาวคนโตต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบมากมายในบางครั้งมันก็เหนื่อยนะ ทุกคนอาจจะมองว่าเธอเก่งและดูแลตัวเองได้แต่คนเหล่านั้นอาจจะลืมไปว่าเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนนึงที่อยากอ่อนแออยู่ในอ้อมแขนของใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ เธอคิดว่าภวิชคือคนที่ทำให้เธอรู้สึกได้แบบนั้นแต่เมื่อคิดได้ว่า
การขอคำสัญญาแบบนั้น ใครเขาจะกล้าทำหล่ะเกี่ยวก้อยกันเป็นเด็กเธอบ้า
หล่ะมั้งไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อยนี่นาคิดได้อย่างนั้นมือน้อยก็ค่อยๆลดลงเธอก้มหน้าลงมองพื้นหายใจเข้าออกลึกๆอีกครั้งแล้วหันหลัง
“ เดี๋ยว!! ” ภวิชพูดเสียงยาวเล็กน้อย พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของมินตราดึงเธอให้หันมามองหน้าเขาพร้อมเปลี่ยนบทบาทที่จับมือนั้นค่อยแปรเปลี่ยนเลื่อนลงเป็นเกี่ยวก้อยทันเวลาที่เธอหันมาพอดีนิ้วหัวแม่มือเขาแปะโป้งไปที่หัวนิ้วโป้งของเธอ
นั่นหมายถึงการมั่นคงและเชื่อใจนิ้วก้อยเกี่ยวกับเธอไว้
“ ผมสัญญา ” ภวิชกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงยืนยันให้เธอมั่นใจ
“ ไว้ใจผมไหม? ” เขาถาม มินตราพยักหน้า
“ ค่ะ ”
“ อืม ไม่ต้องกลัวนะ ” เขาปลอบเธออีกครั้ง ภวิชค่อยๆปล่อยมือที่ให้สัญญากับเธอเสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำการเล่นก็ดังขึ้น
“ คุณภวิชครับฝ่ายตรงข้ามพร้อมแล้วครับอีกห้านาทีเราจะเริ่มเกมส์แล้วนะครับ ”
“ ครับผมจะรีบไป ” ภวิชหันมาอมยิ้มให้เธออีกครั้งพร้อมจะผละออกไป
“ ฉันจะรอคุณนะคะ ”
“ คุณมินตราครับเชิญทางนี้ครับใกล้ได้เวลาแล้วครับ ” เจ้าหน้าที่อีกคนบริเวณพื้นที่นั้นกล่าวขึ้น
“ ค่ะ ” ภวิชงงงวยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วใจเต้นดังโครมครามเมื่อสัมผัสได้กับมือบางเล็กที่โอบกอดเขาจากด้านหลังเมื่อเขาจะก้าวเดินคำพูดว่าจะรอเขาดังก้องในหูถึงแม้เธอจะไม่ได้อยู่ใกล้กับเขาแล้วเวลานี้ก็ตาม ภวิชยกมือด้านขวาที่ให้สัญญากับหล่อนไปแล้วลูบที่ยิ้วก้อยก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเพื่อไปยังจุดที่เขาต้องเตรียมตัวแปลกใจตัวเองที่ทำท่าเหมือนรักแรกรุ่น
“ โอ้โหวสายชลนายเห็นอะไรป่าวว่ะ ” กฤษส่งเสียงถามสายชลที่กำลังยัดปืนลงเหน็บตรงกางเกงสายชลยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่ากฤษกำลังแซวเจ้านายหนุ่มที่กำลังวิ่งมาใกล้พวกเขารอยยิ้มกว้างที่เห็นมาแต่ไกล
“ อะไรล่ะ? ” สายชลยิ้มแล้วต่อประโยคคำถามให้เพื่อนรับมุขต่อ
“ ดูท่าฟ้าฝนจะตั้งเคล้ากระหน่ำตกไม่น้อย เจ้านายเรายิ้มกว้างขนาดนี้เห็นทีคงมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติกระมัง ” เสียงทัชรับช่วงต่อจากคำถามสายชลเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้งซึ่งเจ้านายหนุ่มแน่นอนว่าได้ยินมันทุกประโยคเพราะกฤษตั้งใจพูดให้เจ้านายหนุ่มรู้
“ ปากดีกันนักนะ ฉันจะยิ้มจะหัวเราะไม่ได้บ้างเลยรึไงเดี๋ยวจะตัดเงินเดือนให้หมด ”
“ ฮ่าๆๆป่าวคร้าฟเจ้านายย นี่ผมเพิ่งรู้นะครับว่าเดี๋ยวนี้เจ้านายเขินแล้วงก ฮ่าๆๆ ”
“ ไอ้กฤษ! ” เขาเรียกเสียงดังทั้งวาดเท้าจะเต๊ะลูกน้องสักป้าปแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม โชคเข้าข้างไปที่กฤษหลบทันแม้จะรู้เจ้านายจะเต๊ะเล่นแต่ถ้าหากโดนเข้าไปมันคงเจ็บไม่ใช่เล่นเหมือนกัน