แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: ซือซิง SiXing
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-13 17:08:16

บทที่สี่ บุปผาเบ่งบาน (1/2)

จะตีสุนัขที่มีบิดาเขาเป็นเจ้าของไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งโม่เทียนฉินลำเอียงเข้าข้างคนของตัวเองยิ่งกว่าอะไร ทว่าการไล่ตีทีละตัว ไม่ผลีผลามพยายามจัดการทั้งหมดในคราวเดียวก็มิใช่เรื่องยากเช่นกัน

ภายในสกุลโม่แห่งนี้ไม่ต่างจากหลังบ้านของเรือนไหน ๆ ในเยว่หยาง การตกรางวัลหรือลงโทษผู้กระทำผิดทั้งเบาและหนัก ล้วนเกิดขึ้นอยู่แทบทุกวัน ผู้น้อยส่วนใหญ่ได้ดีหรือมีชะตารันทดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้านายที่ตนรับใช้ หากคนผู้นั้นไม่เอาไหนหรือล้มหายตายจากไปเสียก่อน ย่อมต้องหาขาข้างใหม่ไว้ยึดถือพึ่งพิง

ซินเถาเป็นบ่าวที่จงรักภักดีต่อฟางอี๋เหนียง ขณะเดียวกันยังมีสาวใช้รวมถึงบ่าวบางคนคอยเป็นสายให้แก่อนุคนโปรดผู้นี้ มีทั้งแบบรับสินบนแล้วช่วยเหลือเป็นครั้งคราว อีกทั้งมีประเภททำดีประจบเอาใจเพราะมองว่าต่อให้มิได้ตำแหน่งโหวฟูเหริน ฟางอี๋เหนียงยังคงมีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของโม่เทียนฉินไม่น้อย ส่วนบ่าวเหล่านั้นจะเป็นใครบ้าง โม่ซือเฉินล้วนทราบดี แค่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไล่จัดการทุกคน

สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป ความแค้นยิ่งใหญ่ยังรอให้สะสาง นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้ว คนเหล่านี้ถือว่าให้โอกาสหนึ่งครั้ง เว้นเสียแต่ยื่นมือข้ามเส้นที่เขาขีดไว้

เพียะ!

“บ่าวผิด ผิดไปแล้ว โอ๊ย!”

เสียงฝ่ามือกระทบหน้าดังติดต่อกันนานพอสมควร โม่กุ้ยหลันยืนประสานมือ สายตาเรียบเฉยยามมองคนสนิทอนุของพี่ชายถูกสาวใช้รุ่นใหญ่ในเรือนยึดกายไว้และผลัดกันลงโทษ

“ซินเถาเจ้าใจกล้าถึงขั้นแอบฟังเจ้านายสนทนา หรือมีผู้ใดใช้เจ้ามากันแน่”

น้ำเสียงอาหญิงของโม่ซือเฉินทำเอาทุกคนในบริเวณรู้สึกครั่นคร้าม คงมีแค่โม่ซือเฉินที่รู้สึกคิดถึงกิริยาเด็ดขาดเช่นนี้ของสตรีผู้เลี้ยงดูตนมา

แขกจากสกุลเฮ่อกลับไปได้ราวครึ่งชั่วยาม[1]แล้ว ต้นยามเฉิน[2]วันมะรืนคุณชายใหญ่และคุณชายรองโม่จะเดินทางไปพักที่จวนเจิ้งเป่าโหวเพื่อฝึกฝนวิชาทางทหาร

“สงสารนาง?” โม่ซือเฉินเอ่ยถามหวังหย่งซึ่งจ้องตาไม่กะพริบ

หวังหย่งส่ายหน้า “บ่าวเพียงคิดว่าหลังจากนี้ใบหน้าพี่ซินเถาคงบวมเหมือนหัวหมูเป็นแน่ ว่าแต่ท่านทราบได้อย่างไรขอรับว่าจะมีคนมาแอบฟังอยู่หน้าประตู”

เด็กชายฟังคำถามพลันมุมปากกดลึกลง ส่งให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูมีชีวิตชีวา ขัดแย้งกับบรรยากาศเบื้องหน้าโดยสิ้นเชิง

