บทนำ
ทะเลโลหิตเจิ่งนองเบื้องหน้า เสียงตะโกนร้องขอความเป็นธรรมปะปนกับคำด่าทอรุนแรงดังไปทั่วลานกว้างของจวนแม่ทัพ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นลานประหารชั่วคราว เสียงดาบแหวกอากาศช่างคุ้นหูเมื่อคนที่คุกเข่าส่วนใหญ่ต่างเคยแหวกว่ายอยู่ในสมรภูมิอย่างยาวนาน เปลี่ยนไปเพียงเวลานี้ผู้ที่ต้องเตรียมรับคมอาวุธของพวกเดียวกันหาใช่ศัตรู
“ทำพวกเจ้าลำบากแล้ว” โม่ซือเฉินกล่าว
“ท่านแม่ทัพ” หวังหย่งซึ่งถูกคุมตัวอยู่ไม่ห่างพึมพำ เขาจงรักภักดีติดตามอีกฝ่ายมาทั้งชีวิต “ตามท่านไปปรโลกไม่นับว่าลำบากอันใด”
กายสูงหลับตาก่อนหัวเราะเสียงดังราวได้ฟังเรื่องชวนขบขัน เวลานี้ไม่มีสิ่งใดน่าขบขันไปกว่าความโง่เขลาของตนอีกแล้ว หากต้องการเยาะเย้ยตนเองสักครั้งก่อนลาโลกจะมีใครกล้าขัดขวางอย่างนั้นหรือ
“แม่ทัพโม่” คนในชุดเกราะอ่อนกล่าวกับโม่ซือเฉินซึ่งคล้ายเสียสติไปแล้ว “มีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่ ตราบใดไม่ใช่การเนรคุณหรือกระทำเรื่องชั่วร้ายเลวทรามผิดต่อบ้านเมือง ข้ายินดีช่วยเต็มกำลัง”
ครั้นหัวเราะจนพอใจ ผู้ถูกถามถึงชำเลืองมองทหารสองนายที่กดไหล่ตนให้คุกเข่า
แม่ทัพว่านหรือว่านหมิงจวินเข้าใจในทันที เขาโบกมือสั่งลูกน้องถอยหลังไป ปล่อยแม่ทัพโม่ลุกยืนยืดกายเต็มความสูง
“แม่ทัพว่าน ข้ากับเจ้าออกศึกร่วมกันมาไม่น้อย น้ำใจครั้งนี้ข้าไม่อาจรับไว้ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจแต่เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ข้าปรารถนาเจ้าไม่มีวันทำได้”
โม่ซือเฉินใคร่เห็นความพินาศของคนสารเลวผู้นั้น ปรารถนาให้หายนะเกิดจากน้ำมือของเขาเอง
ว่านหมิงจวินถอนหายใจยาว ต่อให้เขากับโม่ซือเฉินไม่อาจนับได้ว่าเป็นสหายรัก กระนั้นผ่านคมหอกคมดาบมากมายมาด้วยกัน ยังถือเป็นมิตรภาพน่าชื่นชม ระหว่างพวกเขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางส่วนตัว ทว่าการลงโทษคนสกุลโม่ในจวนแม่ทัพครั้งนี้เป็นราชโองการจากเบื้องบน เขาไม่อาจทัดทานได้ จำต้องตัดใจก้มหน้าทำตาม
“เรื่องที่ข้าจะรบกวนเจ้ามีแค่-”
“ท่านแม่ทัพ” ลูกน้องของว่านหมิงจวินก้าวมาเร็ว ๆ ก่อนประสานมือ แววตาปรากฏความยุ่งยากใจชัดเจน “บ่าวสกุลไป๋มาขอร้องอยู่หน้าประตู บอกว่าเจ้านายอยากพบหน้าโม่ซือเฉิ…พบแม่ทัพโม่เป็นครั้งสุดท้าย”
คนรายงานกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสายตาสบเข้ากับโม่ซือเฉินโดยบังเอิญ แววตาคมกริบเย็นเยือกนั่นทำเอาชื่อแซ่ที่ขานออกมาถูกกลืนลงคอ เปลี่ยนเป็นการเรียกอย่างให้เกียรติดังเดิม
