บทที่สี่ บุปผาเบ่งบาน (1/2)
จะตีสุนัขที่มีบิดาเขาเป็นเจ้าของไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งโม่เทียนฉินลำเอียงเข้าข้างคนของตัวเองยิ่งกว่าอะไร ทว่าการไล่ตีทีละตัว ไม่ผลีผลามพยายามจัดการทั้งหมดในคราวเดียวก็มิใช่เรื่องยากเช่นกัน
ภายในสกุลโม่แห่งนี้ไม่ต่างจากหลังบ้านของเรือนไหน ๆ ในเยว่หยาง การตกรางวัลหรือลงโทษผู้กระทำผิดทั้งเบาและหนัก ล้วนเกิดขึ้นอยู่แทบทุกวัน ผู้น้อยส่วนใหญ่ได้ดีหรือมีชะตารันทดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้านายที่ตนรับใช้ หากคนผู้นั้นไม่เอาไหนหรือล้มหายตายจากไปเสียก่อน ย่อมต้องหาขาข้างใหม่ไว้ยึดถือพึ่งพิง
ซินเถาเป็นบ่าวที่จงรักภักดีต่อฟางอี๋เหนียง ขณะเดียวกันยังมีสาวใช้รวมถึงบ่าวบางคนคอยเป็นสายให้แก่อนุคนโปรดผู้นี้ มีทั้งแบบรับสินบนแล้วช่วยเหลือเป็นครั้งคราว อีกทั้งมีประเภททำดีประจบเอาใจเพราะมองว่าต่อให้มิได้ตำแหน่งโหวฟูเหริน ฟางอี๋เหนียงยังคงมีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของโม่เทียนฉินไม่น้อย ส่วนบ่าวเหล่านั้นจะเป็นใครบ้าง โม่ซือเฉินล้วนทราบดี แค่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไล่จัดการทุกคน
สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป ความแค้นยิ่งใหญ่ยังรอให้สะสาง นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้ว คนเหล่านี้ถือว่าให้โอกาสหนึ่งครั้ง เว้นเสียแต่ยื่นมือข้ามเส้นที่เขาขีดไว้
เพียะ!
“บ่าวผิด ผิดไปแล้ว โอ๊ย!”
เสียงฝ่ามือกระทบหน้าดังติดต่อกันนานพอสมควร โม่กุ้ยหลันยืนประสานมือ สายตาเรียบเฉยยามมองคนสนิทอนุของพี่ชายถูกสาวใช้รุ่นใหญ่ในเรือนยึดกายไว้และผลัดกันลงโทษ
“ซินเถาเจ้าใจกล้าถึงขั้นแอบฟังเจ้านายสนทนา หรือมีผู้ใดใช้เจ้ามากันแน่”
น้ำเสียงอาหญิงของโม่ซือเฉินทำเอาทุกคนในบริเวณรู้สึกครั่นคร้าม คงมีแค่โม่ซือเฉินที่รู้สึกคิดถึงกิริยาเด็ดขาดเช่นนี้ของสตรีผู้เลี้ยงดูตนมา
แขกจากสกุลเฮ่อกลับไปได้ราวครึ่งชั่วยาม[1]แล้ว ต้นยามเฉิน[2]วันมะรืนคุณชายใหญ่และคุณชายรองโม่จะเดินทางไปพักที่จวนเจิ้งเป่าโหวเพื่อฝึกฝนวิชาทางทหาร
“สงสารนาง?” โม่ซือเฉินเอ่ยถามหวังหย่งซึ่งจ้องตาไม่กะพริบ
หวังหย่งส่ายหน้า “บ่าวเพียงคิดว่าหลังจากนี้ใบหน้าพี่ซินเถาคงบวมเหมือนหัวหมูเป็นแน่ ว่าแต่ท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าจะมีคนมาแอบฟังอยู่หน้าประตู”
เด็กชายฟังคำถามพลันมุมปากกดลึกลง ส่งให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูมีชีวิตชีวา ขัดแย้งกับบรรยากาศเบื้องหน้าโดยสิ้นเชิง
“นายกับบ่าวนิสัยไม่ต่าง ดูเหมือนความสอดรู้สอดเห็นจะส่งผ่านถึงกันได้ ข้าให้เจ้าคอยจับตาพวกนางเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้”
