ตอนเช้าในบ้านพักศิลปิน
“ยังไม่ตื่นอีกหรอ จะให้ปลุกแบบไหนดีนะ หืม" มาคินเสียงทุ้มของเขากระซิบบนกลุ่มผมของร้อยดาว มือใหญ่ลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“ขออีกห้านาที ไม่เอา ไม่ไป" ร้อยดาวเธองึมงำตอบทั้งที่ยังขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ผมยุ่งนิด ๆ ตกลงมาปรกตา
“เด็กขี้เซา” มาคินเขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก้มลงหอมหน้าผากเธอหนึ่งที ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียงไปหยิบผ้าเช็ดตัว
เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบา ๆ ข้างห้องน้ำแง้มประตูไว้ ร้อยดาวมองตามแผ่นหลังเขาด้วยสายตาง่วง ๆ ใจหนึ่งก็อยากดึงไว้ แต่อีกใจก็ชอบดูเขาดูแลตัวเองแบบนี้ มาคินเข้าไปอาบน้ำก่อน
“ลุกได้แล้วน่า ไม่งั้นฉันอุ้มไปส่งค่ายในสภาพชุดนอนนี่แหละ”
มาคินเขาเดินออกจากห้องน้ำด้วยผมเปียก ๆ ผ้าขนหนูพาดบ่า หันมายิ้มกวน
“จะบ้าหรอคนเขาจะมองว่าฉันเกาะแฟนดัง” ร้อยดาวเธอย่นจมูกเถียงกลับอย่างหมั่นไส้
“ก็จะเกาะจะทำไม ไหนใครมันเด็กเฮียสงครามนะ” มาคินเขาทิ้งตัวนั่งบนเตียง โน้มตัวลงมองหน้าเธอใกล้จนได้กลิ่นแชมพูบนหมอน
“มาคินอย่าแซวเรื่องนั้นอีกนะ ยัยยิปซีมันบ้า” ร้อยดาวเธอยกหมอนฟาดใส่อกเขาแก้เขิน
“ฉันก็มีเธอคนเดียว เธอก็มีฉันคนเดียว จะไปสนใจใครก็โง่แล้ว…” มาคินเขาจับมือเธอมากุมไว้ หลุดยิ้มอ่อน ๆ อย่างคนพูดจากใจจริง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดโมเมนต์หวานอย่างจัง พร้อมเสียงโวยวายแว่วเข้ามาก่อนตัว
“เปิดเปิดเดี๋ยวนี้ บ้านนี้อยู่กันสองคนหรือไงวะ" อ๊อฟเขาเคาะประตูรัว ยืนกอดอกหรี่ตามองประตูที่ยังไม่ยอมเปิด
“อะไรของแกวะอ๊อฟ” มาคินเขาตะโกนกลับ เสียงปนขำอย่างห้ามไม่อยู่
“เมื่อคืนได้ยินเสียงคุยกันด้วยจะซึ้งกันอะไรนักหนา”อ๊อฟเขาส่งเสียงแซวเต็มแรง ขยับตัวหลบแก๊ปเปอร์ที่โผล่มาด้วย
“จริง นี่ฉันจะเข้ามานอนด้วยแล้วนะเว้ย กลัวพี่คินปล้ำเขา ฮ่า ๆ ” แก๊ปเปอร์เจ้าตัวหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง เคี้ยวขนมปังในมือไปด้วย
“พวกแกมันเรื่องชาวบ้านตื่นเช้ากว่าตะวันอีก” ร้อยดาวเธอหน้าแดงก่ำ โยนหมอนอีกใบใส่สองหนุ่มทันที มาคินยื่นมือไปแตะหัวร้อยดาวเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า
“ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจ พวกมันก็ปากหมาไปงั้นแหละ " เสียงหัวเราะกับหมอนปลิวว่อนในห้องพักยามเช้า
