บทที่ 5 ลูกสมุนตัวน้อย
รุ่ยฉีเตรียมอาหารอยู่ในครัว เพื่อที่จะรอให้เด็ก ๆ เดินเข้ามาหา ช่วงที่รอก็ค้นความทรงจำเกี่ยวกับเด็ก ๆ ว่ามีชื่ออะไรบ้าง จากที่ค้นเจอ บุตรชายคนโตมีชื่อว่า ซ่งซีฮัน อายุ 5 ขวบ คนรองเป็นผู้หญิงชื่อ ซ่งซิงอี อายุ 4 ขวบ คนสุดท้องชื่อ ซ่งซีซวน อายุ 3 ขวบ เด็ก ๆ ใช้แซ่ตามบิดาคือแซ่ 'ซ่ง' พ่อของเด็ก ๆ มีชื่อว่า ซ่งเฟยหรง อายุ 27 ปี ซึ่งห่างจากรุ่ยฉีประมาณ 3 ปี ถ้าในยุคปัจจุบันก็ถือว่าห่างกันไม่เยอะ แต่ที่เยอะคือลูก!อายุเท่านี้มีลูก 3 คนแล้ว มันคงเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยนี้ที่แต่งงานเร็วมีลูกเร็วและมีลูกเยอะ
"กลับมาแล้ว" เด็ก ๆ ส่งเสียงบอกอย่างพร้อมเพียงกัน
"กลับมาแล้วก็ไปล้างมือให้เรียบร้อย เตรียมกินมื้อเย็น ไปไหนกันมา ทำไมถึงกลับมาช้า" รุ่ยฉีเริ่มสวมบทบาทแม่ แต่คำพูดมันก็ฟังดูแปลก ๆ นิดหน่อย
[โฮสต์ควรให้เด็ก ๆ อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนค่อยมากินมื้อเย็น เพราะถ้ายิ่งมืด อากาศจะยิ่งเย็น อาจทำให้เด็ก ๆ ไม่สบายได้] เสียงระบบเอ่ยแนะนำ
"จริงด้วย ฉันลืมไป แต่ยังไม่ได้เตรียมต้มน้ำเลย ขอบใจที่เตือนนะพี่เลี้ยงเด็ก"
รุ่ยฉีบอกขอบใจระบบและยกตำแหน่งใหม่ล่าสุดให้ระบบเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็สั่งระบบให้เอาเตาแก๊สออกมาให้ เพื่อจะใช้ในการต้มน้ำให้เด็ก ๆ ได้อาบ รุ่ยฉีมองหาหม้อที่มีขนาดใหญ่มาตักน้ำในตุ่มใส่เกือบเต็มหม้อ เพื่อที่จะต้มทีเดียวแล้วอาบได้ครบทั้ง 3 คน พอตั้งหม้อน้ำและจุดเตาแก๊สเรียบร้อย รุ่ยฉีก็เดินออกมาหาเด็ก ๆ และบอกให้เตรียมเสื้อผ้าออกมาด้วย
"มาแล้ว... มาแล้ว"
เด็ก ๆ หอบชุดออกมา ซึ่งดูยับยู่ยี่เหมือนผ้าที่ใช้แล้วมากกว่าผ้าที่ซักพับเก็บ ได้แต่ถอนหายใจแต่ไม่ได้พูดอะไร รุ่ยฉีมองดูเด็ก ๆ ทั้งสามคนที่ดูจากผิวพรรณแล้ว ถือว่าได้ส่วนดีของเธอไป เพราะสีผิวเด็ก ๆ ค่อนข้างขาวมาก แต่ติดตรงขาวไปทางเหลือง หรือเพราะขาดสารอาหาร อันนี้รุ่ยฉีก็ไม่แน่ใจ เพราะดูจากรูปร่างของแต่ละคนค่อนข้างผอมเลยทีเดียว อย่าว่าแต่เด็กเลย ขนาดร่างนี้ จากที่มองดูแขน ขา มือ ลำตัวคร่าว ๆ ยังติดว่าผอมไปด้วยซ้ำ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้สำรวจตัวเองดีเลยว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เท่าที่ดูจากความทรงจำ ถือว่าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสวยมาก ๆ ทั้งรูปร่างและหน้าตา พอมองสำรวจเด็ก ๆ คร่าว ๆ แล้ว สามารถสรุปความเข้าใจได้ง่าย ๆ คือ เด็ก ๆ หน้าตาดี ผิวขาว ปากแดง จมูกโด่งกันทุกคน ถือว่าได้กรรมพันธุ์ยีนเด่นจากพ่อแม่มาเต็ม ๆ