“นายกับบ่าวนิสัยไม่ต่าง ดูเหมือนความสอดรู้สอดเห็นจะส่งผ่านถึงกันได้ ข้าให้เจ้าคอยจับตาพวกนางเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้”

โม่ซือเฉินมิอาจบอกคนสนิทว่าตนเคยประสบพบเจออะไรบ้าง ยิ่งเล่าไม่ได้ว่านี่คือโอกาสในการชำระแค้น ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วย นอกจากอากัปกิริยาซึ่งเปลี่ยนไปพอสมควร เขายังอธิบายกับหวังหย่งว่าฟางอี๋เหนียงมีเจตนาไม่ดีต่อเขากับพี่ใหญ่ ต้องระวังตัวให้ดี ดังนั้นต่อให้หวังหย่งไม่เคยสู้รบตบมือหรือพบเจอเล่ห์เหลี่ยมใดยังเข้าใจจุดนี้ถ่องแท้ จากการกระทำแสนลำเอียงที่ผ่านมาของท่านโหว มีผู้ใดในจวนบ้างไม่ทราบว่าอนุฟางได้รับการให้ท้ายจนเคยตัว วางอำนาจบาดใหญ่ใส่บ่าวไพร่ หวังหย่งตระหนักว่านอกจากผู้เป็นย่า อาหญิง และพี่ชาย เจ้านายของตนก็ไม่มีใครอีก

“ข้าจะไปที่คอกม้า เจ้ากลับไปช่วยสาวใช้ในเรือนเก็บของ ส่วนตำราประเดี๋ยวข้ากลับไปจัดการเอง”

“ขอรับ คุณชายนั่น-”

หวังหย่งมองเลยไปทางด้านหลัง โม่ซือเฉินจึงหันตาม พบร่างคุ้นเคยของใครบางคนเร่งฝีเท้าผ่านประตูเชื่อมสวนจนแทบกลายเป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

คุณชายรองโม่แสร้งก้าวไปดักฟางอี๋เหนียงไว้ นางชะเง้อคอมองซินเถาก่อนดึงสายตากลับมายังเด็กชายตรงหน้า

“ฟางอี๋เหนียงจะรีบไปไหนหรือ”

“ข้ากำลังรีบ คุณชายรองโปรดหลีกทาง” ตอนมีสาวใช้ไปแจ้งที่เรือนว่าคนสนิทโดนจับได้ว่าแอบฟังเจ้านาย เวลานี้กำลังถูกลงโทษอยู่เรือนหน้า นางตกใจไม่น้อย รีบมาดูด้วยตนเองให้เห็นกับตา ครั้นได้ยินเสียงวิงวอนของซินเถาแว่วมาจากลานว่างพลันตื่นตระหนก

โม่ซือเฉินไม่เพียงไม่ถอย ยังเอ่ยต่อ “ได้ยินท่านอาบอกว่าพวกสอดรู้เก็บไว้ในเรือนไม่ได้ ต้องลงโทษและขับออกไปให้พ้น ดูเหมือนซินเถาจะยอมสารภาพด้วยว่า-”

“สารภาพ? สารภาพอะไร”

ต่อหน้าเด็กชายฟางอี๋เหนียงย่อมไม่ระวังกิริยา นางเผลอจิกมือตนเองใต้เสื้อคลุมสีอ่อน ถึงไว้ใจบ่าวหญิงซึ่งรับใช้ใกล้ชิดสักเพียงใด ยังอดหวั่นไหวไม่ได้เนื่องจากความลับและการกระทำไม่สมควรมากมายซินเถาเองทราบโดยละเอียด

“สารภาพในเรื่องที่ควรสารภาพ” ผู้พูดเล่นลิ้นอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าปราศจากอารมณ์แต่แววตาฉายความสนุกสนาน “ไม่ว่าในอดีตหรือเรื่องวันนี้ ซินเถาล้วนบอกท่านอาทั้งหมด โอ๊ะ”