บ้านพักศิลปินเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่น่ารัก รอยยิ้มของทุกคนแทนคำปลอบได้ดีกว่าคำพูดใด ๆ
“นี่มันบ้านพักศิลปิน หรือบ้านพักคนบ้า” อ๊อฟเขาตะโกนเสียงดังหลังถูกหมอนของร้อยดาวฟาดใส่รัว ๆ พยายามเอามือปัดหมอนแต่ก็ยังโดนซ้ำอีก
“ใครใช้ให้แกปากหมาล่ะ หะ” ร้อยดาวเธอโวยกลับด้วยแก้มแดงจัด ความเขินเมื่อคืนที่เพิ่งโดนแซวเหมือนจะยิ่งชัดกว่าเดิม
“เฮ้ย อย่าเพิ่งกัดกัน พี่คิน กินขนมปังก่อน เดี๋ยวแก๊ปเปอร์ป้อน” แก๊ปเปอร์เจ้าตัววิ่งมาพร้อมขนมปังสองแผ่น ยื่นให้มาคิน แต่ก็โดนมาคินผลักหัวเบา ๆ
“จะบ้าเหรอวะ ใครให้ป้อน อยู่กันดี ๆ นี่แฟนกูนะ ไม่ใช่ลูกหมา” มาคินเขาหัวเราะพรืด ดึงร้อยดาวมากอดไว้ข้าง ๆ เหมือนกันให้สงบ
“อ๊อฟ เมื่อคืนได้ยินก็เงียบไป ไม่ต้องทำเป็นรู้ดีไปหมด” ร้อยดาวเธอหันไปแว้ดใส่อ๊อฟอีกรอบ ดวงตาแดงนิด ๆ แต่แก้มยังขึ้นสีเพราะอาย
“เงียบไม่ได้โว้ย นี่ผมเสียความเป็นส่วนตัวไปตั้งแต่พวกพี่เป็นแฟนกันแล้ว รู้มั้ย” อ๊อฟเขาแสร้งถอนหายใจแรง ๆ ประหนึ่งเป็นเพื่อนผู้เสียสละ
“เอาน่า ๆ บ้านนี้มันก็เป็นบ้านพักศิลปิน ไม่ใช่บ้านฮันนีมูนสักหน่อย” แก๊ปเปอร์ยกมือขึ้นล้อเลียน แต่ก็หลบหมอนอีกใบได้อย่างว่องไว
เสียงหัวเราะ เสียงหยอก เสียงบ่นสลับกันไปในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ดูจะคึกคักเหมือนหอพักนักเรียนมากกว่าบ้านพักศิลปิน มาคินยิ้ม มองเพื่อนทั้งสองคนที่ยังแกล้งกันไม่เลิก ก่อนจะหันมาลูบหัวร้อยดาวเบา ๆ
“กินข้าวเช้าก่อนไปค่ายนะ จะได้มีแรงโดนแฟนคลับด่าอีก… อย่าเพิ่งคิดมาก เข้าใจมั้ย?” มาคินเขาก้มลงกระซิบที่ข้างหูร้อยดาว เสียงทุ้มแต่โทนนุ่มจนเธอใจอ่อน
“เข้าใจแล้วน่า” ร้อยดาว เธอบ่นอุบแต่ยอมซบไหล่เขาเหมือนเด็กดี
“เฮ้ จะสวีทกันอีกนานมั้ยวะ หิวแล้วนะพวกผมน่ะ” อ๊อฟเขาโวยลั่นเหมือนคนหิวจัด ก่อนจะคว้ากล่องนมขึ้นมาดูดเสียงดัง
“อย่าดูดนมเสียงดังสิวะ สงสารนม” แก๊ปเปอร์เขาแซวต่อทันที ทำเอาทั้งห้องหัวเราะพรืด
เสียงหัวเราะ วุ่นวาย หยอกกันเหมือนเด็กในบ้านหลังเล็ก
เป็นความวุ่นวายที่ทำให้เช้าอึมครึมกลายเป็นเช้าอุ่น ๆ ก่อนต้องเผชิญงานหนักที่ค่ายเพลงอีกวัน
ในห้องประชุมค่ายเพลงหลังเหตุเฉี่ยวชน
“ไม่ต้องกังวลกันแล้วนะ กูจัดการเรื่องแจ้งความให้เรียบร้อยแล้ว” โปเต้เขาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเสียงหนัก มองหน้ามาคิน ร้อยดาว อ๊อฟ และแก๊ปเปอร์ที่นั่งล้อมอยู่
“พี่โปเต้ หมายความว่าตำรวจเจอตัวคนทำแล้วเหรอครับ”
มาคินเสียงเขายังสั่นนิด ๆ เพราะโกรธมากกว่ากลัว