"วันนี้ไปไหนกันมา" รุ่ยฉีเห็นเด็ก ๆ ยืนเงียบ เลยเป็นคนเปิดบทสนทนาออกไปก่อน
"อาเล็กให้ไปเก็บหญ้ามาให้หมู" ลูกสาวเป็นตัวแทนหมู่บ้านในการตอบ
"ทำไมอาเล็กให้ไปเก็บล่ะ อายุพวกเราเท่าไรถึงให้ไปเก็บผักเก็บหญ้า ไปกันกี่คน อย่าบอกนะว่าไปแค่ 3 คน"
พอรู้ว่าเด็ก ๆ ไปไหนมา มันทำให้ฉันเริ่มไม่พอใจ บ้านใหญ่จะทำแบบนี้ประจำ ถ้ารุ่ยฉีเผลอหรือไม่อยู่บ้านจะต้องมาเอาเด็ก ๆ ไปใช้งาน ตอนแรกนึกว่าจะทำไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่รุ่ยฉีเผลอหรือไม่อยู่จะเป็นแบบนี้ทุกรอบ สรุปแม่นี่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน และบ้านใหญ่ก็ชอบใจ โอ๊ย…อะไรมันจะเหมือนเฝ้าระวังขโมยกับโจรอะไรแบบนั้น เผลอเป็นหาย นี่มันคนหรือสิ่งของ จ้องแต่จะใช้แรงงานเด็ก
"ไหนขอดูหน่อย ได้แผลมาบ้างไหม" รุ่ยฉีขอดูว่ามีแผลไหม
"มีแต่พี่ใหญ่แหละที่มีแผล ฉันกับน้องมีแค่รอยหนามเกี่ยว กับโดนหญ้าบาดนิดหน่อยเองแม่"
ยังคงเป็นตัวแทนหมู่บ้านที่เป็นคนตอบคำถาม ปล่อยให้ชายงามทั้งสองยืนเงียบไม่มีปากไม่มีเสียง
"ไหนแผลตรงไหนบ้าง... ขอดูหน่อย" รุ่ยฉีเดินไปหาลูกชายคนโตเพื่อดูตามแขนและขา แต่ก็ยังไม่เห็นแผล
"แผลอยู่ตรงปาก" เสียงนี้ไม่ใช่ตัวแทนหมู่บ้านบอก แต่เป็นสมุนตัวเล็กสุดเอ่ยรายงาน
"เงียบปากไปเลยน้องเล็ก" อันนี้เสียงหัวหน้าแก๊ง เจ้าตัวต้นเรื่องเป็นคนพูด
"ทำไมพูดกับน้องแบบนั้น แล้วทำไมถึงไปได้แผลที่ปากมา" รุ่ยฉีถามขึ้น
"ก็พี่ใหญ่ไปต่อยลูกหลานบ้านป้าหวัง แล้วโดนพวกเขารุมต่อยกลับมาไงล่ะแม่" แม่ตัวแทนหมู่บ้านรีบบอก
"แล้วทำไมถึงไปต่อยกับเขา เรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าให้ฟังหน่อย"
เด็ก 5 ขวบไปมีเรื่องชกต่อยคืออะไร รุ่ยฉียังงง ๆ คือ 5 ขวบยังเด็กมากสำหรับรุ่ยฉี มันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรแบบนี้ ต้องโตกว่านี้ไหมถึงจะพอมีเรื่องกันได้ หรือยังไง รุ่ยฉีคนนี้ไม่รู้เลย
"ก็พวกลูกหลานบ้านป้าหวังชอบมาพูดมาแซวบ่อย ๆ พี่ใหญ่เลยทนไม่ไหวมั้งแม่" ตัวแทนหมู่บ้านยังคงตอบแบบฉะฉาน
"แค่พูดคุย มันมีอะไรที่ทนไม่ไหวบ้างล่ะ" รุ่ยฉีก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผล
"เขาบอกว่าแม่มีชู้ ไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะไปหาชู้บ่อย" สมุนตัวเล็กสุดเป็นคนตอบ
"ฮะ!! เดี๋ยวนะ!! อะไร ใครมีชู้" พอรุ่ยฉีได้ยินคำที่ลูกชายคนเล็กบอก ก็แทบเป็นลมกับคำว่า 'ชู้'
"คนพวกนั้นบอกว่าแม่มีชู้ อีกหน่อยก็ทิ้งลูกทิ้งผัว หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับชู้แล้ว!! แม่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"
เสียงลูกชายคนโตพูดออกมาเสียงดังให้รุ่ยฉีได้ยินและเข้าใจ แต่รุ่ยฉียังคงอึ้งกับคำนี้ เด็กตัวเท่านี้จะรู้อะไรเกี่ยวกับคำนี้ ในชาติก่อนเคยว่าแต่คนอื่นมาเป็นชู้กับสามีตัวเอง มาชาตินี้จะมีชู้เป็นของตัวเองเหรอ รุ่ยฉีรีบค้นความทรงจำว่าสรุปแล้ว ร่างนี้มีชู้จริงหรือเปล่า พอได้ค้นหาความจริงจนรู้แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะมันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
"เอาล่ะเรื่องนี้ เราต้องคุยกันให้เข้าใจ แต่ก่อนอื่น เตรียมตัวอาบน้ำ กินข้าว และทำแผลก่อน เข้าใจนะทุกคน" รุ่ยฉีคิดแล้วว่าต้องปรับทัศนคติให้เด็ก ๆ ใหม่
"แต่ฉันว่าแม่มีชู้ก็ดีนะ เพราะว่าแม่ของฉันสวย เลยมีผู้ชายมาหลงใหลหลายคน"
"..." รุ่ยฉี
เดี๋ยวนะ!! ยัยตัวแทนหมู่บ้าน ใครบอกเธอว่ามีชู้มันดี!!!
"ระบบ!! ช่วยด้วย!! "
[โฮสต์โปรดสงบสติอารมณ์ ตอนนี้สัญญาณเหมือนไม่ค่อยเสถียรขอเวลาให้ระบบจัดการแล้วจะกลับมารับใช้โฮสต์โดยเร็วที่สุด]
"..." นี่คือโดนทิ้งใช่ไหม
"ซิงอี ใครบอกว่ามีชู้ดี แล้วรู้ความหมายจริง ๆ ของคำนั้นหรือเปล่า อย่าไปพูดที่ไหนเด็ดขาด เข้าใจไหม!" รุ่ยฉีหันไปกำชับกับตัวแทนหมู่บ้าน
"อาหญิงบอก พวกป้าบ้านใหญ่ก็บอกมา แม่มีชู้เป็นเรื่องดีเพราะแม่สวย" ยังคงตอบอย่างฉะฉาน
"ซิงอีฟังนะ หนูเข้าใจคำนั้นผิดไป และอย่าไปเชื่อที่คนบ้านใหญ่พูดหรือสอนอะไรแบบนี้" รุ่ยฉีเริ่มเหลืออด หมดกัน สอนแต่ละอย่าง บอกแต่ละอย่าง
"พักเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้เข้าไปอาบน้ำกันทีละคน หรือจะอาบให้ดี" รุ่ยฉียังคงมองเด็ก ๆ และกำลังตัดสินใจว่าควรอาบให้ดีกว่าจะได้สำรวจบาดแผลและจะได้อาบสะอาด เด็กอายุเท่านี้จะอาบน้ำสะอาดและทั่วถึงได้ยังไง
"แม่อาบให้น้อง ๆ เถอะ ฉันโตแล้วอาบเองได้" ว่าจบก็เดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ
แหม!เจ้าหัวหน้าแก๊ง โตตายแหละ อายุเท่านี้มาบอกโตแล้ว…
....................................