โม่ซือเฉินมิอาจบอกคนสนิทว่าตนเคยประสบพบเจออะไรบ้าง ยิ่งเล่าไม่ได้ว่านี่คือโอกาสในการชำระแค้น ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วย นอกจากอากัปกิริยาซึ่งเปลี่ยนไปพอสมควร เขายังอธิบายกับหวังหย่งว่าฟางอี๋เหนียงมีเจตนาไม่ดีต่อเขากับพี่ใหญ่ ต้องระวังตัวให้ดี ดังนั้นต่อให้หวังหย่งไม่เคยสู้รบตบมือหรือพบเจอเล่ห์เหลี่ยมใดยังเข้าใจจุดนี้ถ่องแท้ จากการกระทำแสนลำเอียงที่ผ่านมาของท่านโหว มีผู้ใดในจวนบ้างไม่ทราบว่าอนุฟางได้รับการให้ท้ายจนเคยตัว วางอำนาจบาดใหญ่ใส่บ่าวไพร่ หวังหย่งตระหนักว่านอกจากผู้เป็นย่า อาหญิง และพี่ชาย เจ้านายของตนก็ไม่มีใครอีก
“ข้าจะไปที่คอกม้า เจ้ากลับไปช่วยสาวใช้ในเรือนเก็บของ ส่วนตำราประเดี๋ยวข้ากลับไปจัดการเอง”
“ขอรับ คุณชายนั่น-”
หวังหย่งมองเลยไปทางด้านหลัง โม่ซือเฉินจึงหันตาม พบร่างคุ้นเคยของใครบางคนเร่งฝีเท้าผ่านประตูเชื่อมสวนจนแทบกลายเป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
คุณชายรองโม่แสร้งก้าวไปดักฟางอี๋เหนียงไว้ นางชะเง้อคอมองซินเถาก่อนดึงสายตากลับมายังเด็กชายตรงหน้า
“ฟางอี๋เหนียงจะรีบไปไหนหรือ”
“ข้ากำลังรีบ คุณชายรองโปรดหลีกทาง” ตอนมีสาวใช้ไปแจ้งที่เรือนว่าคนสนิทโดนจับได้ว่าแอบฟังเจ้านาย เวลานี้กำลังถูกลงโทษอยู่เรือนหน้า นางตกใจไม่น้อย รีบมาดูด้วยตนเองให้เห็นกับตา ครั้นได้ยินเสียงวิงวอนของซินเถาแว่วมาจากลานว่างพลันตื่นตระหนก
โม่ซือเฉินไม่เพียงไม่ถอย ยังเอ่ยต่อ “ได้ยินท่านอาบอกว่าพวกสอดรู้เก็บไว้ในเรือนไม่ได้ ต้องลงโทษและขับออกไปให้พ้น ดูเหมือนซินเถาจะยอมสารภาพด้วยว่า-”
“สารภาพ? สารภาพอะไร”
ต่อหน้าเด็กชายฟางอี๋เหนียงย่อมไม่ระวังกิริยา นางเผลอจิกมือตนเองใต้เสื้อคลุมสีอ่อน ถึงไว้ใจบ่าวหญิงซึ่งรับใช้ใกล้ชิดสักเพียงใด ยังอดหวั่นไหวไม่ได้เนื่องจากความลับและการกระทำไม่สมควรมากมายซินเถาเองทราบโดยละเอียด
“สารภาพในเรื่องที่ควรสารภาพ” ผู้พูดเล่นลิ้นอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าปราศจากอารมณ์แต่แววตาฉายความสนุกสนาน “ไม่ว่าในอดีตหรือเรื่องวันนี้ ซินเถาล้วนบอกท่านอาทั้งหมด โอ๊ะ”
หวังหย่งพุ่งไปหาโม่ซือเฉินเมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกฟางอี๋เหนียงเดินกระแทกจนเซ ทว่าไม่ทันแตะตัวอีกฝ่ายกลับยืนได้มั่นคง ราวกับเมื่อครู่แกล้งทำท่าทางไปอย่างนั้น
“คุณชาย” บ่าวเรียกด้วยความห่วงใยแกมไม่พอใจอนุของท่านโหว “เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” โม่ซือเฉินหัวเราะหึ ๆ “ดูเอาเถิด ข้าเพียงหย่อนเบ็ดลงไปนางก็รีบงับเสียแล้ว ไม่ทันดูให้ดีกลับร้อนตัวจนนั่งไม่ติด”
คนฟังเกาแก้ม เลียบเคียงถามด้วยความอยากรู้ “ท่านจงใจไม่อธิบายเพื่อให้นางเข้าใจผิดพี่ซินเถา?”