“เออ ไอ้เด็กกาวที่ตลาดนั่นแหละ” โปเต้เขาพยักหน้า ช้อนตามองไปทางสงครามที่ยืนพิงโต๊ะอยู่เงียบ ๆ
“ผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้จบแค่ใครขับแว้นเฉี่ยวเล่น มันตั้งใจใครอยู่เบื้องหลัง ผมจะลากหัวออกมาเอง” สงครามเสียงเขาเรียบเย็น ริมฝีปากยกยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจนิดเดียว
โปเต้หันมามองเด็กในสังกัดทีละคน พยายามให้ทุกคนใจเย็นแม้จะพยายามยิ้ม แต่แววตาพี่ชายคนโตในค่ายเพลงก็ยังมีแววกังวล
“ตำรวจบอกว่าเด็กมันร้อนเงินมาก ช่วงนี้ไม่มีใครจ้างมัน มันก็เลยรับงานเถื่อน" โปเต้เขาพูดเสียงเครียด ปากกาหมุนไปมาในมือ
“มันวางแผนดักในซอยเปลี่ยวขนาดนั้น ถ้าแค่เฉี่ยวโชคดีไป ถ้าหนักกว่านี้ล่ะ” มาคินน้ำเสียงเขาแฝงแรงโมโห ยิ่งพูด ยิ่งกำหมัดแน่น
ร้อยดาวที่นั่งข้าง ๆ สะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะวางมือลงบนหลังมือเขาให้ใจเย็น
“ฉันจะจัดการคนพวกนี้เอง อย่าให้มันได้ใจใครคิดจะหักหลังกู คิดให้หนัก” สงครามเขายื่นตัวไปหยิบไฟแช็กมาหมุนเล่น พลางสบตาโปเต้
โปเต้พยักหน้ารับสัญญาณนี่ไม่ใช่แค่การแจ้งความธรรมดา แต่เป็นคำประกาศศึกของเฮียสงคราม
เสียงหายใจของทุกคนในห้องเหมือนดังขึ้นในความเงียบ
ไฟห้องประชุมส่องหน้าพวกเขาแต่ละคนที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
“จากนี้ไป ถ้าใครต้องออกไปไหน ออกพร้อมคนในค่าย อย่าไปคนเดียว เข้าใจมั้ย" โปเต้เขามองร้อยดาวด้วยแววตาอ่อนลงนิดหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาไปทางมาคิน
“เข้าใจแล้วครับพี่ แต่ถ้าเจอหน้าอีก ผมไม่ใจเย็นแบบนี้แล้วนะ” มาคิน เขาตอบเสียงนิ่ง แต่สายตาแข็งกร้าว เสียงไฟแช็ก ‘แกร๊ก’ ในมือสงครามยังดังแทรก
โปเต้ถอนหายใจแรง เขาลูบหลังมาคินกับร้อยดาวเบา ๆ
เพื่อให้ทั้งคู่คลายกังวล แม้จะรู้ว่าเรื่องมันยังไม่จบง่าย ๆ
ในห้องประชุมที่อากาศเย็นด้วยแอร์กลับรู้สึกร้อนเพราะไฟแค้นของคนทั้งสองฝั่ง เฮียสงครามที่ยิ้มเย็น แววตาดุดันกว่า โปเต้ที่พยายามคุมอารมณ์คนในค่าย กับเด็กในสังกัดที่ไม่มีใครยอมถูกทำร้ายโดยที่อีกฝ่ายลอยนวล
นี่มันเพิ่งเริ่มต้นและครั้งหน้าถ้ามือคนสั่งการโผล่ขึ้นมา จะไม่มีใครรอดอีกแล้ว
ที่สถานีตำรวสงครามลงมาจัดการเอง ห้องสอบสวนเงียบเด็กกาวยังไม่ยอมปริปาก
“กูถามอีกรอบใครจ้างมึง” สงครามเสียงนิ่งชัด ชัดเจนราวกับมีน้ำแข็งแฝงอยู่ในอก เด็กกาวสภาพมอมแมม ศีรษะปูดรอยโดนซัดมาก่อนหน้านิดหน่อย มันหัวเราะแห้งจนได้กลิ่นกาวคละคลุ้งเต็มห้อง