และแล้วทุกคนก็มีฉายา โดยมีรุ่ยฉีเป็นคนตั้งให้
รุ่ยฉี : แม่เลี้ยง
ระบบ : พี่เลี้ยงเด็ก
ซีฮัน : หัวหน้าแก๊ง
ซิงอี : ตัวแทนหมู่บ้าน
ซีซวน : สมุนตัวน้อย
ตอนพิเศษ 3ตัวป่วนแห่งยุค 70(แก๊งมงกุฎ)วันนี้รุ่ยฉีตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยเฟยหรงเตรียมอาหารให้ลูก ๆ ของเธอที่จะไปทัศนศึกษา ดูเหมือนไปไกล แต่จริง ๆ แค่ภูเขาหลังบ้านเธอนี่แหละ และถามว่าไปทัศนศึกษากับโรงเรียนหรือยังไง ก็อยากจะหัวเราะดัง ๆ ว่าวันนี้โรงเรียนปิด ที่ว่าไปก็ไปกันทั้งบ้านนั่นแหละ แต่เพราะสองสาวที่กำลังเห่อการไปทัศนศึกษาที่ได้ไปกับโรงเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เลยอยากไปอีก เฟยหรงผู้ไม่เคยห้ามลูกสาวก็ตามใจ พาไปทัศนศึกษาที่ภูเขาที่อยู่ติดกับหลังบ้านนี่แหละ"เย่วเย่วตื่นเต้นมากเลยค่ะ" สาวน้อยเย่วเย่วที่ดูตื่นเต้นกับการไปทัศนศึกษาหลังบ้านในครั้งนี้เฟยหรงที่เตรียมอาหารอยู่หันมาหัวเราะกับท่าทางของเย่วเย่ว"พร้อมหรือยัง" "พวกหนูพร้อมแล้วค่ะ... แต่น้องสาวฉิงฉิงยังไม่พร้อมค่ะ" เย่วเย่วตอบแม่ใหญ่น้องน้อยของเธอไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เธอกับพี่สาวอาอีเตรียมให้ น้องน้อยจะเอาแต่สีแดง คุณครูบอกว่าเวลาขึ้นเขาเข้าป่าให้ใส่สีทึบเพื่อไม่ให้สัตว์ป่าตกใจ เพราะถ้ามันตกใจ มันอาจวิ่งมาทำร้ายเราได้ แต่น้องน้อยจะใส่สีที่แม้แต่ยืนอยู่โรงเรียนยังมองเห็น มันแดงมาก เธอไม่รู้จะบอกน้องน้อยยังไงดี"เดี๋ยวแม่ไปดู
ตอนพิเศษ 2ตอนนี้เฟยหรงอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองซูโจว เนื่องจากอยู่ ๆ แม่เฒ่าซ่งก็เกิดอาการชักเกร็งเป็นลมหมดสติไป ทำให้ต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล อาการยังไม่แน่ชัดว่าเป็นยังไงบ้าง"เป็นยังไงบ้างพี่ใหญ่" เฟยหรงที่มาเจอกับพี่ชายคนโตก็ถามขึ้นทันทีที่เจอ"หมอยังไม่บอกอะไร พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตอนนี้ฟื้นแล้ว แต่ยังมีอาการเหม่อลอย พูดบ่นอะไรไม่รู้ตลอดเวลา บางทีก็ทำอะไรแปลก ๆ " "แล้วแม่รู้เรื่องไหม รู้ตัวไหมเวลาที่ทำ""รู้ตัวเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ไม่รู้ตัว เข้าไปพร้อมกันไหม หมอเพิ่งให้เข้าเยี่ยม" "ครับ"พอเข้าไปในห้องพักคนไข้ก็เห็นแม่ของเขาที่นั่งเหม่อลอยมองออกไปข้างนอก ช่วงก่อนพี่ใหญ่จะถูกปล่อยตัว แม่ต้องเก็บตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ คนเดียว ลูกหลานไม่มีใครเข้าหา เพราะทุกคนกลัวแม่หาเรื่องหรือหาปัญหามาให้ พี่น้องทุกคนแยกบ้านกันอยู่เพราะไม่อยากให้มีปัญหา แวะเวียนมาหาเยี่ยมแม่เป็นบางครั้ง จนพี่ใหญ่กลับมานี่แหละที่เข้ามาดูแลมาหาบ่อย ๆ ทั้งสองคนเลยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ"แม่หิวไหม ผมซื้อข้าวต้มกับขนมมาให้" ลูกชายคนโตเอ่ยถามแม่"หรือจะกินผลไม้ น้องสี่เอามาให้เยอะแยะเลย" เมื่อเขาเห็นแม่ยังนั่งเงียบ เขาเลยพูด