หวังหย่งพุ่งไปหาโม่ซือเฉินเมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกฟางอี๋เหนียงเดินกระแทกจนเซ ทว่าไม่ทันแตะตัวอีกฝ่ายกลับยืนได้มั่นคง ราวกับเมื่อครู่แกล้งทำท่าทางไปอย่างนั้น

“คุณชาย” บ่าวเรียกด้วยความห่วงใยแกมไม่พอใจอนุของท่านโหว “เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”

“ข้าไม่เป็นไร” โม่ซือเฉินหัวเราะหึ ๆ “ดูเอาเถิด ข้าเพียงหย่อนเบ็ดลงไปนางก็รีบงับเสียแล้ว ไม่ทันดูให้ดีกลับร้อนตัวจนนั่งไม่ติด”

คนฟังเกาแก้ม เลียบเคียงถามด้วยความอยากรู้ “ท่านจงใจไม่อธิบายเพื่อให้นางเข้าใจผิดพี่ซินเถา?”

โม่ซือเฉินตอบ “ใช่ จำเอาไว้ว่าวันหน้าไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สำคัญคือต้องได้ยินจากปากข้า ส่วนข้าเองก็เช่นกัน หากมิใช่ได้ยินเจ้าพูดด้วยสองหูจะไม่เชื่อผู้อื่นเด็ดขาด”

หวังหย่งรับคำขณะเดินไปส่งคุณชายของตกหน้าคอกม้าแล้วย้อนกลับไปยังเรือนนอนของโม่ซือเฉินเพื่อช่วยพวกสาวใช้เก็บข้าวของจำเป็นเตรียมนำติดตัวไปสกุลเฮ่อ พักหลังคุณชายรองมักแวะไปคอกม้าบ่อย ๆ เขาเองไม่กล้าละลาบละล้วง คำพูดของคุณชายแม้นุ่มนวลขึ้น ทั้งใจดี ไม่เจ้าอารมณ์เหมือนก่อนล้มป่วย ทว่าเขาเชื่อในคำสอนของพ่อบ้านว่าเรื่องของผู้เป็นนาย รู้เท่าที่เจ้านายต้องการให้รู้เป็นพอ

ซินเถามิได้ถูกขับไล่จากสกุลโม่เช่นที่โม่ซือเฉินบอกกับฟางอี๋เหนียง ทว่ายังคงถูกลงโทษตามกฎแบบไม่ผ่อนปรน

ครั้นคิดถึงสีหน้าอวดดีไม่เห็นแก่คำขอร้องของตนเมื่อตอนบ่ายคล้อย ฟางอี๋เหนียงยังรู้สึกแค้นใจไม่หาย นางทำได้เพียงเข่นเขี้ยวขณะส่งตลับยาให้สาวใช้นำไปทารักษาอาการบวมแก่ซินเถา จากนั้นไล่ทุกคนออกไป พอในเรือนเหลือเพียงตนเองลำพัง นางถึงเริ่มก่นด่าโม่กุ้ยหลันอย่างสาดเสียเทเสีย เนื่องจากซินเถาพลาดท่าถูกจับได้ นางจึงไม่รู้ว่าคนสกุลเฮ่อมาเยือนด้วยเหตุใด ทางเดียวคือภาวนาให้คืนนี้คังโหวแวะมาค้างคืนจึงจะสามารถลองเลียบเคียงสอบถามได้

ขณะคิดอะไรเพลินๆ สาวใช้ซึ่งคุ้นเคยกันคนหนึ่งมาเคาะประตูพร้อมแจ้งสิ่งที่ได้รู้มา

เรื่องนี้คงต้องยกเป็นความดีของท่านโหว เงินทองที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความพิศวาสมีใช้จ่ายได้คล่องมือ อีกทั้งบ้านเดิมเป็นตระกูลพ่อค้า ต่อให้ไม่ร่ำรวยติดอันดับทำเนียบคหบดีเมืองหลวง แต่ยังแบ่งปันส่งเงินมาให้ไม่ขาด ฟางอี๋เหนียงถึงสามารถติดสินบนใครหลายคนในสกุลโม่ให้คอยเป็นกำลังเสริมตนได้