“กูบอกแล้วกูหาแดกเอง เห็นพวกมึงรวยก็ลองเสี่ยงดู” โปเต้ที่ยืนกอดอกมอง มุมปากกระตุก เหยียดหยันชัด
“หาแดกเอง หน้าค่ายนั้นมันไม่ใช่ทางผ่าน แก๊งพวกมึงไม่เคยโผล่แถวนั้น แล้วเงินที่ยัดปากมึง ใครให” เด็กกาวยักไหล่ ก้มหน้า ขยี้มือตัวเองไม่หยุด
“กูไม่รู้เรื่องว่ะมันให้เงินมา กูแค่ขับรถเฉี่ยวเล่น” สงครามขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้กว่าเดิม เสียงขาเก้าอี้ขูดกับพื้นปูนดังจนคนในห้องเงียบกริบ
“มึงอย่าให้กูต้องใช้วิธีเดิม ๆ เลยพวกขี้ยาอย่างมึงน่ะ ถ้ากูอยากเชือด กูเชือดได้กลางตลาดเลยด้วยซ้ำ” สงครามแววตานิ่งราวนักล่า ไม่มีร่องรอยปรานี เด็กกาวเงยหน้าสบตาเขาแล้วกลืนน้ำลาย หน้าซีดวูบ
“กะ กูไม่ได้กลัวมึงนะเฮีย” โปเต้หัวเราะหยัน พึมพำเสียงเย็นข้างหูมัน
“ไม่ต้องกลัวกู กลัวคนที่จ้างมึงดีกว่าถ้ามึงไม่พูด คนที่สั่งมึงมันก็จะฆ่าปิดปากมึงวันไหนก็ได้ รู้ตัวใช่มั้ย”
เด็กกาวหายใจแรง เหงื่อไหลซึมข้างขมับ มันกัดปากแน่น
แววตาล่อกแล่ก รู้ว่าหากพูดชื่อยิปซีตอนนี้ มันอาจไม่รอดจากทั้งสองทาง
“กู กูไม่รู้อะไรมากจริง ๆ เฮีย กูแค่เห็นผู้หญิงคนนึงเอาเงินมาโยนใส่ใส่แมสก์ ใส่หมวก กูจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” โปเต้สบตาสงคราม พลางพยักหน้านิดเดียว เขารู้ดีว่ามันโกหก แต่ยังไม่ใช่เวลาจะบีบคอให้พูดออกมาตอนนี้
สงครามหัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือแตะไหล่มันเบา ๆ
ท่าทางที่อาจเหมือนปลอบ แต่กลับทำให้มันเย็นวาบจนสันหลังชื้นเหงื่อ
“ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวถ้ากูรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง มึงก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เข้าใจมั้ย” เด็กกาวกลืนน้ำลายอีกครั้ง เสียงสั่น
“เข้าใจครับ…เฮีย"
“เด็กกาวนั่นเสียค่าปรับแล้วก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวมันก็กลับไปหาตัวต้นเหตุอีกเองฉันจะรอซ้ำ”
สงครามที่ขู่ให้มันกลัว คนจ้างกล้าทำขนาดนี้ แค่หลอกว่ามันเก็บกันเองทำให้เด็กเดินกาวยิ่งข่มอารมณ์ อยากจะไปเอาเรื่องยิปซีให้ได้