ตอนพิเศษ 1ตอนนี้รุ่ยฉีและทุกคนในครอบครัวกลับมาเที่ยวเมืองซูโจว ซึ่งได้กลับมาอยู่บ้านหลังเดิมในหมู่บ้านที่ตอนแรกตั้งใจจะขาย ติดประกาศขายไว้นาน แต่ก็ยังไม่มีคนมาติดต่อซื้อ อาจเพราะราคาที่เธอตั้งไว้มันค่อนข้างสูงเกินไป จึงทำให้ชาวบ้านไม่ซื้อกัน พวกเราเลยตัดสินใจเก็บบ้านไว้จ้างคนมาดูแลทำความสะอาดประจำ มีโอกาสก็กลับมาพัก และรุ่ยฉีรู้สึกว่าที่นี่ยังมีความทรงจำดี ๆ ถึงตอนแรกจะตัดสินใจขาย แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ใจหาย ยังดีที่ไม่มีคนมาซื้อ และตอนนี้รุ่ยฉีได้คลอดลูกสาวแล้ว แต่จะเป็นลูกสาวขี้อายไหม อันนี้ไม่อยากพูด..."หม่ำ หม่ำ" 'ซ่งอ้ายฉิง' ลูกสาวขี้อาย (มั้ง) ของเธอเอง หรือที่ทุกคนเรียกว่า 'ฉิงฉิง'ตอนนี้อ้ายฉิงอายุ 9 เดือนแล้ว กำลังกินข้าวบดที่รุ่ยฉีแลกมาจากร้านค้าในระบบ กินเก่งเหมือนสมุนตัวน้อย ขี้โวยวาย แค่ป้อนไม่ทันใจก็ร้องหม่ำหม่ำแล้ว มือเร็วที่สุด ถ้าชามอยู่ใกล้เป็นต้องเอามืออ้วน ๆ ขาว ๆ นั่นมาคว้าทันที คิดว่าขี้อายไหมล่ะ... รุ่ยฉีอยากจะหัวเราะ ถึงยังไงพ่อกับพี่ก็ยังเรียกลูกสาวขี้อาย น้องสาวขี้อาย..."ใจเย็น ๆ นะครับลูก" เฟยหรงที่ทำหน้าที่ป้อนข้าวบดลูกสาวพยายามบอกให้ลูกสาวใจเย็น ๆ"แอ๊ ๆ
บทที่ 52 บทส่งท้ายเติบโตและก้าวไปด้วยกันรุ่ยฉีเจอเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างทำให้เธอคิดได้ว่าไม่ควรช่วยคนสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะบางคนช่วยมาแล้วก็มาสร้างความเดือดร้อน มาสร้างปัญหาให้ภายหลัง ช่วงหลังมานี้ รุ่ยฉีแทบไม่ออกไปไหนและไม่ช่วยใคร นอกจากเด็กเร่ร่อนที่หนิงหลงช่วยมาจากการถูกลักพาตัวไปแล้วมาขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนของเธอ เรื่องนี้รุ่ยฉีปฏิเสธไม่ได้ เพราะเธอสงสารเด็กด้วย และอีกอย่างเรื่องช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนคือภารกิจใหม่และภารกิจหลักของเธอในตอนนี้ เผื่อเรื่องนี้จะอนุมัติ ระบบของเธอยื่นเรื่องไปถึงสองปีกว่า ๆ แต่ก็ถือว่าคุ้ม ได้ช่วยเด็ก ๆ ตอนนี้เธอช่วยแค่เด็ก ๆ ส่วนคนโตนั้น เธอไม่อยากหาปัญหามาให้ตัวเองปวดหัวอีกแล้วตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว รุ่ยฉีแทบไม่ต้องทำอะไรมาก ลูก ๆ ของเธอโตขึ้นมาบ้างแล้ว และมีแนวโน้มจะไปในทางที่ดี หัวหน้าแก๊งของเรา 11 ขวบ โตขึ้น สูงขึ้น เข้มขึ้นแต่ยังพูดน้อยเหมือนเดิม ซิงอีกับเย่วเย่วอายุ 10 ขวบเริ่มสูงขึ้น ซิงอีมีแววสวยเฉี่ยวตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และในอนาคตดูท่าทางซิงอีจะเป็นสาวมั่นตัวแม่แน่ ๆ เย่วน้อยของเรานั้นเป็นสาวหวานทั้งหน้าตาท่าทางและการพ