“คืนนี้ดูเหมือนท่านโหวจะค้างที่เรือนซูอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”

สตรีบนเก้าอี้เลิกคิ้ว “ท่านโหวไม่ไปที่นั่นเกือบเดือนแล้ว จู่ ๆ ไยถึงเลือกค้างคืนกันเล่า”

ผู้ฟังไม่ออกความเห็นแม้คันปากพอสมควร ในใจคิดว่าคนสนิทของเจ้าเพิ่งก่อเรื่องต่อหน้าแขกสำคัญให้ท่านโหวอับอาย มีหรือท่านโหวจะอยากเห็นหน้าเจ้าเวลานี้

“เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าคนสกุลเฮ่อมาทำไม”

“ดูเหมือนเจิ้งเป่าโหวจะมาคารวะเหล่าฟูเหรินเพื่อขออนุญาตพาคุณชายรองกลับไปฝึกที่สกุลเฮ่อพร้อมคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”

ฟางอี๋เหนียงประเดี๋ยวมุ่นหัวคิ้ว ประเดี๋ยวหัวคิ้วคลายออก

ข่าวที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก

นางส่งสินน้ำใจเล็กน้อยจากนั้นถึงเร่งอีกคนกลับเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นพบเห็น ไม่กี่วันก่อนซินเถาเพิ่งพูดถึงคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในเรือนคุณชายรองเฮ่อ ได้ยินว่าคนผู้นั้นชมชอบเงินทองของมีค่า หากได้รับค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อย่อมยินดีเป็นสายให้นาง

“โม่ซือเฉินเจ้าเด็กสารเลว มารดาจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเอง” เสียงหวานพึมพำ ถ้อยคำขัดแย้งกับน้ำเสียง

เป็นเพราะเด็กบ้านั่นเอาแต่กรอกหูว่าซินเถาสารภาพแล้ว นางถึงเกือบหลุดพูดอะไรต่อมิอะไรให้โม่กุ้ยหลันล่วงรู้ โชคยังเข้าข้างกลบเกลื่อนทันเวลา

หาไม่เกิดแสดงพิรุธออกไปคงมิอาจรอดพ้นสายตานกเหยี่ยวนกกาของอีกฝ่าย

แต่ไปรวมกันอยู่ในสกุลเฮ่อก็ดี ถ้า‘บังเอิญ’มีเหตุสุดวิสัยเกิดกับโม่หรงอี้หรือโม่ซือเฉินแน่นอนว่าคนรับผิดชอบต้องเป็นเจิ้งเป่าโหวซึ่งถูกท่านโหวมองในแง่ร้ายเสมอมา ไม่มีวันสืบสาวมายังตนได้ ฟางอี๋เหนียงคลี่ยิ้ม

นางอาจไม่มีตำแหน่งโหวฟูเหรินทว่านางมีเงิน

ดังนั้นจะใช้ผีสักกี่ตนโม่แป้ง[3]ก็สามารถทำได้

เช้าวันเดินทางไปจวนแม่ทัพ นอกจากคารวะโม่เหล่าฟูเหริน บิดา และท่านอาแล้ว คุณชายทั้งสองยังเข้าไปจุดธูปบอกกล่าวในหอบรรพชน ระลึกถึงท่านปู่ผู้ล่วงลับให้คุ้มครองพวกตนฝึกฝนเล่าเรียนวิชาโดยราบรื่นไร้อุปสรรค

โม่หรงอี้อารมณ์ดี แตะไหล่น้องชาย “พวกเราไปกันเถอะ”

เวลานี้ท้องฟ้าเปิด ไร้เมฆหนาบดบังดวงอาทิตย์ แม้อากาศยังเย็นอยู่ทว่าพอพบแสงแดดจึงกลายเป็นอุ่นสบาย เหมาะสำหรับเดินทาง โม่หรงอี้เลือกขี่ม้าขณะน้องชายนั่งรถม้าตามหลัง

“พี่ใหญ่ พวกเราไปทางฝั่งตะวันออกได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นทะเลสาบจันทรา”