ว่านหมิงจวินเตรียมสั่งทหารไปไล่ พวกเขาปิดประตูลงดาลสังหารคนตามราชโองการ เบื้องบนกำชับให้ทุกอย่างรัดกุมและรวดเร็วด้วยไม่ปรารถนาให้ข่าวแพร่ออกไปเร็วนัก นึกไม่ถึงกลับมีคนรู้เข้าจนได้
“ผู้ใดมา” โม่ซือเฉินเอ่ยถาม
ทหารนายนั้นมีท่าทางละล้าละลัง รอกระทั่งว่านหมิงจวินพยักหน้าให้พูด “ตอบแม่ทัพโม่ไปตามจริง”
“บ่าวสกุลไป๋แจ้งว่าคนบนรถม้าเป็นคุณหนูของพวกเขา”
หวังหย่งกับผู้ติดตามที่เหลือของโม่ซือเฉินลอบมองหน้ากัน พวกเขาถูกคุมตัวคุกเข่าบนพื้น ไม่อาจเห็นสีหน้าท่านแม่ทัพซึ่งยืนหันหลังอยู่ได้ เนิ่นนานหลายอึดใจจวบจนเสียงร้องขอชีวิตจากสาวใช้บนลานอีกสิบกว่าคนถูกประหาร แม่ทัพผู้เคยนำความเกรียงไกรมาสู่บ้านเมืองพลันถอนหายใจ
วันสุดท้ายของชีวิต ไร้เงาภรรยาข้างกาย ไม่มีทายาท ซ้ำสร้างมลทินแก่วงศ์ตระกูล ทำคนอื่นเดือดร้อน ผู้ติดตามเขาไปมีเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาแสนซื่อสัตย์กลุ่มหนึ่ง นึกไม่ถึงสตรีผู้นั้นยังสู้อุตส่าห์มาขอพบ โม่ซือเฉินไม่ทราบว่านางรู้เรื่องในคืนนี้ได้อย่างไร
“แม่ทัพว่าน”
ว่านหมิงจวินเงียบ รอฟังอย่างตั้งใจ
“นี่คือคำขอสุดท้ายของข้า…”
รถม้าสกุลไป๋จอดอยู่หน้าประตูจวนแม่ทัพมาครู่ใหญ่ ถนนด้านหนาเงียบสงัด ร่างสมส่วนเกาะขอบหน้าต่างด้วยใจจดจ่อ เผลอกัดริมฝีปากจนเลือดซึม นัยน์ตาดอกท้อคู่งามจับจ้องบนประตูสีเข้มไม่วางตา กระทั่งมันถูกเปิดจากด้านใน ว่านหมิงจวินยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายลงมาสนทนาด้านล่างเพื่อความปลอดภัยของตัวนางเอง
เมื่อดวงอาทิตย์ฉายแสงตรงขอบฟ้าบ่งบอกถึงวันใหม่ ความโหดร้ายชวนหดหู่ในสถานที่แห่งนี้จะถูกเล่าขานให้ผิดแผกไป ความจริงเป็นเช่นไรว่านหมิงจวินเองไม่กระจ่างเช่นกัน ทว่าเพื่อความอยู่รอดของสกุลว่าน เขาไม่อาจไม่ทำหน้าที่ยามได้รับมอบหมาย อย่างไรเสียเหตุการณ์นองเลือดคืนนี้เป็นคำสั่งจากท่านผู้นั้นซึ่งผ่านความเห็นชอบของขุนนางใหญ่หลายคน
“แม่ทัพว่าน”
ชายหนุ่มในชุดเกราะอ่อนผงกศีรษะหนหนึ่งตามมารยาทเขาทราบดีว่านางเป็นใคร ต่อให้ตนไม่ค่อยพำนักอยู่เมืองหลวง ยังพอจดจำใบหน้าลูกหลานขุนนางใหญ่ได้พอสมควร
“นี่คือคำขอสุดท้ายของเขา ข้าอยากให้ท่านเปิดดูตามลำพัง”
ไป๋อวี้เสวียนพยักหน้า ยื่นมือรับห่อผ้าขนาดเล็กด้วยตนเอง
ต่อให้แววตาไหววูบสักเพียงใด ยังบังคับสุ้มเสียงให้เรียบเรื่อยดังปกติ ฝืนปกปิดความสะเทือนใจ “ร่างของแม่ทัพโม่เล่า”