กำลังใจจากครอบครัวหลังจากนั่งพักได้ไม่นาน เสียงประตูข้างเวทีก็เปิดออกอย่างเบา ๆ แม่ของร้อยดาวเดินนำเข้ามาก่อน ตามด้วยพ่อแม่ของมาคิน ทุกคนยิ้มให้กันด้วยความเก้อเขินปนอบอุ่น“แม่” ร้อยดาวร้องเรียกเสียงเบา ลุกไปกอดแม่ตัวเองแน่น แม่ลูบหัวลูกสาวเบา ๆ เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ“ลูกทำได้ดีแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” มาคินเดินไปยกมือไหว้พ่อแม่ตัวเอง ก่อนจะหันมายกมือไหว้แม่ร้อยดาวด้วย ร้อยดาวยกมือไหว้พ่อแม่มาคินเช่นกัน“ขอบคุณนะคะ ที่มาดูพวกเราด้วยตัวเอง” ร้อยดาวก้มศีรษะบอกแม่มาคินด้วย รอยยิ้มบนหน้าทุกคนเหมือนเชื่อมกันไว้แน่นกว่าเดิมในอ้อมแขนพ่อของมาคินมี เจ้ามะยม หมาตัวน้อยหูตั้ง ๆ ใส่ผ้าพันคอสีเหลือง ส่วนเจ้าก้อนทองนั่งอยู่บนตักแม่ร้อยดาว ขนฟูจมอยู่ในตะกร้าใส่ของกิน พร้อมเสียงเห่าเมื่อเจอหน้าร้อยดาวทันที“ดูสิ ๆ พาเด็ก ๆ มาด้วย เผื่อจะให้กำลังใจพวกแก” แม่มาคินพูดขำ ๆ แล้วอุ้มเจ้ามะยมเดินวนไปรอบ ๆเจ้าก้อนทองกระโดดออกจากตะกร้า พุงเล็ก ๆ ชะโงกดมถุงขนมบนโต๊ะ ทำเอาอ๊อฟกับก๊อปเปอร์หัวเราะแล้วแหย่มันเล่น“โอ๊ย ก้อนทองนี่กินเก่งเหมือนแม่มันเลย" ก๊อปเปอร์แซวแล้วโดนร
วันแถลงข่าวเปิดตัว 1st Anniversary คู่วงจิ้น Kin&Daoจัดที่โถงใหญ่ของค่าย ศิลปินรุ่นพี่รุ่นน้องยืนออรอให้กำลังใจอยู่รอบนอกมาคินใส่สูทสีเบจ เนี้ยบแต่ดูอบอุ่น ร้อยดาวอยู่ในเดรสยาวลูกไม้สีขาวอมชมพู รวบผมหลวม ๆ ให้ดูน่ารักแต่สง่าสองคนเดินจับมือออกมาหน้าแบ็กดรอปพร้อมกัน ท่ามกลางแฟลชกล้องจากนักข่าวและเสียงกรี๊ดของเอฟซีที่ตามมาตั้งแต่เช้าหลังตอบคำถามเรื่องอัลบั้มใหม่ โปรเจกต์เพลง และเซอร์ไพรส์เวทีใหญ่ ร้อยดาวหันมามองกลุ่มแม่ ๆ เอฟซีที่ยืนรวมกันตรงแถวหน้า เธอจับไมค์แน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน สั่นนิด ๆ เพราะตื้นตัน“ขอบคุณนะคะ ที่รักกันมาตลอดปีที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่ข้างเราตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่มีอะไรเลย จนถึงวันที่มีเวทีเป็นของตัวเองแบบนี้” เธอยกมือไหว้แฟนคลับทุกบ้าน เสียงกล้องยังดังไม่หยุด แต่ทุกคนจะได้ยินถ้อยคำที่ออกจากใจเธอชัดเจน“หนูขออ้อนแม่ ๆ ทุกบ้านเลยนะคะ วันจริงอย่าลืมพากันมาดูพวกเราด้วยนะ มาเจอกันหน้างานอีกครั้ง จะมีที่ว่างตรงนี้ให้แม่ ๆ เสมอค่ะ” เสียงกรี๊ดแทบแตกฮอลล์ มาคินหันมามองแฟนสาวแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหัวเราะออกมา“ถ้าใครไม่ได้มานะ ดาวจะน้อยใจจริง ๆ ด้วย”หลังจบช่วงตอบ