“ทางนั้นมัน…” คำว่าอ้อมไม่ทันถูกเปล่งจากริมฝีปาก น้องชายซึ่งดึงแขนเสื้อเขาเบา ๆ กลับทำโม่หรงอี้ใจอ่อนยวบยาบ มิมีผู้ใดทราบว่าเขาเจ็บปวดเพียงไรตอนเห็นร่างเล็กซูบลงหลังฟื้นจากอาการป่วยครั้งใหญ่ ดีที่แก้มนุ่มฟูราวแป้งนึ่งไม่หายไปด้วย หาไม่เขาและท่านอาคงปวดใจหนักกว่านี้

“ได้ยินว่าถนนเส้นนั้นสวยงามมาก ข้าอยากเห็นสักครั้งขอรับ”

โม่หรงอี้ตรองดูแล้วว่าไม่เสียเวลานัก จึงพยักหน้าและสั่งสารถี

แม้เส้นทางที่โม่ซือเฉินเลือกนั้นอ้อมอยู่บ้าง แต่เทียบกันแล้วถือว่าดีกว่าทั้งในเรื่องทัศนียภาพและความวุ่นวายบนท้องถนนซึ่งมีน้อยกว่าย่านการค้า นานทีถึงจะมีรถม้าวิ่งสวนมา ยามรถเทียมม้าวิ่งผ่านบริเวณที่สถานที่สำคัญบริเวณนี้ หวังหย่งกับบ่าวบางคนพากันอ้าปากค้าง มองทะเลสาบจันทราซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก ยามมองจากกำแพงเมืองหรือหอสูงจะเห็นเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เสียดายยังไม่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หาไม่บรรดาพฤกษาและดอกไม้นานาพันธุ์คงผลิบานให้ยลโฉม

พ้นทะเลสาบจันทรามาได้ราวสองหลี่[4]จึงเป็นเขตที่อยู่อาศัยฝั่งทิศตะวันออก

เกือบทั้งหมดเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง หลายแห่งเป็นจวนพระราชทาน มีบ้างถูกทิ้งร้างหลังเจ้าของเกษียณอายุราชการและขอลากลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด บ้างถูกครอบครองโดยตระกูลเดิมเป็นเวลานานเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือถือครองบรรดาศักดิ์ อีกทั้งบ้านเรือนบางส่วนยังเป็นของตระกูลเก่าแก่ซึ่งอาศัยอยู่มาตั้งแต่เหนือหัวองค์แรกก่อตั้งราชวงศ์

ข้างหน้าเป็นตรอกอิ๋นซิ่ง

โม่ซือเฉินคิดในใจ มือเอื้อมไปรวบผ้าม่านสีเข้มก่อนเปิดหน้าต่างรถม้า ครั้นเห็นประตูใหญ่ของเคหาสน์สกุลไป๋พลันหัวใจบีบรัดรุนแรง ราวกับใต้อกซ้ายมีกวางวิ่งชนกันสะเปะสะปะ

ตามที่คนส่งผักบอกกับหวังหย่ง สกุลไป๋ยังไม่ได้รับตัวหลานสาวกลับมาจากต่างเมือง ถึงเป็นเช่นนั้นไม่รู้ทำไมเขายังปรารถนาให้รถม้าวิ่งเรียบกำแพงสักหน ขอแค่เห็นหลังคาเพื่อยืนยันให้เห็นกับตาว่าทุกอย่างยังคงเดิม ไม่ผิดแผกจากชีวิตเก่า

มือเล็ก ๆ ที่จับผ้าม่านกระชับจนผ้ายับย่น สายตาเพ่งมองประตูทางเข้าขนาดใหญ่ ความทรงจำไหลเวียนย้อนคืน กระแสความอาลัยและรู้สึกผิดท่วมท้น

เขาเคยมารอรับนางไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามคำสั่งบิดา ทำตามหน้าที่อย่างขอไปที