โม่ซือเฉินตอบ “ใช่ จำเอาไว้ว่าวันหน้าไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สำคัญคือต้องได้ยินจากปากข้า ส่วนข้าเองก็เช่นกัน หากมิใช่ได้ยินเจ้าพูดด้วยสองหูจะไม่เชื่อผู้อื่นเด็ดขาด”
หวังหย่งรับคำขณะเดินไปส่งคุณชายของตกหน้าคอกม้าแล้วย้อนกลับไปยังเรือนนอนของโม่ซือเฉินเพื่อช่วยพวกสาวใช้เก็บข้าวของจำเป็นเตรียมนำติดตัวไปสกุลเฮ่อ พักหลังคุณชายรองมักแวะไปคอกม้าบ่อย ๆ เขาเองไม่กล้าละลาบละล้วง คำพูดของคุณชายแม้นุ่มนวลขึ้น ทั้งใจดี ไม่เจ้าอารมณ์เหมือนก่อนล้มป่วย ทว่าเขาเชื่อในคำสอนของพ่อบ้านว่าเรื่องของผู้เป็นนาย รู้เท่าที่เจ้านายต้องการให้รู้เป็นพอ
ซินเถามิได้ถูกขับไล่จากสกุลโม่เช่นที่โม่ซือเฉินบอกกับฟางอี๋เหนียง ทว่ายังคงถูกลงโทษตามกฎแบบไม่ผ่อนปรน
ครั้นคิดถึงสีหน้าอวดดีไม่เห็นแก่คำขอร้องของตนเมื่อตอนบ่ายคล้อย ฟางอี๋เหนียงยังรู้สึกแค้นใจไม่หาย นางทำได้เพียงเข่นเขี้ยวขณะส่งตลับยาให้สาวใช้นำไปทารักษาอาการบวมแก่ซินเถา จากนั้นไล่ทุกคนออกไป พอในเรือนเหลือเพียงตนเองลำพัง นางถึงเริ่มก่นด่าโม่กุ้ยหลันอย่างสาดเสียเทเสีย เนื่องจากซินเถาพลาดท่าถูกจับได้ นางจึงไม่รู้ว่าคนสกุลเฮ่อมาเยือนด้วยเหตุใด ทางเดียวคือภาวนาให้คืนนี้คังโหวแวะมาค้างคืนจึงจะสามารถลองเลียบเคียงสอบถามได้
ขณะคิดอะไรเพลินๆ สาวใช้ซึ่งคุ้นเคยกันคนหนึ่งมาเคาะประตูพร้อมแจ้งสิ่งที่ได้รู้มา
เรื่องนี้คงต้องยกเป็นความดีของท่านโหว เงินทองที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความพิศวาสมีใช้จ่ายได้คล่องมือ อีกทั้งบ้านเดิมเป็นตระกูลพ่อค้า ต่อให้ไม่ร่ำรวยติดอันดับทำเนียบคหบดีเมืองหลวง แต่ยังแบ่งปันส่งเงินมาให้ไม่ขาด ฟางอี๋เหนียงถึงสามารถติดสินบนใครหลายคนในสกุลโม่ให้คอยเป็นกำลังเสริมตนได้
“คืนนี้ดูเหมือนท่านโหวจะค้างที่เรือนซูอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
สตรีบนเก้าอี้เลิกคิ้ว “ท่านโหวไม่ไปที่นั่นเกือบเดือนแล้ว จู่ ๆ ไยถึงเลือกค้างคืนกันเล่า”
ผู้ฟังไม่ออกความเห็นแม้คันปากพอสมควร ในใจคิดว่าคนสนิทของเจ้าเพิ่งก่อเรื่องต่อหน้าแขกสำคัญให้ท่านโหวอับอาย มีหรือท่านโหวจะอยากเห็นหน้าเจ้าเวลานี้
“เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าคนสกุลเฮ่อมาทำไม”
“ดูเหมือนเจิ้งเป่าโหวจะมาคารวะเหล่าฟูเหรินเพื่อขออนุญาตพาคุณชายรองกลับไปฝึกที่สกุลเฮ่อพร้อมคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