วันซ้อมใหญ่เปิดเวที 1 ปีคู่จิ้นฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดกลาง ถูกจัดไฟรันระบบเต็มสูบเป็นรอบ ซ้อมใหญ่ โปสเตอร์ข้างเวทีติดป้ายชัดเจน “1st Year Anniversary คู่จิ้นรักร้อยดาว x มาคิน”ร้อยดาวสวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขาสั้นง่าย ๆแต่บนเวที เธอเหมือนคนละคน จับไมค์ด้วยมือที่เคยสั่นแต่วันนี้กลับมั่นคงเสียงหัวเราะของทีมซาวด์ ทีมแดนซ์ ทีมไฟดังระหว่างพักเบรก โปเต้ยืนกอดอกดูงานเงียบ ๆ ส่วนสงครามนั่งหลังบอร์ดควบคุมไฟด้วยแววตาเหมือนพ่อที่ภาคภูมิใจในลูกศิษย์มาคินยืนอยู่ข้างเธอในชุดสบาย ๆ เหมือนกัน เขาหันมาดึงสายกีตาร์ปรับจูนให้แฟนสาวเอง มือเขากับมือเธอสอดกันแว็บหนึ่ง“พร้อมมั้ยดาว” เสียงมาคินทุ้มนุ่ม ไม่ได้ถามแบบโปรดิวเซอร์ แต่ถามในฐานะคนที่อยู่ข้างเธอทุกครั้งร้อยดาวพยักหน้า เหงื่อผุดเต็มหน้าผากแต่รอยยิ้มกลับสดใส เธอยกไมค์ขึ้น ร้องท่อนฮุคเพลงเก่าที่เธอเคยเขียนไว้ ครั้งนี้ เธอร้องในชื่อของเธอจริง ๆเสียงกลองซ้อมรัวตามจังหวะเบา ๆ พวกเด็กฝึกงานที่ยืนดูกันอยู่ตรงขอบเวทีโห่เชียร์กันเบา ๆ อ๊อฟกับก๊อปเปอร์ที่มาซ้อมแดนซ์เซ็ตใหญ่ทีหลังยังส่งเสียงแซว“พี่ดาวแม่งอย่างเท่! ฮู้วววว”“พี่มาคินอย่าเขินดิ๊! หยิกแก
นามแฝงในเพลงมือของสงครามที่ยื่นให้ร้อยดาวเดินเข้ามาในห้องโปรดิวเซอร์ของค่ายที่เธอคุ้นเคยดี แต่วันนี้บรรยากาศกลับอึดอัดจนลมหายใจแทบขาดห้วงโปเต้นั่งข้างเฮียสงครามเหมือนมือขวาที่เฝ้ารอดูว่าบทสนทนานี้จะไปจบตรงไหนบนโต๊ะไม้สีเข้ม เอกสารหลายแผ่นถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไฟสปอตไลท์ในห้องประชุมสว่างพอจะเห็นเงาหน้าร้อยดาวที่ซีดเผือดและมือเล็กที่กำชายเสื้อแน่น สงครามวางปากกาลงบนแฟ้มเสียงเบา ดวงตาคมใต้แสงไฟสบตาเธอโดยไม่กระพริบ“ฉันได้ยินมาว่ามีคนกำลังจะเอาเพลงเก่ามาขายซ้ำ ใช่เพลงเดียวกับที่เธอเคยเขียนไว้หรือเปล่า เพลงที่เธอใช้นามแฝงตอนนั้น” เสียงเขาราบเรียบ เหมือนครูใหญ่เรียกเด็กนักเรียนมาคุย แต่ในความนิ่งนั้นกลับกดดันเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอกร้อยดาว ร้อยดาวหลบตา ปลายนิ้วเธอขยำชายกางเกงจนยับยู่ยี่ เธอพยายามจะตอบ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้ง“ค่ะ” เพียงคำเดียวก็พอให้โปเต้ที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เห็นร่องรอยเจ็บเก่าที่เธอเก็บไว้มานานสงครามพยักหน้าช้า ๆ เขาเอื้อมมือไปเปิดแฟ้มเอกสาร เผยให้เห็นสำเนาสัญญาเก่าที่มีตราประทับชื่อกันจ์ชัดเจน“ฉันรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่ากันจ์มันทำอะไรไว้”“มันไม่ใช่แค่เพล