ท่ามกลางวันฝนพรำเคยกางร่มส่งอีกฝ่ายจนถึงมือไป๋เหล่าฟูเหริน

เคยนำของบำรุงมาส่งยามนางไม่สบาย

หน้าร้อนตอนตนอายุครบสิบแปดปี เขาบอกกับนางว่าพบสตรีที่พึงใจแล้ว ขอให้รักษาไว้เพียงมิตรภาพอันดีของพี่ชายกับน้องสาว

โม่ซือเฉินเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิดจากความผูกพัน คิดว่าตนเอ็นดูคุณหนูไป๋เหมือนกับเอ็นดูโม่หลิงจู อีกทั้งตอนนั้นหลงระเริงกับชื่อเสียงและเกียรติยศที่สร้างจนมัวเมาในคำยกยอ คนรอบข้างต่างพากันบอกว่าเขาสามารถหาคู่หมั้นที่งดงามเพียบพร้อมกว่าคุณหนูไป๋

‘ยอดบุรุษสมควรครองคู่โฉมงาม มิใช่คุณหนูไป๋ไม่ดีเพียงแต่ที่ดียิ่งกว่านางนั้นมีไม่น้อย’ สหายรักผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ ประจวบกับพบเจอสตรีอีกคนซึ่งมีนิสัยแตกต่างจากคุณหนูไป๋อย่างสิ้นเชิง

คุณหนูไป๋พูดน้อย ไม่ว่าเขากระทำการใดสำเร็จล้วนแสดงความยินดีด้วยถ้อยคำเรียบง่ายคล้ายทำตามมารยาท ขณะใครอีกคนกลับอ่อนหวานชวนทะนุถนอม พบเจอกันครั้งใดสามารถสร้างความประทับใจได้ทุกครั้ง การประจบเอาใจแสดงท่าทีกระตือรือร้นเวลาเขาเล่าสิ่งใดให้ฟังนั่นนับว่าจัดการจุดอ่อนของบุรุษเช่นเขาได้อยู่หมัด

กระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิตถึงตระหนักว่าใครที่ปรารถนาดีต่อตนอย่างไร้เงื่อนไข

“หยุด” โม่หรงอี้ยกมือพร้อมร้องบอกเสียงดัง สารถีบังคับอาชาพ่วงพีชะลอฝีเท้าและหยุดลง โม่ซือเฉินชะโงกหน้ามองเหตุการณ์ข้างนอก ตอนนี้พวกเขาพ้นตรอกอิ๋นซิ่งมาไกลพอควร

โม่ซือเฉินเรียกคนสนิท

หวังหย่งเขย่งตัวเกาะขอบหน้าต่างรถม้า “ดูเหมือนรถม้าข้างหน้าจะมีปัญหาขอรับ คนขับรถม้า เอ่อ…” บ่าวตัวผอมยกมือป้องแดดก่อนหรี่ตามอง “เขาจอดรถม้าขวางกลางถนน ตอนนี้กำลังอา…”

จู่ ๆ หวังหย่งเงียบลงแต่เบิกตากว้าง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“คนผู้นั้นอาเจียนเป็นเลือดขอรับ!”

คุณชายรองสกุลโม่ไม่รอสอบถามอะไรเพิ่มเติม เขาเหวี่ยงบานประตูรวดเร็วแล้วกระโดดลงมายืนข้างล่างท่ามกลางความตกใจของบ่าวด้านนอก ทันทีที่เห็นหลังคาและลวดลายสลักบนรถม้าซึ่งจอดขวางอยู่กลางถนนจนตกเป็นเป้าสายตาของคนสัญจรผ่านไปมาพลันลมหายใจสะดุด

ไม่ผิดแน่ นั่นเป็นรถม้าสกุลไป๋!

- - - - - - - - - - -

เชิงอรรถ

[1] ชั่วยาม หน่วยเวลาของจีนสมัยโบราณ 1 ชั่วยาม เท่ากับประมาณ 2 ชั่วโมง

[2] ยามเฉิน คือช่วงเวลาประมาณ 07.00-08.59 น.