ฟางอี๋เหนียงประเดี๋ยวมุ่นหัวคิ้ว ประเดี๋ยวหัวคิ้วคลายออก
ข่าวที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
นางส่งสินน้ำใจเล็กน้อยจากนั้นถึงเร่งอีกคนกลับเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นพบเห็น ไม่กี่วันก่อนซินเถาเพิ่งพูดถึงคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในเรือนคุณชายรองเฮ่อ ได้ยินว่าคนผู้นั้นชมชอบเงินทองของมีค่า หากได้รับค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อย่อมยินดีเป็นสายให้นาง
“โม่ซือเฉินเจ้าเด็กสารเลว มารดาจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเอง” เสียงหวานพึมพำ ถ้อยคำขัดแย้งกับน้ำเสียง
เป็นเพราะเด็กบ้านั่นเอาแต่กรอกหูว่าซินเถาสารภาพแล้ว นางถึงเกือบหลุดพูดอะไรต่อมิอะไรให้โม่กุ้ยหลันล่วงรู้ โชคยังเข้าข้างกลบเกลื่อนทันเวลา
หาไม่เกิดแสดงพิรุธออกไปคงมิอาจรอดพ้นสายตานกเหยี่ยวนกกาของอีกฝ่าย
แต่ไปรวมกันอยู่ในสกุลเฮ่อก็ดี ถ้า‘บังเอิญ’มีเหตุสุดวิสัยเกิดกับโม่หรงอี้หรือโม่ซือเฉินแน่นอนว่าคนรับผิดชอบต้องเป็นเจิ้งเป่าโหวซึ่งถูกท่านโหวมองในแง่ร้ายเสมอมา ไม่มีวันสืบสาวมายังตนได้ ฟางอี๋เหนียงคลี่ยิ้ม
นางอาจไม่มีตำแหน่งโหวฟูเหรินทว่านางมีเงิน
ดังนั้นจะใช้ผีสักกี่ตนโม่แป้ง[3]ก็สามารถทำได้
เช้าวันเดินทางไปจวนแม่ทัพ นอกจากคารวะโม่เหล่าฟูเหริน บิดา และท่านอาแล้ว คุณชายทั้งสองยังเข้าไปจุดธูปบอกกล่าวในหอบรรพชน ระลึกถึงท่านปู่ผู้ล่วงลับให้คุ้มครองพวกตนฝึกฝนเล่าเรียนวิชาโดยราบรื่นไร้อุปสรรค
โม่หรงอี้อารมณ์ดี แตะไหล่น้องชาย “พวกเราไปกันเถอะ”
เวลานี้ท้องฟ้าเปิด ไร้เมฆหนาบดบังดวงอาทิตย์ แม้อากาศยังเย็นอยู่ทว่าพอพบแสงแดดจึงกลายเป็นอุ่นสบาย เหมาะสำหรับเดินทาง โม่หรงอี้เลือกขี่ม้าขณะน้องชายนั่งรถม้าตามหลัง
“พี่ใหญ่ พวกเราไปทางฝั่งตะวันออกได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นทะเลสาบจันทรา”
“ทางนั้นมัน…” คำว่าอ้อมไม่ทันถูกเปล่งจากริมฝีปาก น้องชายซึ่งดึงแขนเสื้อเขาเบา ๆ กลับทำโม่หรงอี้ใจอ่อนยวบยาบ มิมีผู้ใดทราบว่าเขาเจ็บปวดเพียงไรตอนเห็นร่างเล็กซูบลงหลังฟื้นจากอาการป่วยครั้งใหญ่ ดีที่แก้มนุ่มฟูราวแป้งนึ่งไม่หายไปด้วย หาไม่เขาและท่านอาคงปวดใจหนักกว่านี้
“ได้ยินว่าถนนเส้นนั้นสวยงามมาก ข้าอยากเห็นสักครั้งขอรับ”
โม่หรงอี้ตรองดูแล้วว่าไม่เสียเวลานัก จึงพยักหน้าและสั่งสารถี