อดีตของร้อยดาวเบื้องหลังเพลงที่ไม่มีชื่อเธอเสียงลมจากแอร์ตัวเก่าดังหึ่ง ๆ ในห้องซ้อมส่วนตัวที่ร้อยดาวใช้ฝึกทุกวัน คืนนี้เธอนั่งอยู่ตรงมุมเดิมที่ใกล้เปียโนไฟฟ้ามากที่สุด มือบางยังคงถือโน้ตเพลงเก่าแผ่นเดิมไว้แน่น ปลายนิ้วที่เคยแต่งทำนองนั้นสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังรื้อความทรงจำที่เธอพยายามลืมมาตลอดร้อยดาวถอนหายใจ ลมหายใจร้อนวาบเพราะเพิ่งร้องเพลงใหม่กับมาคินจนคอแห้ง แต่สิ่งที่ติดอยู่ในหัวเธอกลับไม่ใช่เพลงใหม่ ไม่ใช่ท่อนฮุคหวาน ๆ ที่เขาเพิ่งชมว่าเพราะที่สุดตั้งแต่แต่งมา กลับเป็นประโยคท่อนหนึ่งในสมุดโน้ตแผ่นนี้ที่เธอแต่งมันด้วยลายมือสั่น ๆ ในวันที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ“ฉันยังจำเนื้อเพลงได้ทุกคำเลยมาคิน แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ร้องมัน" เสียงเธอเบาราวกับกลัวว่าลมแอร์จะพัดมันหายไปมาคินหันมามองแฟนสาวตรงหน้า เขานั่งพิงขอบเปียโน ปล่อยให้เสียงกีตาร์โปร่งที่เพิ่งวางไว้เงียบสนิทแสงไฟสีส้มอ่อนสะท้อนในดวงตาเขาอย่างระมัดระวังเขารู้ดีว่าร้อยดาวรักทุกคำ ทุกท่อน ทุกเมโลดี้ในสมุดโน้ตนั้นมากแค่ไหน เขาเคยเห็นเธอลงแรง แก้คำ แก้คอร์ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยเห็นเธอพูดถึงมันด้วยแววตาเจ็บเท่านี้มาก่อน“ทำไมล่ะดาว นั
ถูกมือกาวย้อนกลับ1645 คำทางเข้าคอนโดของยิปซี ค่อนข้างมืด ไม่มีผู้คนมากนัก“เฮ้ แม่นางเอก เงินฉันอยู่ไหน”เสียงแห้ง ๆ ของเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่โผล่มาจากเงามืดหลังรถตู้จอดส่งของ ผมมันเยิ้มกลิ่นกาวและบุหรี่คลุ้งลอยปะทะ จับคอเสื้อยิปซีทันทีที่เธอเดินเลี่ยงออกมาจากฝูงแฟนคลับ ไฟลานจอดรถสว่างเป็นจุด ๆ แต่กลับไม่มีใครสังเกตว่ามีคนกำลังลงไม้ลงมือ“อย่ามาโวย แกยังไม่ได้ทำงานให้ฉันด้วยซ้ำ จะเอาเงินส่วนที่เหลือไปทำเหี้ยอะไร”ยิปซีแหวเสียงสูง ใบหน้าแต่งจัดแต่เหงื่อซึม เธอใส่ชุดเดรสรัดรูปคลุมด้วยโค้ทยาว พยายามแกะมือมันออกแต่โดนบีบแน่นกว่าเดิม“ฉันติดคุกเพราะแกนะเว้ย แกเป็นคนจ้าง ถ้าฉันไม่ได้ตังค์ แกก็อย่าหวังจะได้อยู่ดี ๆ”เสียงเด็กกาวกระแทกพร้อมฟันเหลือง มันหัวเราะหยันเธอเบี่ยงหน้าเลี่ยงกลิ่นกาวที่พ่นรดอยู่ใกล้“อย่ามาขู่ฉันนะ ไอ้ขี้ยา”ยิปซีฟาดเล็บเข้าหน้ามันเต็มแรง เสียงเพี้ยะสะท้อนในลานจอด รถขนเครื่องเสียงสั่นเบา ๆ เหมือนร่วมเป็นพยาน“อีดอก” เด็กกาวสบถลั่น ผลักเธอไปกระแทกผนังคอนกรีตด้านหลังเวที เศษกระดาษโปสเตอร์คอนร่วงปลิวลงเท้าเธอ“สภาพแกตอนนี้ก็เหมือนหมาข้างถนนแล้วล่ะ ยัยนางเอกตกกระป๋อง”เด็