“ดึกมากแล้ว คุณหนูไป๋รีบเดินทางกลับเถิด”
ว่านหมิงจวินตัดบทด้วยการไล่อย่างสุภาพ หมุนกายกลับเข้าไปด้านใน
คล้อยหลังเขาประตูใหญ่ถูกปิดลงอีกครั้ง สาวใช้กับบ่าวชายที่ติดตามคุณหนูมาได้กลิ่นคาวเลือนชวนคลื่นเหียนโชยมาตามลมวูบหนึ่งยามทหารเฝ้ายามหับบานประตู
เสียงดังตึงไม่เบานั่นราวตัดขาดโลกภายนอกกับนรกบนดินด้านในออกจากกันโดยเบ็ดเสร็จ
“พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ” คนฟังตอบรับเบา ๆ แล้วปิดหน้าต่าง
ไป๋อวี้เสวียนจำไม่ได้ว่าตนเองกลับถึงสกุลไป๋ยามอะไร หรือผู้ใดเป็นคนประคองลงจากรถม้าเพื่อกลับเรือน
นางจำได้แค่ตนเองนั่งมองสิ่งที่ได้รับมาอยู่ค่อนคืน ภายใต้แสงเทียนปลายนิ้วเรียวลูบไล้ห่อผ้าขนาดเล็กเบานัก คล้ายเกรงว่ามันอาจฉีกขาดหรือของด้านในจะบุบสลาย ครั้นเปิดผ้าไหมสีอ่อนลื่นมือออกดู ภายในพบแหวนหยกดำสนิทเนื้อดี ด้านนอกของแหวนอุณหภูมิต่ำกว่าด้านในซึ่งสัมผัสและซึมซับไอกายของผู้สวม
ไป๋อวี้เสวียนเม้มริมฝีปากจนซีดขาว น้ำตาซึ่งเพียรกลั้นเอ่อล้นขอบตานอกจากแหวนหยก บนผ้าด้านในยังปรากฏอักษรเลือดแสนบาดใจ
‘คนผู้นั้นรื้อสะพานทิ้ง[1]เสียแล้ว อย่าได้ดื้อดึงพยายามว่ายข้ามมา ข้าที่อยู่ฝั่งนี้ขออวยพรให้เจ้าพบเจอผู้ที่เพียบพร้อม ได้สร้างครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไป๋อวี้เสวียนหากย้อนเวลาได้ขอให้เจ้าไม่ต้องพบเจอบุรุษเช่นข้า’
เมื่อครู่ เมื่อครู่แหวนหยกดำวงนี้ยังอยู่บนนิ้วของโม่ซือเฉินแท้ ๆ เมื่อครู่เขายังมีลมหายใจ
ร่างบนเตียงคู้กาย มือกอดทั้งแหวนและผ้าไหมแนบอก ราวกับปรารถนาให้มันหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไหล่บอบบางสั่นสะท้าน สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อย มิอาจสะกดกลั้นเสียงคร่ำครวญอีกต่อไป
ฝันหรือตื่นไม่สำคัญ รักหรือชิงชังหาได้ใส่ใจ ขอเพียงได้เห็นโม่ซือเฉินอยู่ในสายตา
โม่ซือเฉิน…ไม่ว่าชาติภพใดข้าไป๋อวี้เสวียนไม่เคยเสียใจที่ได้พบท่าน
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน หมายถึงเมื่อกระทำการใดสำเร็จลุล่วงก็กำจัดคนที่ช่วยเหลือทิ้ง โดยในข้อความที่โม่ซือเฉินเขียนอ้างอิงถึงสำนวนนี้เพื่อบอกความนัยเกี่ยวกับการถูกประหารของตน ขอให้ไป๋อวี้เสวียนไม่ต้องเอาตัวเองมายุ่งเกี่ยว นอกจากนั้นยังเปรียบเปรยว่าเมื่อสะพานถูกรื้อแล้ว ทั้งสองจึงอยู่คนละฝั่ง ในที่นี้หมายถึงฝั่งคนเป็นและคนตาย