แม้เส้นทางที่โม่ซือเฉินเลือกนั้นอ้อมอยู่บ้าง แต่เทียบกันแล้วถือว่าดีกว่าทั้งในเรื่องทัศนียภาพและความวุ่นวายบนท้องถนนซึ่งมีน้อยกว่าย่านการค้า นานทีถึงจะมีรถม้าวิ่งสวนมา ยามรถเทียมม้าวิ่งผ่านบริเวณที่สถานที่สำคัญบริเวณนี้ หวังหย่งกับบ่าวบางคนพากันอ้าปากค้าง มองทะเลสาบจันทราซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก ยามมองจากกำแพงเมืองหรือหอสูงจะเห็นเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เสียดายยังไม่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หาไม่บรรดาพฤกษาและดอกไม้นานาพันธุ์คงผลิบานให้ยลโฉม
พ้นทะเลสาบจันทรามาได้ราวสองหลี่[4]จึงเป็นเขตที่อยู่อาศัยฝั่งทิศตะวันออก
เกือบทั้งหมดเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง หลายแห่งเป็นจวนพระราชทาน มีบ้างถูกทิ้งร้างหลังเจ้าของเกษียณอายุราชการและขอลากลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด บ้างถูกครอบครองโดยตระกูลเดิมเป็นเวลานานเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือถือครองบรรดาศักดิ์ อีกทั้งบ้านเรือนบางส่วนยังเป็นของตระกูลเก่าแก่ซึ่งอาศัยอยู่มาตั้งแต่เหนือหัวองค์แรกก่อตั้งราชวงศ์
ข้างหน้าเป็นตรอกอิ๋นซิ่ง
โม่ซือเฉินคิดในใจ มือเอื้อมไปรวบผ้าม่านสีเข้มก่อนเปิดหน้าต่างรถม้า ครั้นเห็นประตูใหญ่ของเคหาสน์สกุลไป๋พลันหัวใจบีบรัดรุนแรง ราวกับใต้อกซ้ายมีกวางวิ่งชนกันสะเปะสะปะ
ตามที่คนส่งผักบอกกับหวังหย่ง สกุลไป๋ยังไม่ได้รับตัวหลานสาวกลับมาจากต่างเมือง ถึงเป็นเช่นนั้นไม่รู้ทำไมเขายังปรารถนาให้รถม้าวิ่งเรียบกำแพงสักหน ขอแค่เห็นหลังคาเพื่อยืนยันให้เห็นกับตาว่าทุกอย่างยังคงเดิม ไม่ผิดแผกจากชีวิตเก่า
มือเล็ก ๆ ที่จับผ้าม่านกระชับจนผ้ายับย่น สายตาเพ่งมองประตูทางเข้าขนาดใหญ่ ความทรงจำไหลเวียนย้อนคืน กระแสความอาลัยและรู้สึกผิดท่วมท้น
เขาเคยมารอรับนางไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามคำสั่งบิดา ทำตามหน้าที่อย่างขอไปที
ท่ามกลางวันฝนพรำเคยกางร่มส่งอีกฝ่ายจนถึงมือไป๋เหล่าฟูเหริน
เคยนำของบำรุงมาส่งยามนางไม่สบาย
หน้าร้อนตอนตนอายุครบสิบแปดปี เขาบอกกับนางว่าพบสตรีที่พึงใจแล้ว ขอให้รักษาไว้เพียงมิตรภาพอันดีของพี่ชายกับน้องสาว