[3] มาจากสำนวน มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ หมายถึงเมื่อตอบแทนด้วยผลประโยชน์หรือนำเงินทองมาหลอกล่อ ทุกคนย่อมเต็มใจทำงานให้

[4] หลี่ หรือ ลี้ ที่คนไทยคุ้นเคยกันคือหน่วยวัดระยะทางของจีนสมัยโบราณ 1 ลี้ เท่ากับประมาณ 500 เมตร
ซือซิง SiXing

หวังว่าคุณนักอ่านทุกท่านจะชอบชายโม่ตัวร้ายนะคะ

| ชอบ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 34

    เสิ่นจื่อเหลยนิ่งไปคล้ายกำลังตรึกตรองบางสิ่ง“มีสิ่งใดอยากพูดหรือ”คนโดนถามส่ายหน้าในท้ายที่สุด เห็นเช่นนั้นหลี่หงหมิงเลยไม่เซ้าซี้ เพียงเอ่ยสั้น ๆ “วันนี้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ หากเห็นว่าอะไรไม่ชอบมาพากลพรุ่งนี้บอกข้าก็ยังไม่สาย”“พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเสิ่นจื่อเหลยชำเลืองมองไปยังทิศที่คนสกุลโม่นั่ง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 33

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (2/2)ดวงหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้อยู่ท่ามกลางสหายหลายคนยังโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใดโจวเจินอวี่นับว่าดูเป็นมิตรไร้พิษภัย ไป๋อวี้เสวียนแปลกใจว่าไฉนเด็กหนุ่มซึ่งชะลอการเดินลงจนตีคู่กับตนคล้ายนิ่งอึ้งอยู่หลายอึดใจ ถ้าบอกว่าเป็นอาการตกตะลึงในรูปลักษณ์ของคุณหนูโจวก็ดูไม่เป็น

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 32

    ลูกศรดอกต่อมาถูกโยนลงอย่างแม่นยำราวจับวางในแถวห้า หนนี้ผู้ที่คิดดูถูกเริ่มพากันยิ้มไม่ออก ต่างจากโม่หลิงจูซึ่งตบมือเสียงดังพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเคร้ง!ศรดอกสุดท้ายลงเป้าง่ายดายในแถวที่ห้าอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี“ยอดเยี่ยม!” ผู้ครองอันดับหนึ่งปรบมือเสียงดังพลางเดินเข้ามาหาเขา น้ำเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 31

    ไป๋อวี้เสวียนเคยเป็นคนไม่มั่นใจและค่อนข้างขี้อายเก็บตัว ทว่าการได้กลับมาเมืองหลวงและพำนักข้างกายท่านย่าช่วยปลอบประโลม ขจัดความคิดแง่ลบทีละนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลุดพ้นจากอนุชั่วร้ายกับแม่นมที่ทรยศนางอย่างเลือดเย็น การเติบโตของนางเลยราบรื่น ได้ร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงรู้ ศิลปะ ดนตรี กิริยามารยาท การเข้

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 30

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (1/2)“คุณหนูไป๋” โม่หลิงจูกล่าวทักด้วยความยินดีที่ได้พบคนคุ้นเคย เสิ่นจื่อเหลยได้ยินเช่นนั้นพลันหันไปสบตาไป๋อวี้เสวียนคล้ายขอคำอธิบาย“ข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกัน” คุณหนูสกุลไป๋เอ่ยคล้ายมีแววตาพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าผู้ฟังชั่วอึดใจ เพียงแต่นอกจากโม่ซือเฉินก็ไม่มีผู้ใดสัง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 29

    พี่ชายยกมือป้องแดดให้น้องสาว ไม่ทันเรียกพี่เลี้ยงของโม่หลิงจูให้ส่งร่มมาพลันได้ยินเสียงพรึบพร้อมเงาทาบลงมาเหนือศีรษะร่างเล็กข้างตัว เป็นเสิ่นจื่อเหลยมือไว ฉวยร่มจากบ่าวกางให้เด็กหญิง โม่ซือเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามพบว่าร่มเงาหาได้เผื่อแผ่มาถึงตนหรือโม่เหวิน“ขออภัย ข้ามัวสนทนาจนลืมว่าเจ้าอาจจะร้อน”“ไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status