บทที่ 51 ไม่ถอดใจ... ไม่หมดหวังจากเหตุการณ์สะดุดอากาศล้มในวันนั้น ทำให้เจียวจูได้ทหารคนนั้นเป็นสามี ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงได้รวดเร็วทันใจขนาดนั้น ก็เพราะสองสาวที่ตะโกนลั่นโรงเรียนให้คุณครูไปช่วยลุงทหาร ทั้งวิ่งทั้งตะโกนไปทั่วโรงเรียนจนคนรีบตามมาช่วยและได้เห็นทั้งสองที่กอดรัดกันอยู่ เมื่อมีคนมาเป็นสักขีพยานมากมาย เจียวจูเลยได้นายทหารคนนั้นเป็นสามี รุ่ยฉีไม่อยากจะคิดเลย ถ้ายอมให้เธอทำงานที่บ้านต่อจะเป็นยังไง ยังดีที่รีบบอกให้ไปช่วยงานที่อื่น ไม่อย่างนั้นคนที่โดนเจียวจูล้มทับอาจเป็นเฟยหรงก็ได้ ใครจะไปรู้ตอนนี้หลาย ๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว โรงเรียนก็มีครูใหญ่เป็นคนดูแลจัดการให้ ส่วนโรงพยาบาลก็เริ่มมีหมอ มีพยาบาลผู้ช่วย แต่ก็ยังไม่ได้เปิดแบบเป็นทางการ รุ่ยฉีอย่างให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป"แม่ใหญ่คะ... วันนี้โรงเรียนหยุดเหรอคะ" เย่วน้อยที่นั่งกินบิสกิตจิ้มนมพูดขึ้น"ใช่ค่ะ" รุ่ยฉีตอบกลับเย่วน้อย"คุณครูบอกว่าใกล้วันกีฬาสี... ต้องขยันซ้อม" อาอีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นรุ่ยฉีก็นึกขึ้นมาได้ว่าโรงเรียนจะจัดกีฬาสี ถึงจะมีนักเรียนน้อยแต่ก็ทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนโรงเรีย
บทที่ 50 สะดุดอากาศตั้งแต่วันนั้นที่รุ่ยฉีเห็นบรรยากาศแปลก ๆ บนโต๊ะกับข้าว เธอก็คอยสังเกตดูตลอดว่ามันมีอะไรผิดปกติบ้างไหม เจียวจูยังทำงานที่บ้านเธอตามปกติ แต่ส่วนมากเหมือนเธอจะหลบหน้ารุ่ยฉี แต่รุ่ยฉีก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นแบบที่เธอสงสัยหรือเปล่า และอีกอย่าง ตอนนี้เฟยหรงก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะต้องออกไปประสานงานให้เธอในหลาย ๆ เรื่อง"เจียวจู ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้วนะ ไปช่วยงานที่โรงเรียนได้เลย ฉันแจ้งครูใหญ่ให้แล้ว""ไม่ค่ะ... ฉันชอบทำที่นี่""แต่ฉันให้เธอไป! ถ้าไม่ทำก็ไปอยู่ที่อื่น" บอกดี ๆ ไม่ชอบ... ไปไม่ไป!"แต่คุณเฟยหรงชอบที่ฉันทำอาหารที่มีผักให้เด็ก ๆ กินนะคะ" เจียวจูไม่ยอมไปง่าย ๆ"เขาบอกตอนไหน! " รุ่ยฉีถามกลับกินผักมันก็ดีอันนี้รุ่ยฉีไม่เถียง แต่ใครก็ทำเมนูผักได้ไม่ใช่หรอ"บอกทุกวันค่ะ""คุณหลงครับ... คุณหลงอยู่ไหมครับ"รุ่ยฉียังไม่ทันได้พูดอะไรกับเจียวจู เพราะมีคนมาตะโกนเรียก น่าจะเป็นครูใหญ่เพราะเธอจำเสียงนี้ได้"เข้ามาก่อนค่ะ" พอเห็นว่าเป็นใคร รุ่ยฉีก็เชิญเข้าบ้านแล้วพาไปที่ห้องรับแขกเจียวจูพอเห็นว่าครูใหญ่มาก็เอาน้ำออกมาต้อนรับ พอเสร็จก็ออกจากห้องรับแขกทั