โม่ซือเฉินเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิดจากความผูกพัน คิดว่าตนเอ็นดูคุณหนูไป๋เหมือนกับเอ็นดูโม่หลิงจู อีกทั้งตอนนั้นหลงระเริงกับชื่อเสียงและเกียรติยศที่สร้างจนมัวเมาในคำยกยอ คนรอบข้างต่างพากันบอกว่าเขาสามารถหาคู่หมั้นที่งดงามเพียบพร้อมกว่าคุณหนูไป๋
‘ยอดบุรุษสมควรครองคู่โฉมงาม มิใช่คุณหนูไป๋ไม่ดีเพียงแต่ที่ดียิ่งกว่านางนั้นมีไม่น้อย’ สหายรักผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ ประจวบกับพบเจอสตรีอีกคนซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากคุณหนูไป๋อย่างสิ้นเชิง
คุณหนูไป๋พูดน้อย ไม่ว่าเขากระทำการใดสำเร็จล้วนแสดงความยินดีด้วยถ้อยคำเรียบง่ายคล้ายทำตามมารยาท ขณะใครอีกคนกลับอ่อนหวานชวนทะนุถนอม พบเจอกันครั้งใดสามารถสร้างความประทับใจได้ทุกครั้ง การประจบเอาใจแสดงท่าทีกระตือรือร้นเวลาเขาเล่าสิ่งใดให้ฟังนั่นนับว่าจัดการจุดอ่อนของบุรุษเช่นเขาได้อยู่หมัด
กระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิตถึงตระหนักว่าใครที่ปรารถนาดีต่อตนอย่างไร้เงื่อนไข
“หยุด” โม่หรงอี้ยกมือพร้อมร้องบอกเสียงดัง สารถีบังคับอาชาพ่วงพีชะลอฝีเท้าและหยุดลง โม่ซือเฉินชะโงกหน้ามองเหตุการณ์ข้างนอก ตอนนี้พวกเขาพ้นตรอกอิ๋นซิ่งมาไกลพอควร
โม่ซือเฉินเรียกคนสนิท
หวังหย่งเขย่งตัวเกาะขอบหน้าต่างรถม้า “ดูเหมือนรถม้าข้างหน้าจะมีปัญหาขอรับ คนขับรถม้า เอ่อ…” บ่าวตัวผอมยกมือป้องแดดก่อนหรี่ตามอง “เขาจอดรถม้าขวางกลางถนน ตอนนี้กำลังอา…”
จู่ ๆ หวังหย่งเงียบลงแต่เบิกตากว้าง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“คนผู้นั้นอาเจียนเป็นเลือดขอรับ!”
คุณชายรองสกุลโม่ไม่รอสอบถามอะไรเพิ่มเติม เขาเหวี่ยงบานประตูรวดเร็วแล้วกระโดดลงมายืนข้างล่างท่ามกลางความตกใจของบ่าวด้านนอก ทันทีที่เห็นหลังคาและลวดลายสลักบนรถม้าซึ่งจอดขวางอยู่กลางถนนจนตกเป็นเป้าสายตาของคนสัญจรผ่านไปมาพลันลมหายใจสะดุด
ไม่ผิดแน่ นั่นเป็นรถม้าสกุลไป๋!
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] ชั่วยาม หน่วยเวลาของจีนสมัยโบราณ 1 ชั่วยาม เท่ากับประมาณ 2 ชั่วโมง
[2] ยามเฉิน คือช่วงเวลาประมาณ 07.00-08.59 น.
[3] มาจากสำนวน มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ หมายถึงเมื่อตอบแทนด้วยผลประโยชน์หรือนำเงินทองมาหลอกล่อ ทุกคนย่อมเต็มใจทำงานให้
[4] หลี่ หรือ ลี้ ที่คนไทยคุ้นเคยกันคือหน่วยวัดระยะทางของจีนสมัยโบราณ 1 ลี้ เท่ากับประมาณ 500 เมตร